Skip to content

สู่วิถีอสุรา 230

ตอนที่ 230 จะสิ้นเปลืองมิได้

“ศิษย์หลานผู้งดงาม?” ซูหมิงเพิ่งออกจากสมาธิ ชั่วเวลาเพียงครู่เดียวยังไม่ทันคิดอะไรมากนัก พอได้ยินคำว่าศิษย์หลาน เขาพลันตะลึงงัน

“งดงามมาก เป็นผู้หญิง” ศิษย์พี่รองยิ้มอย่างอ่อนโยน พยักหน้า

“เอ่อ นางชื่ออะไร?” ยามนี้ซูหมิงเพิ่งนึกออกถึงการนับรุ่นของเทียนเสียจื่อ มีสีหน้าประหลาดใจ

“นางชื่อ…เอ๋ ชื่ออะไรนะ…ศิษย์น้องเล็ก เมื่อครู่ศิษย์พี่สังเกตแต่สาวน้อยที่มากับนาง ส่วนชื่อของนาง ข้าลืมไปแล้ว” ศิษย์พี่รองเกาศีรษะ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนอุทานกล่าว

ซูหมิงมองศิษย์พี่รองที่ดูเหมือนจะมึนงงตรงหน้า ความอบอุ่นจากในร่างกายอบอวลทั้งตัวเขาอย่างช้าๆ แม้เพิ่งออกจากฌานไม่นาน ทว่ากลับจำได้แม่นว่าช่วงที่ตนกำลังเข้าสู่สภาวะประหลาด และนั่งสมาธิบนแท่นราบแห่งนี้ ข้างกายเขาไม่มีศิษย์พี่รอง

ทว่าตอนนี้ศิษย์พี่รองนั่งอยู่หลังตน ซูหมิงจินตนาการไม่ออกเลยว่าอีกฝ่ายรออยู่ตรงนี้นานเท่าไร นี่คือความห่วงใยไร้เสียง เป็นความอบอุ่นที่ทำให้ซูหมิงซาบซึ้งใจ

เขายืนขึ้น เงยหน้ามองส่วนยอดเขาลำดับเก้าแวบหนึ่ง ตรงนั้นเขาเห็นเงาแผ่นหลังค่อยๆ เดินห่างออกไปในแวบแรก เงาแผ่นหลังนั้นถูกภูเขาหิมะบดบังจนเขามองไม่เห็นทีละน้อย

แม้เป็นเพียงพริบตาเดียว ทว่าเงาแผ่นหลังของชายชรากลับทำให้ซูหมิงเกิดความคุ้นเคย

“ขอบคุณศิษย์พี่รอง” ซูหมิงละสายตากลับ มองศิษย์พี่รองตรงหน้า กระทั่งชื่อของอีกฝ่ายเขายังไม่รู้ ทว่าในใจเขา คำเรียกว่าศิษย์พี่รองลึกซึ้งอย่างยิ่งแล้ว

“เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน จะมาขอบคุณอะไร อีกอย่างศิษย์พี่ยังไม่ทำอะไรเลย แค่ปลูกพืชดอกอยู่ตรงเจ้าก็เท่านั้น” ศิษย์พี่รองยิ้มพร้อมกับยืนขึ้น บิดเอวขี้เกียจ

“ต้องไปนอนแล้ว ไม่ได้หลับมาตั้งหลายวัน ศิษย์น้องเล็ก อย่าลืมถามให้ศิษย์พี่ด้วย” ขณะกล่าว ศิษย์พี่รองขยิบตา ใบหน้าคล้ายมีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างพบเห็นได้ยาก ราวกับเขินอายที่ตนย้ำซ้ำๆ แบบนี้

“อ้อ วิธีทำจิตใจสงบของเจ้าคือสภาวะแห่งการสร้างภาพวาด ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องตกอยู่ในห้วงของมันอยู่นานถึงจะได้ เหมือนกับการวาดภาพบนอากาศเมื่อครู่ จะเป็นการขับเคลื่อนพลังในร่างกาย แล้วใช้สิ่งนี้รวมออกมาเป็นภาพ เรื่องนี้ไม่ดี…..

