ตอนที่ 239 แสดงการสร้างภาพวาดครั้งแรก
ทุกลายเส้น และทุกครั้งที่ซูหมิงยกมือขวาใช้นิ้วชี้วาดภาพ มวลอากาศตรงหน้าที่เหมือนมีม่านกั้นแบ่งเป็นชั้นๆ จะหายไปหนึ่งชั้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงวาดวิถีของกระบี่เล่มนั้นราวกับลอกแบบ ความเร็วตั้งแต่เริ่มต้นค่อยๆ ช้าลง
ขณะกำลังวาดลายเส้น กาลเวลาเคลื่อนผ่าน ซูหมิงไม่รู้ว่าตนวาดไปแล้วกี่เส้น ลอกแบบกระบี่ไปแล้วเท่าไร แม้ไม่รู้รายละเอียด เขากลับรู้ว่าทุกเส้นที่ตนวาดเหมือนกัน แต่ความจริงแล้วต่างกัน หากเขาวาดหนึ่งพันเส้น หนึ่งพันเส้นนั้นก็จะต่างกัน หากเขาวาดหมื่นเส้น หมื่นเส้นก็จะต่างกัน!
ทว่าเขายังคงหาความรู้สึกเศร้าโศกที่ปล่อยมาจากกระบี่ของซือหม่าซิ่นไม่พบ ดุจไม่อาจหลอมรวมเข้าด้วยกันกับลายเส้นภาพวาด
กฎที่แฝงอยู่ในกระบี่เล่มนั้นทำให้ซูหมิงยิ่งอยากจะวาดมันเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงไปมาของมันมากเท่านั้น ประหนึ่งไม่มีโอกาสทำตาม ยากจะเข้าใจอย่างถ่องแท้และวาดมันอย่างสมบูรณ์
เขารู้ดีว่าตนแทบไม่มีทางเข้าใจพลังฟ้าดินที่แฝงอยู่ในกระบี่เล่มนั้นในช่วงเวลาอันสั้น ดังนั้นเขาจึงไม่คิดทำแบบเดียวกัน แต่ทุกลายเส้นที่ลอกแบบจะมีความแตกต่างกัน
เวลาผ่านไป ทุกครั้งที่ซูหมิงลดมือขวาลง เขาจะค่อยๆ รู้สึกว่าม่านกั้นไร้รูปหลายชั้นระหว่างกระบี่แดงฉานกับตรงหน้าเขาหายไปทีละชั้น
เมื่อม่านกั้นค่อยๆ หายไป ตัวซูหมิงเข้าใกล้กระบี่แดงมากขึ้นเรื่อยๆ
เขามีสีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่ดวงตาทั้งสองข้างว่างเปล่าราวกับเสียจิตวิญญาณ บางทีอาจพูดได้ว่าจิตวิญญาณหลอมรวมเข้าสู่นิ้วชี้มือขวาของเขาแล้ว จากการวาดทีละลายเส้น มันแผ่กระจายอยู่ในฟ้าดิน รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงพิลึกซึ่งแฝงอยู่ในกระบี่ภายใต้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
ทุกสายเส้นเหมือนการวาดภาพแต่ละภาพ ม่านกั้นไร้รูปหายไปอย่างต่อเนื่อง
ซูหมิงค่อยๆ เดินหน้า ยังไม่ถึงหนึ่งก้าวเขาก็วาดลายเส้นออกมาเหลือคณานับ ทำให้ม่านกั้นหายไปเยอะขึ้น
แต่เขาทราบดีว่าตนในตอนนี้ทำได้เพียงลอกแบบของกระบี่ มิใช่จิตวิญญาณของมัน ต่อให้เขาใช้จิตวิญญาณของตัวเองวาดก็ไร้ความรู้สึก เพราะสัมผัสไม่ถึงความเศร้าโศกนั้น
“ความเศร้า…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ใช้มือขวาวาดตรงหน้าหลายครั้ง เขาพบเจอความเศร้าของตัวเอง พบเจอความเศร้าของภูเขาทมิฬ หากแต่ความเศร้าเหล่านี้เหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง ไม่อาจหลอมรวมเข้ากับลายเส้นภาพวาดและกระบี่
“ขาดการเปลี่ยนแปลงของเวลา…” ช่วงที่ซูหมิงเดินมาอยู่ข้างกระบี่แดงฉานที่กำลังฟันลงมากลางอากาศ ระยะจากกระบี่เหมือนห่างไปไม่กี่ฉื่อ ซูหมิงพลันหยุดชะงัก เกิดความเข้าใจเลาๆ
‘ทุกสิ่งที่ข้าพบเจอ มีอยู่คนหนึ่งที่ผ่านกาลเวลามาอย่างโชกโชนที่สุด…’
ซูหมิงก้มหน้าลง ดวงตาขวาของเขาค่อยๆ มีสีแดงโลหิต กลายเป็นจันทร์โลหิตภูเขาทมิฬ
