ตอนที่ 249 เสื้อคลุมม่วง
“แม่นางจื่อเยียน แซ่ฮวาอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปี พวกเราคุยกันแบบรุ่นเดียวกันเถอะ เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ฮวาก็พอ” ขณะศิษย์พี่รองกล่าวก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยังคงอยู่ในท่าเอียงศีรษะเอาไว้ มองไปยังจื่อเยียน
นันย์ตาของเขาอ่อนโยน บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิ เดิมทีศิษย์พี่รองมีใบหน้าหล่อเหลา บวกกับรอยยิ้มมีพลังและไมตรีอย่างเด่นชัด ยามนี้เขาคงท่าทางแบบนี้เอาไว้ รอยยิ้มภายใต้แสงตะวันสาดส่อง ฉากหลังเป็นเมฆขาวท้องฟ้าคราม ฉากล่างเป็นพืชดอก ทำให้เขามีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
จื่อเยียนขมวดคิ้วงาม ถอยหลังอีกหลายก้าว มองชายตรงหน้าอย่างตื่นตัว
“แม่นางจื่อเยียน ได้ยินว่าเจ้ากำลังหาศิษย์น้องสามของข้า เรื่องนี้ข้าพอเข้าใจ…” ศิษย์พี่รองมองจื่อเยียน กล่าวแล้วหยุดไป
จื่อเยียนเลิกคิ้ว ไม่กล่าวสิ่งใด
“ข้าเสียใจกับการกระทำที่น่ารังเกียจเช่นนี้อย่างสุดซึ้ง และโกรธเคืองยิ่งนัก แม่นางจื่อเยียนวางใจเถอะ ถึงเจ้าจะหาหู่จื่อไม่พบ ทว่าข้าช่วยเจ้าหาได้ จะต้องหาเขาเจอแน่นอน!”
“จริงรึ!” จื่อเยียนมีสีหน้าสงสัย
“จริงแท้แน่นอน แม่นางจื่อเยียนวางใจ ข้าจะพาเจ้าไปหาเขา ข้าเกลียดการกระทำเช่นนี้ที่สุด ข้าเองก็ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้มาก่อน” ศิษย์พี่รองกระแอมไอ มีสีหน้าจริงจัง
“ทว่าแม่นางจื่อเยียน ศิษย์น้องสามข้าน่าสงสารยิ่งนัก เขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เยาว์วัย ความจริงแล้วที่เขาไป…ถ้ำมอง อันที่จริงแล้วเจ้าน่าจะเข้าใจ
เฮ้อ เด็กที่ไม่ได้รับความรักของบุพการีตั้งแต่เล็ก ข้าเองก็เป็นเหมือนบิดาและพี่ชายของเขา ข้าหวังว่าแม่นางจื่อเยียนจะให้อภัยเด็กคนนี้” ศิษย์พี่รองถอนหายใจเบา ยังคงเอามือไพล่หลังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าขยับเท้าเล็กน้อย ให้แสงตะวันส่องเสี้ยวหน้าตลอด
จื่อเยียนมึนงง นางไม่รู้จักหู่จื่อดี พอได้ยินดังนั้นจึงเกิดความลังเล หากหู่จื่อเป็นคนพูดประโยคนี้เอง นางจะไม่เชื่อเด็ดขาด แต่ความแข็งแกร่งของบุคคลตรงหน้า นางเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้ว ผู้แข็งแกร่งลึกลับกล่าวเช่นนี้ นางจึงอดเชื่อสักเล็กน้อยไม่ได้
“ข้าเป็นเหมือนพี่ชายของเขา เหมือนบิดาของเขา เมื่อเด็กทำผิดข้าต้องรับผิดชอบ! แม่นางจื่อเยียน เจ้า…ไม่ต้องไปเอาเรื่องเด็กคนนั้นแล้ว” ศิษย์พี่รองมองจื่อเยียน สีหน้าจริงใจยิ่ง
“เด็ก?” ผ่านไปครู่หนึ่ง จื่อเยียนจึงกล่าวด้วยความฉงน
“เป็นเด็กแน่นอน เจ้าอย่ามองที่อายุเขา แท้จริงแล้วเขายังเป็นเด็ก” ศิษย์พี่รองตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นโดยไม่ลังเล