มันคือการรวมออกมาด้านนอก น้อยได้ทว่ามากมิได้ ยากจะทำให้จิตใจสงบอย่างแท้จริง ไม่เหมาะกับการฝึกจิตใจ เจ้าดูศิษย์พี่รองปลูกพืชดอก ข้าเคยใช้พลังบำเพ็ญเร่งให้พวกมันเติบโตหรือไม่…ธรรมชาติต่างหากคือจิตใจสงบ

เอาอย่างนี้ ศิษย์พี่สามเจ้าน่าจะคุ้นชินกับสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว เจ้าให้เขาพาไปวิหารเก็บวัตถุของสำนักใต้ฝ่ายนภาสักครั้ง ข้าจำได้ว่าที่นั่นมีภาพวาดของสำนักเหมันต์สวรรค์อยู่เล็กน้อย แม้ค่อนข้างราคาสูง ทว่าเจ้าไปหาอาจารย์ ใช้ตราจ้าวสำนักของเขา จะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน”

ศิษย์พี่รองทำเสียงกระแอมสองสามครั้งแล้วกล่าวกำชับ

ยามซูหมิงเผยรอยยิ้ม ศิษย์พี่รองหมุนตัวกลับแล้วเดินไปยังเส้นทางภูเขาด้านข้างแท่นราบ เงาแผ่นหลังของเขาดูล่องลอยยิ่งนัก เส้นผมสยายท่ามกลางลมหุบเขา ค่อยๆ หายลับไปจากสายตาของซูหมิง

ซูหมิงมองศิษย์พี่รอง ความอบอุ่นในใจอบอวลไปทั้งตัว เขามองหินภูเขาบนยอดเขาลำดับเก้า มองไปรอบๆ ความรู้สึกที่เรียกว่าครอบครัวค่อยๆ ปรากฏในใจเขาเล็กน้อย

บางทีเมื่อกาลเวลาหมุนเปลี่ยน ความรู้สึกนี้อาจลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาผสานกับที่นี่โดยสมบูรณ์ และทำให้มันกลายเป็นบ้านหลังที่สองของตน

ภายในถ้ำของเขา หลังจากซูหมิงนั่งฌานสมาธิต่ออีกตลอดทั้งวัน จนถึงเที่ยงวันของวันที่สอง เขาก็ปรับขั้นชำระล้างตอนกลางจนเสถียร ก่อนเดินออกมาอีกครั้ง

การทะลวงพลังในครั้งนี้ทำให้เขายังสับสนเล็กน้อย เขาเข้าใจเพียงว่าจุดสำคัญของการทะลวงขั้นพลังในครั้งนี้คือการฝึกจิตใจ

‘ฝึกฝนสภาพจิตใจ ทำความเข้าใจกับคำว่าสร้างของตัวเองภายใต้สภาวะจิตใจสงบ….’ ซูหมิงลูบลวดลายภูเขาเลือนรางบนใบหน้า มีจันทร์โลหิตเพิ่มเข้ามา

ตำแหน่งของจันทร์โลหิตดูพิสดารเล็กน้อย เพราะตำแหน่งของมันคือดวงตาขวาของซูหมิง!

‘จันทร์โลหิตดวงตาขวา…’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าค่อยๆ สงบนิ่ง เขาเดินลงมาตามทางบนเขา ไม่นานตรงหน้าก็ปรากฏถ้ำแห่งหนึ่ง

ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีกลิ่นสุราปะปนกับเสียงกรนลอยออกมา เสียงกรนที่ว่าดังสนั่นหวั่นไหวเหมือนฟ้าผ่า ซูหมิงยืนนิ่งอยู่นอกถ้ำครู่หนึ่ง เขามาที่นี่ก็เพราะอยากรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่ศิษย์พี่รองบอกคืออะไร

เรื่องนี้ค่อนข้างเข้าใจยาก ยามนี้มาถึงที่ เขามองถ้ำของศิษย์พี่สาม ก่อนก้มตัวเดินเข้าไปในถ้ำทันที

พอเข้ามาเสียงกรนนั้นสั่นสะเทือนแก้วหู ดังกึกก้องอยู่ภายในถ้ำ หู่จื่อกำลังนอนคว่ำอยู่ไม่ไกลนัก ตรงมุมปากมีน้ำลายไหลเป็นทางยาว สีหน้าดูเคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในความฝัน และกำลังทำเรื่องที่มีความสุขอะไรบางอย่าง

ข้างกายเขามีคนซึ่งมีพืชขึ้นเต็มตัวนอนอยู่ มือขวาเขาถูกหู่จื่อที่กำลังนอนหลับจับเอาไว้แน่น พืชตรงใบหน้ามีอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดถึงความเจ็บปวดทางสีหน้าของเขา ยามนี้เขาหลับตาเหมือนตกอยู่ในห้วงความฝัน และทำเรื่องที่เป็นทุกข์อะไรบางอย่าง

