Skip to content

สู่วิถีอสุรา 287

ตอนที่ 287 คนยอดเขาลำดับเก้าบุกชายแดนเหนือ

หู่จื่อเหมือนพยัคฆ์ลงภูเขา กระทืบพื้น หิมะแตกกระเซ็น ทำให้โดยรอบขมุกขมัว ทว่าเงาเขากลับทะยานออกมาในฉับพลัน ขวานยักษ์ในมือขวานี้ ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูเป็นสนิม ด้ามขวานสร้างขึ้นจากกระดูกสัตว์

เมื่อหู่จื่อทะยานออกไป เหมือนมีเสียงพยัคฆ์คำรามสนั่น พุ่งเข้าไปในประตูใหญ่เผ่าชายแดนเหนือ!

พลังของศิษย์พี่รองเหมือนกับสายรุ้ง เดินหนึ่งก้าวแผ่นดินสั่นสะเทือน เหยียบเท้าลงแล้วหิมะแตกกระเซ็นโดยรอบ ใต้เท้าเขาพลันปรากฏสีเขียว ตรงนั้นมีพืชสีเขียวงอกขึ้นเต็มพื้นอย่างน่าอัศจรรย์

“พวกเจ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว ข้าให้เกียรติพวกเจ้าขนาดนี้ พวกเจ้ากลับทำเช่นนี้ด้วย ข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว!” ศิษย์พี่รองมีสีหน้าโกรธแค้น รอยยิ้มหายไป ขณะเดินหน้ายกมือขวาขึ้น สะบัดไปทางกลุ่มคนที่เข้าขวางพวกเขาอยู่ตรงหน้า

ทันใดนั้น สีเขียวปรากฏท่ามกลางผืนหิมะขาวกว้างใหญ่ แผ่ขยายมาจากตัวชาวเผ่าชายแดนเหนือสามคนที่กำลังเข้ามาใกล้ศิษย์พี่รอง พวกเขาไว้ผมยาวถึงบ่าและมีใบหน้าดุร้าย

แทบจะชั่วพริบตาเดียว ใต้เท้าชาวเผ่าชายแดนเหนือสามคนที่พุ่งตัวเข้ามาพลันมีพืชสีเขียวปรากฏขึ้นโดยไร้ที่มา และลุกลามบนตัวพวกเขาด้วยความเร็วน่าประหลาด ตอนที่ทั้งสามคนมาอยู่ตรงหน้าศิษย์พี่รอง ทั้งตัวเต็มไปด้วยพืชสีเขียว ใบหน้ามัวหมอง พยายามดิ้นรนก็ไม่ขยับ

“ศิษย์พี่รอง มิใช่ว่าพวกเขาไร้มารยาท แต่เป็นพวกเราสวมผ้าคลุมหัว ย่ามันเถอะ ไม่ว่าใครเห็นเราก็ต้องไม่เกรงใจกันทั้งนั้น และก็รู้ด้วยว่าพวกเราจะทำอะไร พวกเขาจะมีมารยาทกับท่านได้ยังไง!” หู่จื่อกำลังแกว่งขวานอยู่ไกลๆ ยังไม่ลืมหันมาตะโกนใส่ศิษย์พี่รอง

ศิษย์พี่รองตะลึง คลำผ้าคลุมหัวทันใด ส่ายศีรษะแล้วถอนหายใจ

“ไม่ได้ใส่ร้ายกงซุนหู่สำเร็จ นับว่าเขาโชคดี”

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มีเพียงดวงตาขวาเผยพลังชั่วร้ายอย่างโจ่งแจ้ง

เขาสาวเท้าเดินหน้า มิได้มีพลังน่าทึ่งเหมือนศิษย์พี่รอง และก็ไม่มีแรงกดดันจากการใช้อำนาจบาตรใหญ่เหมือนหู่จื่อ แต่มือขวาเขาถือกระบี่สีดำหนึ่งเล่ม ตรงปลายกระบี่มีสายฟ้าไหลเวียน สามคนที่ตรงเข้ามาทางเขา ซูหมิงปล่อยให้พวกเขาเข้ามา ช่วงที่จะสวนทางกันไป ความเร็วของซูหมิงพลันเพิ่มขึ้น เหมือนซ้อนทับกับพวกเขาในชั่วพริบตาก่อนแยกออก ตรงคอของคนทั้งสามพลันมีโลหิตพุ่ง ศีรษะหล่นลงพื้น

ซูหมิงถือกระบี่อย่างสงบนิ่ง ก่อนเดินหน้าต่อ

ตรงจุดที่ทั้งสามคนและซูหมิงอยู่คือในประตูใหญ่เผ่าชายแดนเหนือ ใต้รูปปั้นภูตผียักษ์สองตน ด้านหลังของพวกมันเป็นที่ราบหิมะกว้างไกล ลมหนาวพัดครืนๆ

