Skip to content

สู่วิถีอสุรา 274

ตอนที่ 274 พร่าเลือน

หลังจากไป๋ซู่กลับไป จื่อเชอคารวะซูหมิงด้วยความนอบน้อม ก่อนรีบจากไป จนกระทั่งเดินออกจากถ้ำไปราวสิบกว่าจั้ง เขาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันกลับไปมองถ้ำซูหมิงแวบหนึ่ง ในแววตามีความเคารพ

‘เขา…ไม่เหมือนเดิมแล้ว’ จื่อเชอก็บอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง

ภายใต้ฉากท้องฟ้ายามค่ำคืน ซูหมิงหายใจอย่างสงบในถ้ำ นั่งฌานเงียบๆ บาดแผลบนตัวที่ถูกยับยั้งเอาไว้แล้ว ค่อยๆ ดีขึ้นจากการปรับลมหายใจ

จนกระทั่งถึงยามรุ่งอรุณ ซูหมิงลืมตาขึ้น แววตาเขาไร้ประกาย มีเพียงความใสกระจ่าง กำลังมองค่ำคืนมืดสลัวนอกถ้ำ มีลมหนาวโชยเข้ามา พัดเส้นผมกระทบใบหน้า

‘การต่อสู้ในแดนเผ่าเชมัน…’ ซูหมิงก้มหน้ามองสองมือของตัวเอง สีหน้าครุ่นคิด ภาพต่างๆ ตั้งแต่ล่าสังหารหนึ่งในคู่ดาราเพียงลำพัง จนกระทั่งเดินออกจากเผ่าเชมันกิ้งก่าค่อยๆ ฉายในความคิด

“การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าทำพลาดหลายจุด” ซูหมิงพึมพำ ใช้มือซ้ายถือกระดานภาพ แล้วใช้มือขวาวาดลายเส้นด้านหลังกระดาน รูปภาพต่างๆ ทยอยกันปรากฏบนกระดานภาพตรงหน้าซูหมิง

สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างแรกคือภูเขาเล็กนูนสูงขึ้นในป่าทึบ เงาของเขายืนอยู่บนยอดเขาแล้วห้อเหยียดลงไปด้านล่าง ตรงตีนเขามีหนึ่งในคู่ดาราที่เขาสังหารกำลังทะยานขึ้นมาเช่นกัน

‘แม้จะประเมินศัตรูไว้สูงมากแล้ว…ทว่าช่วงเวลาสำคัญก่อนการต่อสู้กลับมองข้ามเรื่องลักษณะพื้นที่ ต่อให้ไม่รู้ถึงความพิลึกของที่นั่น ยามเห็นเหยื่อพลันหยุดชะงักก็ควรจะระวังตัว’ ซูหมิงมองกระดานภาพ ภาพแรกในความคิดปรากฏอย่างชัดเจน

‘การต่อสู้ครั้งนี้ เดิมทีข้าจะไม่บาดเจ็บก็ได้…และยังมีเด็กหนุ่มคนนั้น ข้ากับเขาเดิมทีจะไม่ทำพลาดก็ได้ แม้ข้าไม่สังหารเขา ก็น่าจะพาเขามาด้วย รอจนกว่าข้าปลอดภัยแล้วค่อยปล่อยเป็นอิสระ’

ซูหมิงหลับตา ช่วงที่ลืมตาอีกครั้ง เขาดีดมือขวาบนกระดานภาพ ฝุ่นผงเบาบางบนนั้นปลิวหาย เมื่อลบภาพแรกแล้ว มือขวาเขาจึงวาดต่อ

สิ่งที่ปรากฏบนกระดานภาพครั้งนี้เป็นป่าทึบ เป็นเงาคนเผ่าเชมันสิบกว่าคนห้อเหยียดเข้ามารอบตัวซูหมิงขณะเขานั่งขัดสมาธิอยู่บนต้นไม้ใหญ่

‘ความตื่นตัวยังไม่มากพอ การกระทำยังไม่รอบคอบพอ ที่นั่นคือเผ่าเชมัน หากก่อนพักข้าวางกับดักเอาไว้หลายจุดรอบตัว…และวางหนังสัตว์ทุ่งหญ้าสีแดงละก็…การต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่ต้องใช้สมบัติของศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ต้องบาดเจ็บมากเกินไป เพียงการโจมตีแต่ละครั้งก็สังหารพวกเขาได้ทั้งหมด!’

