Skip to content

สู่วิถีอสุรา 231

ตอนที่ 231 อุโมงค์เหมันต์สวรรค์

“ไม่ต้องกลัว” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงยังคงสงบนิ่ง เขานั่งยองลง ใช้มือขวาล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนหยิบวัตถุหลายอย่างออกมาอย่างไม่รีบร้อน

การกระทำของเขาไม่เพียงแต่ส่งผลกับจิตใจและสายตาของจื่อเชอเท่านั้น มันยังทำให้หู่จื่อข้างๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็นยิ่งนัก รีบเบิ่งตากว้างมอง

มันเป็นกระดูกสัตว์หนึ่งชิ้นและสมุนไพรหลายต้น

วัตถุธรรมดาๆ เหล่านี้ทำให้หู่จื่อมีสีหน้าผิดหวัง บ่นพึมพำหลายประโยค เดิมทีเขาก็ไม่อยากใส่ใจอีก ทว่าช่วงที่เห็นจื่อเชอสีหน้าเปลี่ยนฉับพลันเมื่อเห็นวัตถุเหล่านั้น เขากลับประหลาดใจขึ้นมา

“เจ้าคิดจะทำอะไร!” นี่เป็นการกล่าวครั้งแรกหลังจากจื่อเชอถูกจับ น้ำเสียงเขาแหบพร่า แต่กลับยากจะอำพรางความหวาดกลัว เขาหวาดกลัวจริงๆ และความหวาดกลัวนี้มากกว่าตอนเผชิญหน้ากับหู่จื่อนัก อีกทั้งยังออกมาจากจิตใจ

เพราะเมื่อเห็นกระดูกสัตว์และสมุนไพร เขาพลันเข้าใจคำว่าวัตถุดิบ ในความหมายแฝงจากในคำพูดของอีกฝ่าย กระดูกคือวัตถุดิบ สมุนไพรคือวัตถุดิบยา ทว่าเขาจื่อเชอถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นวัตถุดิบ ความเข้าใจและตื่นกลัวจากการคิดเชื่อมโยงทำให้เขาต้องกล่าว

“หืม มารดาเจ้าเถอะ ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะพูดได้ เช่นนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้ท่านหู่ถามเจ้า เจ้ากลับไม่ตอบ แม้ในความฝันเจ้าก็ยังไม่พูด!” ซูหมิงยังไม่ทันเอ่ยอะไร หู่จื่อด้านข้างเบิ่งตากว้าง สีหน้าโมโห เดินเข้ามาและใช้ฝ่ามือตบจื่อเชอแรงๆ อีก

“เจ้ากล้าหลอกท่านหู่คนนี้ ท่านหู่เกลียดคนโกหกมากที่สุด!” หู่จื่อตบอย่างต่อเนื่องด้วยความโมโห ก่อนมองวัตถุดิบที่ซูหมิงหยิบออกมาอีกครั้ง

“น้องสี่ เจ้าเอาพวกกระดูกสัตว์กับสมุนไพรมาทำอะไรรึ?” หู่จื่อเกาศีรษะ สีหน้ามึนงง

“ศิษย์พี่สามคงไม่รู้ ก่อนมายอดเขาลำดับเก้า ข้าเคยหลอมน้ำสมุนไพรมาหลายครั้ง…ร่างกายของเขาเยี่ยมมาก เหมาะกับโอสถที่ข้าอยากหลอมพอดี” ซูหมิงยิ้มๆ แล้วหยิบสมุนไพรขึ้นมาหนึ่งต้น กวาดสายตามองจื่อเชอ ช่วงที่เขาเพิ่งกล่าวต่อ มือก็บีบสมุนไพรจนแหลก เอาเมล็ดสมุนไพรภายในออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นใช้นิ้วกดตรงหน้าอกจื่อเชอแล้วเปิดเนื้อบริเวณนั้นออก ขณะโลหิตสดหลั่งทะลัก ก็นำเมล็ดสมุนไพรกดเข้าไปในเนื้อ

หลังจากนั้น ซูหมิงก็กดอีกหลายจุดบนตัวจื่อเชอ ก่อนดึงมือกลับ

สำหรับจื่อเชอแล้ว เขามิได้รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ทว่าไม่นานตรงหน้าอกเขาเกิดอาการชา ขณะก้มหน้าลง เขาเห็นเมล็ดสมุนไพรตรงหน้าอกเขากำลังเติบโตด้วยความรวดเร็วอย่างน่าประหลาด

หลังจากการเติบโตของมัน จื่อเชอเปลี่ยนสีหน้าอย่างเด่นชัด เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าสองมือแห่งการสร้างของศิษย์พี่รองก่อนเผชิญหน้ากับซูหมิงเลย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการเติบโตของสมุนไพรเหล่านี้สูบเลือดเนื้อและพลังชีวิตเขา