อีกทั้งตัวเขายังชักกระตุกบ่อยครั้ง

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงมาถ้ำของหู่จื่อ สำหรับมนุษย์พืชคนนี้ พอเห็นแล้วเขาก็ตะลึงไปชั่วครู่ แต่กลับไม่คิดอะไรมาก คิดว่านี่คือลักษณะพิเศษในการฝึกฝนของหู่จื่อ

เห็นศิษย์พี่สามยังคงนอนหลับ ซูหมิงจึงนั่งขัดสมาธิลงด้านข้าง มิได้รบกวนหู่จื่อ แต่นั่งฌานรอ

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลายชั่วยามต่อมา เมื่อท้องฟ้าด้านนอกมืดลงคล้ายจะเข้าสู่ยามโพล้เพล้ เสียงกรนของหู่จื่อดังถึงขีดสุดก่อนหยุดลง

เขาลืมตาขึ้น ออกแรงขยี้ตาหลายครั้ง ทั้งยังเช็ดน้ำลายตรงมุมปาก ก่อนสังเกตเห็นซูหมิงนั่งอยู่ไม่ไกลนัก

“เฮอะๆ…เจ้ามาแล้ว….” หู่จื่อยิ้มซื่อๆ เกาศีรษะ แล้วหยิบกาสุราข้างกายขึ้นมาดื่มอีกครั้ง

“นอนครั้งนี้ดีจริงๆ มารดาเถอะ เจ้าไม่เชื่อฟังอีกแล้วรึ” หู่จื่อวางกาสุรา มองมนุษย์พืชก่อนสะบัดฝ่ามือใส่

“ยังมีหน้ามานอนอีก ตื่นเดี๋ยวนี้”

มนุษย์พืชถูกตบอย่างแรงก็พลันตัวสั่น ลืมตาทั้งสองขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือหู่จื่อพลันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ และมองด้วยความดุร้าย

หลังจากเห็นหู่จื่อ เขาตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาฉายแววโกรธแค้นปะปนกับสีหน้าหวาดกลัว

“หึๆ เป็นอย่างไร นอนกับท่านหู่คนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” หู่จื่อมีสีหน้าลำพองใจ หันศีรษะกลับแล้วใช้มือขวาตบมนุษย์พืชอีกครั้ง

หลังจากมนุษย์พืชออกห่างจากหู่จื่อ ถึงสังเกตเห็นซูหมิงที่กำลังมองตนอย่างสงบนิ่งด้านข้าง ยามเขาเห็นซูหมิง แววตาดูซับซ้อน ภายในความซับซ้อนเห็นได้ว่ามีความจำใจ เสียใจภายหลัง ยังมีปลงอนิจจังและอดกลั้นด้วย

“ศิษย์พี่สาม เขาคือ?” ซูหมิงมองมนุษย์พืชตรงหน้าอย่างสงบแวบหนึ่ง เขาเห็นความซับซ้อนจากในแววตาของอีกฝ่าย จึงเกิดความแปลกใจ

“หืม เจ้าไม่รู้รึ? ก็ถูก ก่อนหน้านี้เจ้ากำลังรู้แจ้ง เขาชื่อจื่อเชอ เป็นคนแข็งแกร่งมากคนหนึ่ง ช่วงที่เจ้ากำลังนั่งฌาน เขาคิดไม่ดีกับเจ้า ผลสุดท้ายเขาโชคร้ายเองที่ทำลายน้ำเต้าของข้า และยิ่งไปกว่านั้นยังเหยียบพืชดอกของศิษย์พี่รอง สุดท้ายก็ถูกศิษย์พี่รองจับตัวเอาไว้ บอกว่าจะให้เป็นของพวกเรา” หู่จื่อหัวเราะเสียงดัง สีหน้าลำพองใจยิ่งกว่าเดิม ยันกายขึ้นตบศีรษะจื่อเชอดังเพียะแรงๆ อีกครั้ง

จื่อเชอคุ้นชินกับฝ่ามือของหู่จื่อแล้ว ทว่ายามนี้ถูกตบต่อหน้าซูหมิง

เพลิงโทสะในใจจึงรุนแรงมากขึ้น ในความคิดเขา หากไม่มีสองมือแห่งการสร้างน่าสะพรึงนั่น ซูหมิงตรงหน้าก็ดี หู่จื่อก็ดี ล้วนต้องแหงนหน้ามองเขา ทว่าตอนนี้…