“สวรรค์หนอสวรรค์ เหตุใดเจ้าเศร้าโศกอยู่ผู้เดียว…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ก่อนหลับตาลง ยกนิ้วชี้มือขวาขึ้นโดยไม่รู้ตัว ลากเส้นผ่านหน้าตนอีกครั้ง เส้นลาดเอียงราวกับกำลังวาดอยู่บนกระดาษ บางทีมันอาจเป็นแค่เส้นแนวนอนเส้นหนึ่งเท่านั้น ทว่าลายเส้นธรรมดาๆ นี้กลับแฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินที่ผู้พบเห็นต้องแสดงอารมณ์ทางสีหน้า
ยามนี้ซูหมิงกำลังวาดอากาศ ภายใต้เสียงฉีกขาดที่หูมิได้ยิน ม่านกั้นไร้รูปชั้นสุดท้ายระหว่างซูหมิงกับกระบี่แดงฉานพลันฉีกขาดออกเมื่อวาดเสร็จ
ช่วงที่มันหายไป ซูหมิงยกมือขวาขึ้นอีกครั้ง ก่อนวาดหนึ่งเส้นบนกระบี่ที่กำลังฟันลงมาและไม่มีม่านไร้รูปขวางกั้นอีก เส้นนี้เป็นเพียงเส้นแนวนอนธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันกลับเป็นเส้นสุดท้ายที่ซูหมิงลอกแบบวิถีของกระบี่หลังจากวาดออกมาเป็นพันเป็นหมื่นเส้น
ครั้นวาดเสร็จ ข้างกายเขาพลันปรากฏเส้นแนวนอนที่เขาเคยวาดก่อนหน้านี้จำนวนมาก ลายเส้นที่เหมือนลายมือขยุกขยิกเหล่านั้น ยามนี้ปรากฏขึ้นทั้งหมด ภาพนี้คนนอกมองไม่เห็น เพราะพวกมันคือภาพของซูหมิง มีแค่เขาคนเดียวที่เห็นมัน
ตอนนี้ลายเส้นแนวนอนเหล่านั้นพลันเคลื่อนไหวมารวมตัวอยู่ตรงหน้าซูหมิง และซ้อนทับกันนับพันนับหมื่นเส้นบนเส้นสุดท้ายที่เขาวาด ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นลายเส้นแนวนอนที่แข็งแกร่งที่สุดของภาพลอกแบบวงโคจรกระบี่ที่ซูหมิงเข้าใจและวาดออกมา
ช่วงวาดที่เส้นแนวนอนนี้ ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่น คล้ายมีเสียงกึกๆ ก้องกังวาน โลกตรงหน้าเขาแตกกระจายราวกับกระจก เหมือนกับว่าพอถูกขูดหายไปหนึ่งชั้นแล้ว ก็มีเสียงดังอึกทึกกึกก้องเข้ามา ทั้งยังมีเสียงลากยาวแหลมดิ่งลงมาจากท้องฟ้า
โดยรอบกลับคืนสู่สภาพเดิม กาลเวลาที่เหมือนจะหยุดนิ่งก่อนซูหมิงรับรู้เข้าใจ ยามนี้ก็คืนสู่สภาพเดิมเช่นกัน
ราวกับทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
ซูหมิงมีสีหน้าไม่แน่ใจ เขายกมือขวาขึ้นและวาดเส้นสุดท้ายตามแบบในโลกพิลึกเมื่อครู่
ตรงหน้าเขามีเสียงแหลมลากยาวดังมา นั่นคือกระบี่แดงฉานของซือหม่าซิ่น ตอนนี้กระบี่สะท้อนกลับ เกิดเสียงระเบิดกลางอากาศ รูปทรงที่ไม่อาจคงรูปกระบี่ไว้ได้พลันกลายเป็นแสงสีแดงกลับคืนสู่ที่เดิม ซือหม่าซิ่นมีสีหน้าเหลือเชื่อ มองภูเขาเจ็ดสีด้านหลังตนด้วยแววตาตกตะลึง
ซือหม่าซิ่นหายใจกระชั้นถี่ ยามนี้ผู้คนโดยรอบพากันมองซูหมิง ในแววตาเหล่านั้นมีความตกตะลึงและตื่นกลัว เสี้ยววินาทีเมื่อครู่ พวกเขาเห็นกับตาตัวเองเลยว่าตอนที่กระบี่แดงฉานฟาดฟันใส่ซูหมิง ซูหมิงไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ เลย เพียงแต่เมื่อกระบี่ห่างไม่ถึงสิบจั้ง เขาพลันยกมือขวาแล้วเหมือนสะบัดไปทางกระบี่เบาๆ
ทว่าการสะบัดครั้งนี้ กลับทำให้ฟ้าดินระหว่างซูหมิงกับกระบี่บิดเบี้ยว ยังไม่ทันที่ผู้ชมจะเห็นชัด ก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้อง เสียงแหลมลากยาวจากตัวกระบี่ม้วนกลับ ท้ายที่สุดก็ไม่อาจคงรูปกระบี่ได้อีก!