กระทั่งส่วนรากของสมุนไพรกำลังแผ่ขยายอยู่ในร่างกายอย่างช้าๆ เขามิได้สนใจความเจ็บปวดเรื่องถูกเมล็ดปลูกเข้ามาในเนื้อ เพียงแต่ความหวาดกลัวในความไม่รู้กลับทำให้เขาหายใจกระชั้นถี่อย่างเห็นได้ชัด สายตาที่มองซูหมิงฉายแววตื่นกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยเฉพาะตอนซูหมิงนำเลือดจำนวนหนึ่งของจื่อเชอมาหยดบนกระดูกสัตว์ ความหวาดกลัวในใจเขาทะยานถึงขีดสุด จึงรีบกล่าวทันที

“เจ้าจะทำอะไรกันแน่!”

“หลอมยา” ซูหมิงเงยหน้ามองจื่อเชอแวบหนึ่ง พร้อมเผยรอยยิ้ม

“ยาอะไร?” จื่อเชอตัวสั่น

หู่จื่อด้านข้างยามนี้มีสมาธิดีพร้อม ทว่าสีหน้ากลับเข้าใจยาก เพียงแต่พอเห็นสีหน้าจื่อเชอ จึงอดเกิดความรู้สึกเคารพต่อซูหมิงเล็กน้อยมิได้

‘น้องสี่เก่งกาจมาก ทำไม่กี่อย่างก็ทำให้เจ้านี่หวาดกลัวแล้ว ท่านหู่ผู้เฉลียวฉลาดคนนี้เห็นทีต้องเรียนรู้บ้าง’ หู่จื่อขบคิดและพยักหน้า

“ยาชนิดนี้ไม่ยาก ต้องใช้ร่างกายของคนใกล้ตาย ปลูกสมุนไพรลงในร่างกาย ใช้พลังชีวิตและเลือดเนื้อมาเป็นคุณประโยชน์หล่อเลี้ยง เมื่อสมุนไพรเติบโตเต็มที่ทั้งหมด ร่างใกล้ตายนี้ก็จะกลายเป็นวัตถุดิบสำคัญของยา จะเรียกว่าหลอมคนก็ได้

หลังจากนั้นก็ต้องใช้พลังความตายในการหลอม เมื่อหลอมเสร็จก็จะถึงวาระการตายของมนุษย์สมุนไพร อีกทั้งการตายของเขายังเป็นตัวแทนการถือกำเนิดของยา เจ้าวางใจเถอะ ข้าเคยหลอมมาแล้วครั้งหนึ่ง คุ้นเคยกับขั้นตอนยิ่งนัก รับรองว่าเจ้าจะไม่เจ็บ”

ซูหมิงยิ้มกล่าว คำพูดเขามีกลิ่นอายแปลกประหลาดโดยธรรมชาติ อีกทั้งยังหยิบสมุนไพรออกมาอีกหลายชนิด และปลูกบนตัวจื่อเชอด้วยตนเอง การกระทำของเขาเบามือยิ่งนัก ราวกับกลัวทำสมุนไพรและวัตถุดิบตรงหน้าเสียหาย

การกระทำของเขาอยู่ในสายตาของจื่อเชอ โดยเฉพาะข้างหูที่ยังคงมีเสียงบรรยายของซูหมิงกึกก้อง ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความแน่วแน่ ใบหน้าจื่อเชอพลันขาวซีด สายตาที่มองซูหมิงไม่อาจใช้คำว่าตื่นกลัวและหวาดหวั่นมาบรรยายได้แล้ว แต่เป็นตกตะลึง

แม้แต่หู่จื่อข้างกาย เมื่อได้ยินดังนั้นยังสูดลมหายใจด้วยความตะลึง มองซูหมิงด้วยสายตาแปลกพิกล

‘ศิษย์พี่ใหญ่เป็นเต่าดำ ชอบปิดด่านฝึกพลัง….ศิษย์พี่รองชอบปลูกพืช ยามกลางดึกก็มาขโมยของตัวเอง….ส่วนอาจารย์ ไม่พูดถึงดีกว่า…ตอนแรกคิดว่าบนเขาลูกนี้นอกจากข้าแล้วก็มีศิษย์น้องเล็กที่เป็นปกติ…ทว่าไม่คิดเลย เขากลับมีนิสัยแปลก

เช่นนี้ เอาคนมาเป็นวัตถุดิบและหลอมน้ำสมุนไพรทั้งเป็น จากนั้นค่อยดื่ม…’ หู่จื่อตัวสั่นเทา ถอนหายใจยาว

เขารู้แล้ว หลังจากนี้หากมีศิษย์น้องห้า เขาควรจะแนะนำน้องสี่ให้อีกฝ่ายฟังอย่างไร

“เจ้า…ศิษย์พี่รองของเจ้าจำกัดอิสระข้าเพียงสามปี หลังจากสามปีก็ต้องปล่อยข้า!”