ซูหมิงสะบัดมือขวา วาดบนกระดานภาพต่อ สิ่งที่ปรากฏต่อมาบนกระดานภาพคือการล่าสังหารและโจมตีสวนกลับระหว่างซูหมิงกับชายชราเผ่าเชมัน

ซูหมิงมองภาพนี้ แววตาขยับประกาย

‘การต่อสู้ครั้งนี้ ข้ามิได้ทำพลาด…ทว่าหากแก้ความผิดพลาดสองครั้งก่อน บางทีการต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่เกิดขึ้น แต่ต่อให้มันเกิดขึ้นก็จะมีเวลาเหลือมากพอ ชัยชนะของข้าไม่น่าจะยากขนาดนั้น การเดินทางไปเผ่าเชมันครั้งนี้ จะเห็นได้ว่าในการต่อสู้จริงๆ ข้ายังมีอีกหลายจุดที่ไม่ดีพอ…รอบคอบ รอบคอบ ต้องรอบคอบกว่านี้!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเด็ดเดี่ยว

สรุปข้อผิดพลาดของตัวเองในการต่อสู้นี้ สรุปสิ่งที่ยังขาดของตัวเองในการต่อสู้ นี่คือเส้นทางที่ซูหมิงสรุปออกมาเพื่อพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ

วิกฤติความเป็นตายหนึ่งครั้ง สิ่งที่แลกมามิใช่เพียงความปีติที่รอดพ้นจากความตาย หากเป็นเช่นนั้น บางทีอาจไม่มีโชคช่วยครั้งที่สอง

ในความคิดซูหมิง สิ่งที่เขาแลกมาจากวิกฤติความเป็นตายน่าจะเป็นการแปรเปลี่ยนและเติบโต รวมถึงการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง วิธีแก้ไขข้อผิดพลาดและจัดการกับตัวเองให้ถูกต้อง เมื่อเขาพบกับวิกฤติอันตรายในครั้งหน้า สิ่งนี้จะทำให้เขาได้รับโอกาสมีชีวิตรอดมากขึ้น

‘ต้องรอบคอบในทุกก้าวและทุกการกระทำ ตื่นตัวตลอดเวลาเพราะรอบด้านอาจจะเกิดภัยอันตรายได้ทุกเมื่อ ต้องทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะแข็งแกร่งขึ้นในสงครามล่าเชมัน ทั้งยังมีชีวิตรอดกลับมา’ ซูหมิงหลับตาลง จำบทเรียนครั้งนี้เอาไว้ขึ้นใจ

‘นอกจากคำพูดและการกระทำไม่ดีพอแล้ว ยังมีอีกจุดหนึ่งที่ข้าต้องระวังและปรับแก้ให้ถูกต้อง’

ซูหมิงลืมตา ยกมือขวาวาดในอากาศด้านหน้า เมื่อลากผ่านแล้ว ซูหมิงมองจุดที่ลากผ่านนั้น แววตาเป็นประกาย

‘ลายเส้นนี้สมบูรณ์แล้ว บางทีมันอาจจะยังไม่ดีเลิศ ทว่าด้วยขั้นพลังกับความเข้าใจของข้าในตอนนี้ นี่คือขีดจำกัดของข้าแล้ว…ทว่านอกจากลายเส้นนี้ ในด้านฤทธิ์เดชวิชา ข้าก็ไม่มีอะไรไปต่อกรกับศัตรูอีก…’ ซูหมิงขมวดคิ้ว ก่อนเขามายอดเขาลำดับเก้าก็ยังเคยตรึกตรองถึงเรื่องนี้

ทว่าพอมายอดเขาลำดับเก้า ทำตามที่เทียนเสียจื่อคอยชี้แนะ จนตามหาวิธีทำจิตใจสงบพบ แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาวิชาอิทธิฤทธิ์อื่นๆ เลย

การต่อสู้กับเผ่าเชมัน ทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงจุดอ่อนและข้อบกพร่องของตัวเอง

‘ขาดอิทธิฤทธิ์….ในด้านความเร็วข้าชำนาญอยู่แล้ว ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับชายชราเผ่าเชมันกลับเทียบไม่ติด! นอกจากอิทธิฤทธิ์กับความเร็วแล้ว การป้องกันก็เช่นกัน