เป็นที่ทราบกันดีว่า นั่นคือวิชาเปลี่ยนเทพหมานของซือหม่าซิ่น!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงฮือฮาก็ดังสนั่น ทุกสายตาที่มองซูหมิงล้วนตะลึงและสงสัย ประหนึ่งช่วงเวลานี้ พวกเขาได้รู้จักกับคนแปลกตาผู้นี้ใหม่
ซือหม่าซิ่นหายใจกระชั้น แม้เขาไม่บาดเจ็บ แต่ชั่วเสี้ยววินาทีเมื่อครู่ ซูหมิงสะบัดมือเหมือนวาดภาพคร่าวๆ แต่กลับทำให้กระบี่แดงฉานของเขาพ่ายแพ้ นี่จึงทำให้เขาตกใจกลัว
เขาเข้าใจดีถึงอานุภาพพลังของวิชาเปลี่ยนเทพหมาน และเพราะเข้าใจ ถึงได้หัวใจเต้นแรงเช่นนี้และมีสีหน้าเหลือเชื่อ
‘เป็นไปไม่ได้! มันมิใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก จะทำลายรูปแบบแรกที่ข้าตระหนักรู้โดยง่ายเช่นนี้ได้อย่างไร…..อีกทั้ง…..อีกทั้งมันยังต้านทานได้ในชั่วพริบตา…’ ซือหม่าซิ่นไม่อยากเชื่อในทุกอย่างที่เห็น โดยเฉพาะการสะบัดมือของซูหมิงเมื่อครู่ ยิ่งทำให้เขารู้สึกคุ้นเคย
วินาทีเมื่อครู่นี้ ความเศร้าที่ปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ ทำให้เขาตื่นตะลึง
บนยอดเขาลำดับสี่ อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายสวมเสื้อคลุมม่วง ยามนี้นัยน์ตาเป็นมันวาว ก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก พลางพิจารณามองซูหมิงในสนามรบไกลๆ
“การสร้าง…” อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายพึมพำเบาๆ มองอยู่นานไม่ละสายตากลับ
บนยอดเขาอื่นๆ ของแผ่นดินเหมันต์ ก็มีเหล่าผู้อาวุโสที่แทบไม่เคยลงเขาหลายท่านทยอยกันมองไป ในการต่อสู้เมื่อครู่ พลังจากการสะบัดมือครั้งสุดท้ายของซูหมิงเพียงพอจะทำให้พวกเขาตื่นตะลึง
บนยอดเขาลำดับแปด หญิงสาวผมยาวที่นั่งอยู่บนแท่นหินนูนโดยตลอด เวลานี้ยกมือขวาขึ้น ม้วนผมดำตรงข้างหู ตอนวางมือลง นางใช้นิ้วมือวาดเส้นเบาๆ ตรงหน้า เส้นโค้งที่นางวาดคล้ายเส้นแนวนอนของซูหมิงก่อนหน้านี้หลายส่วน
มิใช่ภายนอกที่คล้าย แต่เป็นความงามของศิลป์ที่แฝงอยู่ภายในที่คล้ายกัน กระทั่งตอนที่นางวาดเสร็จ ตรงหน้านางก็มีอากาศบิดเบี้ยวเช่นกัน คล้ายกับเลียนแบบการกระทำของซูหมิงเมื่อครู่อย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งที่นางวาดออกมากลับขาดความรู้สึกของกาลเวลาและความเศร้า
‘ลายเส้นน่าสนใจมาก…..คนยอดเขาลำดับเก้ารึ…’ หญิงสาวยิ้ม
กลางอากาศใต้ฝ่ายนภา ความลังเลในสีหน้าซูหมิงหายไป และกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง แต่ในใจยามนี้กลับตกตะลึง ขณะเดียวกับที่เขาได้สติกลับมา ความรู้สึกเจ็บปวดแล่นมาจากร่างกาย ทำเอาเขามีใบหน้าซีดขาว กระอักโลหิตกองโต ร่างโซเซถอยหลังไปหลายก้าว
ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มาจากจุดหนึ่งในร่างกาย แต่มาจากทั้งตัวเขา เลือดเนื้อทุกส่วน กระดูกทุกชิ้น กระทั่งเส้นเลือดลมและอวัยวะภายในล้วนเกิดความเจ็บปวดทั้งสิ้น
ความเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นกะทันหันยิ่งนัก ราวกับว่าการกระทำเมื่อครู่เกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะทนไหว อวัยวะและร่างกายจึงมีเค้าลางจะสิ้นกำลังลง
ขณะที่ซูหมิงถอยหลัง ระฆังเขาหานที่อยู่ไม่ไกลครอบหนอนเล็กเอาไว้แล้ว หลังจากกักมันเอาไว้ภายใน ระฆังเขาหานก็ย่อขนาดลง จนท้ายที่สุดกลับมามีขนาดเท่ากระดิ่งใบเล็ก แล้วบินมาอยู่ในมือของซูหมิง
เสียงระฆังดังมาจากกระดิ่งใบเล็ก มันสั่นสะเทือนอยู่ในมือของซูหมิงไม่หยุด ราวกับต่อต้านหนอนเล็กที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง
ระฆังเขาหานนี้ ถึงอย่างไรซูหมิงก็ยังไม่ได้ครอบครองมันโดยสมบูรณ์ แม้บอกว่าเอาติดตัวมาได้ ทว่าในด้านพลังของมัน ใช้ได้เพียงทำเสียงระฆังให้เป็นคลื่นเสียงเท่านั้น และยังใช้เป็นผนึกบางอย่างคล้ายที่สำแดงไปก่อนหน้านี้
ซือหม่าซิ่นอยู่ไม่ไกล หลังจากเห็นซูหมิงกระอักโลหิต สีหน้าถึงได้ผ่อนคลายลง มิได้ตื่นตะลึงเหมือนก่อนหน้านี้อีก หากซูหมิงสะบัดมือทำลายรูปแบบแรกของวิชาเปลี่ยนเทพหมาน และมิได้รับบาดเจ็บอะไรจริงๆ เขาซือหม่าซิ่นคงหนีกลับยอดเขาลำดับหนึ่งและปิดด่านฝึกพลังทันทีเพื่อหลบซูหมิง
ทว่าตอนนี้เห็นซูหมิงกระอักโลหิต ซือหม่าซิ่นจึงกลับมามั่นใจอีกครั้ง
เขาจ้องซูหมิง สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ห้านิ้วราวกับค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้
“หากเจ้ารับการโจมตีครั้งสุดท้ายของข้าได้ จากนี้ไปข้าซือหม่าซิ่นเมื่อพบเจ้าซูหมิง จะคุกเข่าลงคารวะทันที!” ซือหม่าซิ่นกล่าวอย่างเด็ดขาด ห้านิ้วหักลงกลางอากาศเล็กน้อย
ทันใดนั้น บนแผ่นดินแดนอรุณใต้ ภายในชนเผ่ามากกว่าหลายสิบเผ่า เด็กชายจากทุกแห่งหนที่ซือหม่าซิ่นปลูกเมล็ดพันธุ์หมานเอาไว้เหมือนกับของฟางมู่ล้วนล้มลงตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมกัน ก่อนหมดสติไป
“เมล็ดพันธุ์หมาน ยอดวิชาหมานไร้ใจ!” เส้นผมซือหม่าซิ่นเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม นัยน์ตาเปล่งแสงอ่อน พลันกางแขนทั้งสองข้าง ตัวเขาลอยอยู่กลางอากาศ ดูชั่วร้ายน่ากลัวยิ่งนัก!