จื่อเชอกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ไม่เป็นไร ข้าจะไปขอร้องให้เขาเปลี่ยนจากสามปีเป็นตลอดชีวิต” ซูหมิงยิ้มกล่าว มิได้เงยหน้าขึ้น แต่เจาะโพรงโลหิตบนตัวจื่อเชอแล้วปลูกสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง

“พวกเรา…..พวกเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้า…เจ้า…อาจารย์ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!” จื่อเชอมองใบหน้าที่ยิ้มโดยตลอดของซูหมิง ความตื่นตระหนกทะยานถึงขีดสุด ในความคิดเขา ใบหน้าเช่นนี้แทบจะเป็นภาพที่น่ากลัวที่สุดในโลกใบนี้

เขาเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด เห็นๆ อยู่ว่าซือหม่าซิ่นกำลังเดินทาง แต่กลับอยากให้ตนมาชิงของสิ่งหนึ่งจากซูหมิง

“ไม่เป็นไร ข้าก็มีอาจารย์เหมือนกัน” ซูหมิงยังคงก้มหน้า หยิบสมุนไพรออกมาอีกต้นอย่างจริงจัง คล้ายกำลังลังเลว่าควรจะปลูกตรงไหนบนตัวจื่อเชอดี

‘สมควรตาย ซือหม่าซิ่น นี่มิใช่ให้ข้าตอบแทนบุญคุณแล้ว แต่เจ้ากำลังทำร้ายข้า! ซูหมิงคนนี้ แม้ขั้นพลังไม่สูง ทว่าข้ากลับสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวจากในตัวเขา นี่เป็นจริงแน่นอน บุคคลนี้…บุคคลนี้ไม่ธรรมดา จะใช้ขั้นพลังมาเป็นเกณฑ์วัดมิได้!’ ภายใต้ความหวาดกลัว จื่อเชอกัดฟันแน่น แอบถอนหายใจ

“เป็นซือหม่าซิ่น เป็นเขาที่ให้ข้ามาหาเจ้าและชิงระฆังใบหนึ่ง!” จื่อเชอรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

ซูหมิงกำลังถือสมุนไพรอยู่ในมือขวา ค่อยๆ ยกขึ้น สีหน้าเขายังคงสงบนิ่งยิ่งนัก ในความคิดจื่อเชอ มันกลับเป็นความเงียบสงบเหมือนก่อนเกิดลมพายุฝน ราวกับแฝงไว้ด้วยพายุโหมกระหน่ำ

โดยเฉพาะดวงตาขวาของซูหมิง ยามนี้จื่อเชอมองไปพบว่าเป็นประกายสีแดง สีแดงคือพลังชั่วร้าย มันมิได้ปะทุออกมา ทว่าการปรากฏตัวของมันทำให้ภายในถ้ำแห่งนี้พลันเกิดไอหนาวเยือก

จื่อเชอใจสั่นสะท้าน เกิดความรู้สึกไม่กล้ามองตาขวาของซูหมิง

หู่จื่อด้านข้างเองก็สูดลมหายใจ ตัวสั่นเทาไปทั้งตัว เขารู้สึกได้ในชั่วพริบตาว่าศิษย์น้องเล็กตรงหน้านี้ต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง

“ซือหม่าซิ่นอยู่ที่ไหน” ซูหมิงกล่าวช้าๆ น้ำเสียงยังคงเหมือนเดิม ทว่าเมื่อจื่อเชอได้ยิน กลับเหมือนสายฟ้าผ่า กระทั่งบนตัวเขายังมีประกายสายฟ้าไหลเวียนแล้วมอดดับไป

“เขากำลังเร่งกลับสำนัก นับเวลาแล้วอีกประมาณสองวันน่าจะถึง…ตอนนั้นข้าเป็นหนี้บุญคุณเขาครั้งหนึ่ง ดังนั้นเขาเลยส่งสารมาหาข้า ข้าปฏิเสธไม่ได้ มิเช่นนั้นจะเป็นการล่วงเกิน ข้ามิได้ตั้งใจจริงๆ” จื่อเชอตัวสั่นเทา รีบร้อนกล่าว ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุใดต้องอธิบายมากขนาดนี้ ทว่าเขามีลางสังหรณ์เด่นชัดมากว่า หากวันนี้ไม่อธิบายให้กระจ่าง เกรงว่าการมายอดเขาลำดับเก้าครั้งนี้ ต่อให้เขาไม่ตาย ก็จะเป็นรากเหง้าแห่งภัยพิบัติครั้งใหญ่ในภายภาคหน้า