เกราะแม่ทัพเทพป้องกันศัตรูในระดับเดียวกันได้ แต่หากเจอผู้แข็งแกร่งจะทำให้เกราะฟื้นตัวไม่ทันจนแตกสลาย สาเหตุคือไม่ไปราชวงศ์ต้าอวี๋เพื่อรับเกราะที่แท้จริงมา จึงทำให้มันไม่แข็งแกร่ง ดีที่มีระฆังเขาหานอยู่

ทว่าการใช้งานระฆังสำหรับข้าแล้ว จุดสำคัญคือใช้เสียงระฆังทำให้คนใจลอย ไม่ได้ป้องกัน จะใช้มันปกป้องก็ต้องเป็นการปกป้องชีวิตครั้งสุดท้ายจริงๆ

นอกจากนี้แล้ว ข้ายังขาดของวิเศษอีกมาก เพลิงน้ำแข็งของศิษย์พี่ใหญ่ก็ใช้ไปแล้ว จิตของอาจารย์อาไป๋ก็เป็นควันหายไปแล้ว…ทุกอย่างเหล่านี้ต้องเตรียมเอาไว้ให้เยอะก่อนสงครามล่าเชมัน’ ซูหมิงขมวดคิ้ว

‘และยังมีเม็ดโอสถ ตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว ต้องหลอมเพิ่มอีก พลังของโอสถชิงวิญญาณเกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้ เจ้าสิ่งนี้ทำให้ชายชราเผ่าเชมันหยุดชะงักชั่วครู่ แม้ข้ายังไม่อาจฉวยโอกาสชั่วพริบตานั้น แต่หากความเร็วข้ามากพอ ใช้โอสถชิงวิญญาณสองเม็ดถึงสามเม็ดหรือมากกว่านั้นตรึงอีกฝ่าย เช่นนั้น…ก็ใช่ว่าข้าจะไม่มีโอกาส!’

ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด เล่นเศษหินสีดำที่แขวนอยู่ตรงคอ ในความคิดเขาค่อยๆ ผุดของที่เรียกว่าโอสถมอบจิต หนึ่งในเม็ดโอสถที่เขาหลอมได้

‘ตอนชายชราเผ่าเชมันเห็นเม็ดโอสถชิงวิญญาณเคยบอกว่าเป็นเม็ดยาฮวงของเผ่าเชมัน…หรือว่าเศษหินนี้จะมาจากเผ่าเชมัน?’ ซูหมิงขมวดคิ้ว เขารู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่

ขณะซูหมิงกำลังขบคิด ท้องฟ้านอกถ้ำค่อยๆ มีแสงสาดส่อง จนกระทั่งสว่างจ้า ยามรุ่งอรุณมาเยือน

เมื่อแสงตะวันยามเช้าส่องเข้ามาในถ้ำ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ในใจมีแนวทางในการเตรียมตัว จึงยืนขึ้นเดินออกจากถ้ำ

หกวันแล้ว ตั้งแต่เทียนเสียจื่อพาเขาออกไปจนกลับมา ในเวลาหกวันเต็มๆ นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขายืนอยู่บนแท่นราบนอกถ้ำ ยามรุ่งอรุณ สูดลมหนาวพลางมองทะเลหมอกนอกภูเขา มองเกล็ดหิมะที่ลอยล่องเป็นบางครั้ง

เขายืนอยู่ตรงนั้น มองไปสุดสายตา แม้ตรงนั้นขมุกขมัว ในแววตาเขากลับรู้สึกได้ว่าด้านหลังความขมุกขมัวนั้น บนแดนเผ่าเชมันหลังกำแพงหมอกนภาเป็นเช่นไร

“ศิษย์น้องเล็ก อรุณสวัสดิ์” น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิดังแว่วมาจากด้านหลังของซูหมิง เมื่อซูหมิงหันไปมองก็พบว่าเป็นศิษย์พี่รองในชุดคลุมยาว เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนเดิม

“ศิษย์พี่รอง ท่านตื่นเช้ามาก” ซูหมิงแปลกใจเล็กน้อย เขาไม่ค่อยเห็นศิษย์พี่รองตื่นเช้าเช่นนี้ ส่วนใหญ่ยามเที่ยงวันกว่าศิษย์พี่รองจึงจะตื่น ถึงอย่างไรการล่องลอยไปมาหลายครั้งในยามค่ำคืน ก็ต้องพักผ่อนในยามเช้าตรู่