“เอ่อ…” จื่อเยียนแคลงใจมากกว่าเดิม นางมองชายตรงหน้า สีหน้าและอารมณ์ไม่เหมือนการเสแสร้งแม้แต่น้อย โดยเฉพาะตอนที่นางมองในเวลานี้ กลับรู้สึกว่าความอบอุ่นภายใต้แสงตะวันของบุคคลนี้เหมือนมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทำให้ต้องเชื่อคำพูดเขา
“ดังนั้นแม่นางจื่อเยียน ข้ากับเจ้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน อย่าไปสร้างปัญหาให้คนรุ่นเยาว์เลย ความผิดของเขาข้าจะรับผิดชอบเอง เจ้าจะลงโทษอย่างไร ข้าจะรับไว้เองคนเดียว!” ศิษย์พี่รองสะบัดแขนเสื้อ เปลี่ยนมุมให้แสงตะวันส่องใบหน้าด้านข้างอีกครั้ง พลางเพ่งมองจื่อเยียน
จื่อเยียนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนส่ายศีรษะ
“ช่างเถอะ เขาก็น่าสงสารจริงๆ ข้าเข้าใจการกระทำของเขา เช่นนั้นก็ปล่อยไปแล้วกัน อาจารย์อารอง…”
“ศิษย์พี่ฮวา!” ศิษย์พี่รองกล่าวแก้ให้อย่างจริงจัง
“…ศิษย์พี่ฮวา จื่อเยียนมารบกวนหลายครั้งแล้ว ขอลาตรงนี้” จื่อเยียนชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวเบาๆ
“แม่นางจื่อเยียน!” ศิษย์พี่รองพลันมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น
“ความผิดของเขา ข้าบอกแล้วว่าจะรับผิดชอบเอง เอาแบบนี้ ข้าจะตามเจ้าไปยอดเขาลำดับเจ็ด และลงโทษตัวเองโดยการคุ้มกันเจ้าเป็นเวลาสามปี ใช้เวลาสามปีนี้ชำระหนี้ความผิดของหู่จื่อ” ศิษย์พี่รองกล่าวจบก็ถอนหายใจ สีหน้าอบอุ่นและน้ำเสียงหนักแน่นนั้น หากหู่จื่ออยู่ข้างๆ บางที…ก็แค่บางที เขาอาจจะซาบซึ้งใจมากก็เป็นได้?
“ศิษย์พี่ฮวา…เอ่อ ไม่ต้องจริงๆ” จื่อเยียนเริ่มทนไม่ไหว ถอยไปอีกหลายก้าว
“สามปีไม่พอ? เช่นนั้นก็สิบปี ข้ายินยอมลงโทษตัวเองไปยอดเขาลำดับเจ็ดเพื่อปกป้องเจ้าสิบปี” ศิษย์พี่รองกำลังจะเดินหน้าหนึ่งก้าว ทว่ากลับลังเลครู่หนึ่ง ไม่เดินต่อ เพราะแสงตะวันตรงนั้นไม่งดงามเท่าตรงนี้
“ปัดโธ่ ไม่ต้องจริงๆ” จื่อเยียนเอ่ยอย่างร้อนรน ความเป็นมิตรของศิษย์พี่รองท่านนี้ทำให้นางกลัวเล็กน้อย
“แม่นางจื่อเยียน ความจริงแล้ว…” ศิษย์พี่รองมองจื่อเยียน มีสีหน้าหนักแน่น
“ความจริงแล้ว คนที่แอบมองเจ้าก็มีข้าอยู่ด้วย ดังนั้นเจ้าต้องรับคำขอโทษของข้า”
จื่อเยียนได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนยิ้มฝืดเฝื่อน
“ศิษย์พี่ฮวา ท่านอย่ามาล้อเล่น ข้ารู้ว่าไม่มีท่านด้วย โธ่เอ๊ย เรื่องนี้ช่างมันเถอะ ข้าขอตัวก่อน” ขณะจื่อเยียนกล่าวก็รีบถอยกรูไปตรงบันไดภูเขา แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
นางรู้สึกว่าที่นี่น่าอึดอัดไปทั้งตัว
“แม่นางจื่อเยียน มีข้าจริงๆ นะ!” เห็นจื่อเยียนกำลังจะไป ศิษย์พี่รองเดินตามไปหลายก้าว
“เอาแบบนี้แหละ ข้าขอตัวก่อน…” จื่อเยียนไม่หันหน้ากลับ แต่ทะยานลงบันไดภูเขาอย่างเร็วรี่ ดูจากท่าทางแล้ว หากศิษย์พี่รองตามมา นางจะต้องบินหนีอย่างแน่นอน