นี่คือลางสังหรณ์ของเขา หลังจากเผชิญหน้ากับซูหมิงในช่วงเวลานี้ ก็พลันเกิดลางสังหรณ์นี้ขึ้น

“ซือหม่าซิ่นมีขั้นพลังระดับใด?” ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ ดวงตาขวาเป็นประกายสีแดง กล่าวอย่างสงบ

“เขาออกไปข้างนอกหลายปี ก่อนเดินทางคือขั้นชำระล้างสมบูรณ์ ส่วนขั้นพลังตอนนี้ ข้ายังไม่เจอเขาก็เลยไม่ค่อยแน่ใจ….แต่เมื่อเขาทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูก จะต้องหาวิธีเข้าไปในอุโมงค์เหมันต์สวรรค์อย่างแน่นอน แล้วตระหนักรู้ถึงความคิดของคนรุ่นก่อนที่เหลือเอาไว้ในนั้น จากนั้นจะมีโอกาสทะลวงขั้นเซ่นไหว้กระดูกตอนต้นโดยตรง ผลัดเปลี่ยนกระดูกทั้งหมดในร่างกาย และทะลวงสู่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกมหาสมบูรณ์!

แม้ความเป็นไปได้น้อยยิ่งนัก ตามที่ข้าได้ยินมา หกพันปีมีคนทำสำเร็จเพียงสามคนเท่านั้น ทว่าหากเขาเจอกระดูกบรรพบุรุษหมานในอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ ก็ยังมีความเป็นไปได้….

เดิมทีเขาเป็นโอรสแห่งสวรรค์ของสำนักเหมันต์สวรรค์

ได้รับขนานนามว่าหนึ่งในคนที่มีโอกาสเป็นเทพหมานรุ่นสี่ ภายในสำนักเหมันต์สวรรค์ เขามีสหายมากมาย นอกจากยอดเขาลำดับเก้าแล้ว อีกแปดยอดเขาส่วนใหญ่เป็นคนของเขา หากเขาอยากเป็นศัตรูกับเจ้า…เจ้าต้องระวังตัวให้ดี…”

น้ำเสียงของจื่อเชอดังก้องภายในถ้ำอยู่นานไม่เลือนหาย

“อุโมงค์เหมันต์สวรรค์คือที่ใด?” ซูหมิงเพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้ป็นครั้งแรก

“รายละเอียดอยู่ที่ใดข้าไม่ทราบ แต่ได้ยินจากคนอื่นว่าแผ่นดินใหญ่สำนักเหมันต์สวรรค์สร้างอยู่บนอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ นี่อธิบายได้ว่า…ด้านล่างพวกเรา ตรงส่วนลึกของน้ำแข็งไร้พรมแดนก็คืออุโมงค์เหมันต์สวรรค์”

“ถึงอย่างไรยอดเขาลำดับเก้าก็อยู่ในสำนักเหมันต์สวรรค์….” จื่อเชอกล่าวต่อ กล่าวจบเหมือนลังเลครู่หนึ่ง มองสมุนไพรเหล่านั้นบนตัว เขากัดฟัน น้ำเสียงพลันเบาลง

“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะจัดการเขาก่อนเข้าอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ ชำระบุญคุณความแค้นให้เสร็จสิ้น มิเช่นนั้นแล้ว…ต่อให้เขาล้มเหลว แต่ถ้ามีชีวิตรอดออกมาได้ ก็จะมีโอกาสเข้าฝ่ายนภา

เมื่อเข้าฝ่ายนภาแล้ว ฐานะของเขาจะต่างจากพวกเราแผ่นดินเหมันต์โดยสิ้นเชิง ถึงตอนนั้นเขาจะสังหารเจ้า…เว้นแต่ยอดเขาลำดับเก้าจะมีพลังต่อกรกับฝ่ายนภา ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”

“ฝ่ายนภา?” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเรียบๆ

“สำนักเหมันต์สวรรค์แบ่งออกเป็นสองส่วนคือแผ่นดินเหมันต์กับฝ่ายนภา มีเพียงเข้าฝ่ายนภาเท่านั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นแกนกลางของสำนัก…วิธีเข้าฝ่ายนภา นอกจากสืบทอดแล้ว มีแค่เด็ดศีรษะของชาวเผ่าเชมันหนึ่งพันคนและรอดชีวิตจากอุโมงค์เหมันต์สวรรค์ ต้องทำตามสองข้อนี้เท่านั้น!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!