ศิษย์พี่รองกระแอม เขาหันเอียงหน้าเล็กน้อยให้แสงตะวันส่องใบหน้า

“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่เข้าใจแล้ว มีคำพูดประโยคหนึ่งดีมาก คือการนอนเร็วตื่นเช้าจะทำให้สุขภาพดี” ศิษย์พี่รองโคลงศีรษะ

ซูหมิงยิ้ม ไม่กล่าวสิ่งใด

“หืม?” ศิษย์พี่รองเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง พลันหรี่ตาลง มองซูหมิงอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนใช้มือขวาตบตัวซูหมิง เดินวนรอบครบหนึ่งรอบแล้วพลันกล่าวขึ้น

“น้องสี่ บอกศิษย์พี่มา อาจารย์สวมชุดม่วงมาหาเจ้าในยามค่ำคืนใช่รึไม่? เจ้าตอบไปว่าอย่างไร?”

“คำตอบข้าคือ…ข้าอยากดู” ซูหมิงยิ้ม

“แบบนี้…ไม่ดี…” ศิษย์พี่รองตะลึงงัน ใบหน้าเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นมากขึ้นจนกลายเป็นหัวเราะเสียงดัง

“เหตุใดตอนแรกข้าถึงคิดไม่ได้เช่นนี้ แบบนี้….ไม่ดีจริงๆ …..” นัยน์ตาศิษย์พี่รองฉายแววคาดหวังรอคอย ตบบ่าซูหมิง

“หลังจากนั้นล่ะ อาจารย์ทำอย่างไรต่อ?”

“พาข้าไปชมการต่อสู้ ให้ข้าดูการสร้างซวิน ไปเผ่าเชมัน สังหารกลุ่มชาวเผ่าเชมัน…” ซูหมิงกล่าวเบาๆ

ศิษย์พี่รองเบิกตากว้าง ฉายแววเฝ้าปรารถนา แววตาค่อยๆ มีความเด็ดขาด

“ครั้งหน้าอาจารย์สวมชุดคลุมม่วงมาหาข้าเมื่อไร ข้าก็จะตอบไปแบบนี้!”

ศิษย์พี่รองกำลังจะกล่าวต่อ ทว่ากลับพลันเงยหน้าขึ้น รีบจัดระเบียบเสื้อผ้า ทั้งยังรักษาท่าทางให้แสงแดดส่องเสี้ยวหน้าไว้ ยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน

พบว่ามีสายรุ้งยาวสองเส้นหน้าหลังมาจากยอดเขาลำดับเจ็ด สายรุ้งด้านหน้าเป็นสตรีผู้หนึ่ง นางมีใบหน้างดงาม ทว่ากลับขมวดคิ้ว มีท่าทางไม่เต็มใจเล็กน้อย นางก็คือจื่อเยียน

หลังจากนางเข้าใกล้ยอดเขาลำดับเก้าแล้ว ก็ถลึงตามองจื่อเชอแวบหนึ่ง

จื่อเชอมิกล้ามอง รีบก้มหน้าลง ยามนี้ศิษย์พี่รองยืดอก ยังคงให้แสงแดดส่องแถบใบหน้า กล่าวกับจื่อเยียนด้วยเสียงนุ่มนวล

“แม่นางจื่อเยียน พวกเราไปกันเถอะ” ขณะกล่าวก็เดินอากาศไปทางจื่อเยียน แล้วกลายเป็นสายรุ้งสองเส้นจากไปโดยที่จื่อเยียนไม่เต็มใจ

ซูหมิงไม่มองจื่อเยียนกับศิษย์พี่รอง แต่มองสายรุ้งอีกเส้นจากยอดเขาลำดับเจ็ด พบว่าเป็นสตรีชุดขาว มีเชือกฟางสีแดงมัดผมเอาไว้ ข้างหูสองข้างถักเป็นเปียเล็กๆ สองเส้น ตรงหน้าผากประดับผลึกสว่างพร่างพราว

ทันใดนั้น เบื้องหน้าซูหมิงเหมือนพร่าเลือน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!