“ไม่ได้!” ศิษย์พี่รองก้าวเท้าตาม พลันมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าจื่อเยียน
“แม่นางจื่อเยียนใจกว้างนัก แต่แซ่ฮวามิใช่คนไม่รู้ถูกผิด ในเมื่อเจ้าไม่รับคำขอโทษจากข้า เช่นนั้นก็รับคำขอสามข้อจากข้า แม่นางจื่อเยียนมาหาแซ่ฮวาได้ทุกเมื่อ” ศิษย์พี่รองกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ได้ๆ ข้าจะจำเอาไว้ ศิษย์พี่ฮวา ข้าขอตัวก่อน ไม่ต้องส่งๆ…” จื่อเยียนรีบพยักหน้าแล้วบินจากไปอย่างรวดเร็ว อ้อมศิษย์พี่รองห้อเหยียดไกลออกไป และหายไปในชั่วพริบตา
จื่อเยียนตกใจกับไมตรีของศิษย์พี่รอง ไม่สนว่าหานชางจื่อยังอยู่หรือไม่ รีบจากไปอย่างกระอักกระอ่วนใจ
ณ ด้านนอกถ้ำของซูหมิง มือขวาของซูหมิงตวัดลายเส้นสุดท้ายบนกระดานภาพ
ภาพนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ช่วงที่ซูหมิงส่งให้หานชางจื่อ นางมองกระดานภาพพลางเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจ ผ่านไปนาน นางจึงวางกระดานภาพลง มองซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วกลายเป็นสายรุ้งจากไป
บนกระดานภาพนั้นว่างเปล่า
คนที่จะเห็นต้องได้เห็น คนที่ไม่เห็น ไม่ว่าทำอย่างไรสุดท้ายก็มองไม่เห็น
ซูหมิงไม่รู้ว่าหานชางจื่อเห็นภาพนั้นหรือไม่ เขามองเงาร่างของนางจากไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงหลับตาลง ตอนที่เขาลืมตาอีกครั้ง แววตาก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนน้ำ
เขาถือกระดานภาพเงียบๆ ก่อนลอกแบบกระบี่เล่มนั้นของซือหม่าซิ่นอีกครั้ง การลอกแบบทุกครั้งจะทำให้เขาเข้าใจมากขึ้นเล็กน้อย สั่งสมทีละนิด ค่อยๆ รับรู้ถึงอานุภาพของลายเส้นนั้นที่ตนแสดงออกมา
สามวันต่อมา หู่จื่อออกมาจากที่ซ่อนตัวอย่างเงียบๆ เห็นจื่อเยียนเหมือนไม่สนใจเขาอีกก็ยิ่งลำพองใจ เอาแต่ดื่มสุราในถ้ำตลอดทั้งวัน พึมพำไปพลาง ขยับก้อนน้ำแข็งไปพลาง นำพวกมันรวมเข้าด้วยกัน ทั้งยังส่งเสียงหัวเราะพิลึก
ศิษย์พี่รองยังคงเหมือนเดิม ปลูกพืชดอกไปมา ทว่าเขามีงานอดิเรกเพิ่มมาอีกอย่างคือ ตอนกลางวันจะไปหามุมที่มีแสงตะวันงดงามที่สุด ให้แสงตะวันส่องเสี้ยวหน้าของตัวเอง และเหมือนว่าเขาจะชอบทำแบบนี้ยิ่งนัก
ส่วนอาจารย์เทียนเสียจื่อ หลังจากจื่อเยียนไม่มายอดเขาลำดับเก้าแล้ว เขาก็ค่อยๆ ออกมา ในทุกวันยามเช้าตรู่ คนบนยอดเขาลำดับเก้าจะได้ยินเสียงคำรามลากยาวดังแว่วมาจากปลายสุดของยอดเขา
เสียงคำรามนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงมา ท่ามกลางเสียงร้องลั่น เทียนเสียจื่อจะบินออกมา แล้วไปในทิศทางที่ต่างกัน ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร และมักจะกลับมาช่วงเที่ยงวัน
อยู่มานานแล้ว ซูหมิงจึงได้รู้ถึงงานอดิเรกนี้ของอาจารย์
ขณะเดียวกัน กาลเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ซูหมิงก็พบนิสัยแปลกๆ อีกอย่างของอาจารย์เทียนเสียจื่อ!