“อ้อ?” ซูหมิงมีสีหน้าราบเรียบ

“เขาคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ศิษย์พี่รองบอก” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า

“อุวะ ศิษย์พี่รองบอกกับเจ้ารึ ไม่ผิด เขาคือสิ่งมีชีวิตตัวนั้น ทว่าศิษย์น้องเล็กอย่าเพิ่งมาแย่งข้า ข้ายังเล่นไม่เสร็จ รอข้าพาเขาเข้าฝันอีกสักสองสามรอบก่อน ค่อยส่งต่อให้เจ้า มารดามันเถอะ ใครให้เจ้าทำลายน้ำเต้าเล็กของข้า!”

หู่จื่อถลึงตามองจื่อเชอ ก่อนยกฝ่ามือขึ้นเตรียมจะตบอีกครั้ง

“ศิษย์พี่สาม ช้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขาสักเล็กน้อย” ซูหมิงยืนขึ้นเดินไปทางจื่อเชอ ยืนมองคนที่ตัวเต็มไปด้วยพืชอยู่ตรงหน้า

จื่อเชอจ้องซูหมิงด้วยความเย็นชา นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววเหยียดหยาม แม้เขาถูกจับอยู่ อีกทั้งยังถูกหู่จื่อทำให้อับอาย แต่เขาเป็นผู้แข็งแกร่ง มีความหยิ่งยโสของเขา โดยเฉพาะในความคิดเขา ซูหมิงตรงหน้าเป็นผู้อ่อนแอที่สุดราวกับมดปลวก ช้างต่อให้ถูกมัดเอาไว้ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับมดก็ไม่มีทางยอมเด็ดขาด

“ข้าเพิ่งมาสำนักเหมันต์สวรรค์ เดิมทีไม่ควรจะมีคนรู้จักข้าเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงมาหาข้าที่ยอดเขาลำดับเก้า…คงจะเป็นซือหม่าซิ่นให้เจ้ามาใช่รึไม่” ซูหมิงนั่งยองลงมองจื่อเชอ กล่าวอย่างสงบนิ่ง

นัยน์ตาเย็นชาของจื่อเชอยังคงเหยียดหยาม ราวกับมิได้ยินคำพูดของซูหมิง

“ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่รองผนึกขั้นพลังของเขาไว้เท่าไร?” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย กล่าวขึ้นเบาๆ

“ผนึกเอาไว้ทั้งหมด พอพวกเราเล่นเสร็จแล้ว ค่อยส่งไปให้ศิษย์พี่ปลดออกส่วนหนึ่ง แบบนี้ถึงจะสนุก” หู่จื่อถูมือทั้งสองข้าง นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นเหมือนเคยมีประสบการณ์มาก่อนหน้านี้

ได้ยินคำพูดของหู่จื่อ จื่อเชอสีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากลับกัดฟันสงบนิ่ง เพียงแต่เขาจะมองแววตาของหู่จื่อบ่อยครั้ง ซูหมิงเองก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวต่อหู่จื่อ ส่วนตัวเขา อีกฝ่ายกลับไม่เกรงกลัว

“วัตถุดิบหายากเช่นนี้ จะสิ้นเปลืองมิได้…” ซูหมิงมองจื่อเชอ เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นเบาบางยิ่งนัก ประดุจสายลมเบาๆ มองดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไร

หากแต่ช่วงที่คำพูดของซูหมิงเข้าหูของจื่อเชอ หัวใจเขาพลันเต้นแรง คำว่าวัตถุดิบทำให้เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าซูหมิงตรงหน้าผู้นี้ ภายในรอยยิ้มอ่อนจางราวกับแฝงความน่ากลัวและดุร้ายยิ่งกว่าหู่จื่อไว้

รอยยิ้มบางของซูหมิง ทำให้จื่อเชอรู้สึกขนพองสยองเกล้า ต่างจากตอนเผชิญหน้ากับหู่จื่อ หู่จื่อในความคิดเขาเพียงเห็นแวบเดียวก็มองออกถึงการกระทำ แม้บอกว่ากลัว ทว่าก็แค่กลัวความดุร้ายในความฝันของอีกฝ่าย แท้จริงแล้วในใจเขายังเหยียดหยามมากกว่า

แต่ความรู้สึกต่อซูหมิงตรงหน้ากลับต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร คำว่าวัตถุดิบดังก้องอยู่ในความคิดเขาไม่หยุด ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นกลัว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!