พูดถึงนิสัยแปลกนี้ ก็ยังคงมาจากปากของศิษย์พี่รอง รวมถึงซูหมิงยังรู้จากการสังเกตของตัวเองด้วย
“เจ้าดู วันนี้อาจารย์สวมชุดขาว เขาน่าจะบินไปทางหนือ” บนแท่นราบนอกถ้ำของซูหมิง ศิษย์พี่รองนั่งอยู่ตรงนั้น ด้านข้างเขามีซูหมิงนั่งอยู่ ยามนี้ศิษย์พี่รองเงยหน้ามองส่วนยอดเขา ถอนหายใจกล่าว
หลังจากกล่าวจบ มีเสียงคำรามดังมาจากยอดเขา พบว่าเทียนเสียจื่อสวมอาภรณ์สีขาวบินตรงไปทางทิศเหนือ
“ยามเช้าหากอาจารย์อารมณ์ดีก็จะเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเล็กต้องเคยชินเข้าไว้” “วันนี้อาจารย์สวมชุดแดง เขาจะบินไปทางตะวันตก”
“วันนี้อาจารย์สวมชุดดำ เขาต้องบินไปทางใต้แน่นอน…” ด้านข้างศิษย์พี่รองยังมีหู่จื่อนั่งอยู่ เขาถือน้ำเต้าสุรา กล่าวพึมพำในยามเช้าตรู่โดยไม่มองท้องฟ้า
แน่นอนว่าบนยอดเขา เทียนเสียจื่อสวมชุดดำและบินไปทางใต้จริงๆ
“วันนี้อาจารย์สวมชุดเขียว ใส่หมวกฟางสีเขียว เจ้าดูสิ วันนี้เขาอารมณ์ไม่ดี บินไปทางตะวันออก…” ศิษย์พี่รองไม่เงยหน้า ในมือถือใบพืชสีเขียวหนึ่งใบยามกล่าวเบาๆ
ซูหมิงกำลังนั่งวาดภาพกระบี่เล่มนั้นของซือหม่าซิ่น ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ามอง สีหน้าพลันอึ้งงัน
ท่ามกลางเสียงคำรามจากยอดเขา เทียนเสียจื่อสวมชุดเขียว ใส่หมวกฟางสีเขียว กำลังเหยียบอากาศบินไปทาง…ทิศเหนือ
ภาพนี้ทำให้หู่จื่อที่กำลังดื่มสุราตะลึงงัน รีบขยี้ตา
“ไม่ถูกต้อง เหตุใดอาจารย์บินไปทางเหนือ?”
ศิษย์พี่รองเองก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าพลันจริงจัง
“อาจารย์มีปัญหาแล้ว!”
จื่อเชอกำลังนั่งฌานอยู่ไม่ไกล หลายวันมานี้เขาเข้าใจความประหลาดของยอดเขาลำดับเก้ามากขึ้น ยามนี้ได้ยินดังนั้น โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามของซูหมิง หัวใจพลันเต้นแรง เขารู้สึกรางๆ ว่าตนจะพบความลับอะไรบางอย่าง
ขณะเดียวกัน เทียนเสียจื่อในชุดเขียวบนท้องฟ้าที่กำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือพลันหยุดชะงัก หลังจากนิ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก็เหมือนพึมพำอะไรบางอย่าง แล้วหันศีรษะบินไปทางตะวันออก…
หู่จื่อกลอกตาแล้วหยิบสุราขึ้นมาดื่มต่อ ราวกับไม่พอใจการกระทำของเทียนเสียจื่อยิ่งนัก ซูหมิงขมวดคิ้ว มองศิษย์พี่รองแวบหนึ่ง เขาเห็นว่าแววตาของศิษย์พี่รองมีความเคร่งขรึมเพิ่มเข้ามาอย่างพบเห็นได้ยาก
“ครั้งก่อนที่อาจารย์พลาดแบบนี้ ข้าจำได้ว่าคือเมื่อสิบห้าปีก่อน…..หรือว่า เขาในชุดเสื้อคลุมม่วงจะกลับมา…” ศิษย์พี่รองสูดลมหายใจเข้าลึก มองหู่จื่อกับซูหมิง
“เสื้อคลุมม่วง?” ซูหมิงมองศิษย์พี่รองเช่นเดียวกัน