ตรงหน้าพวกเขาเป็นชนเผ่าชายแดนเหนือที่มองไม่เห็นเส้นเขตแดน เสียงกลองสงครามดังแว่วมาจากส่วนลึกของเผ่า เสียงกลองนั้นทุ้มต่ำมีความรู้สึกบีบคั้น ดังกึกก้องเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเป็นการบอกทั้งชนเผ่าว่ามีศัตรูบุกรุก

เงาร่างคนหลายเส้นทะยานเข้ามาจากในเผ่า โดยรอบพวกซูหมิงสามคน ยังมีชาวเผ่าชายแดนเหนือธรรมดาอีกไม่น้อย พวกเขาต่างจากชาวเผ่าธรรมดาที่ซูหมิงเคยพบ บนใบหน้าไม่มีความตื่นกลัวมากนัก กระทั่งมีน้อยคนนักที่หนีไปอย่างอลหม่าน อย่างมากสุดพวกเขาแค่ถอยไปเล็กน้อย ทิ้งระยะห่างให้มากพอแล้วยืนอยู่ตรงนั้น มองพวกซูหมิงอย่างเย็นชา

ร่างคนที่ห้อเหยียดมาจากในเผ่าเหล่านั้นมีจำนวนมาก มองแวบแรกมีหลายสิบคน ยามนี้ส่งเสียงลากยาวเข้ามาใกล้ และแบ่งเป็นสามกลุ่มโดยรู้กัน ตรงเข้าใส่ซูหมิง หู่จื่อ และศิษย์พี่รอง

หู่จื่อแสยะยิ้ม ดื่มสุราอึกใหญ่ เคลื่อนตัววูบไหวไปด้านหน้าก่อน จากนั้นวางขวานลงข้างกายแล้วกางแขนทั้งสองข้าง เงยหน้าแผดเสียงตะโกน

“เข้า…ฝัน…”

เสียงตะโกนสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ชาวเผ่าชายแดนเหนือทั้งสามกลุ่มล้วนตะลึงงัน ทว่าพวกเขาตะลึงเพียงชั่วครู่เท่านั้น กลับได้ยินเสียงกรนดังก้อง หู่จื่อล้มลงกับพื้น หลับสนิทเหมือนตอนซูหมิงสู้กับซือหม่าซิ่น

ซูหมิงมีสีหน้าประหลาด ศิษย์พี่รองที่อยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจ ก่อนวูบกายไปเตะหู่จื่อหนึ่งที ทันใดนั้นหู่จื่อพลันลืมตาขึ้น เก็บขวานข้างกาย มีสีหน้าเก้อเขิน

“น้องสาม อย่า…เข้าฝัน…” ศิษย์พี่รองส่ายศีรษะ เดินไปทางร่างคนหลายสิบที่ตรงเข้ามา ยกสองมือขึ้นพลันมีสีเขียว แล้วกดลงบนพื้นดิน

หิมะบนพื้นละลายอย่างรวดเร็ว ปรากฏเป็นพืชสีเขียวหลายผืน จากการเติบโตอย่างน่าประหลาด ทำให้โดยรอบกลายเป็นเหมือนที่ราบทุ่งหญ้า อีกทั้งชั่วเวลาที่ชาวเผ่าชายแดนเหนือพุ่งมาทางศิษย์พี่รอง พืชสีเขียวบนพื้นพลันรากขาดพร้อมกัน พุ่งเข้าใส่คนเหล่านั้นเหมือนลูกธนู

ส่วนหู่จื่อ เพราะยังโกรธเรื่องก่อนหน้านี้ จึงแกว่งขวานไปทางสิบกว่าคนที่ตรงมาทางเขา พละกำลังและความกล้าหาญของหู่จื่อ ซูหมิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก บุคคลนี้ไม่สนใจความเจ็บปวด ไม่สนใจบาดแผล ใช้เพียงความเหี้ยมโหดเปิดฉากการสังหาร เหมือนกับพยัคฆ์ร้ายตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

สิ่งที่ทำให้ซูหมิงเพ่งมองคือ ทุกครั้งที่หู่จื่อรับการโจมตีจะมีแสงขยับวูบ ราวกับว่าไม่เป็นอะไร ตัวเขาเหมือนมีเกราะที่มองไม่เห็นอยู่หนึ่งชั้น ทำให้ทุกอย่างที่สร้างบาดแผลให้เขาเหมือนไม่เจ็บไม่คัน

หู่จื่อเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ขณะเข่นฆ่าดวงตาแดงก่ำ สุดท้ายเห็นท่าทางเขาเหมือนจะกางแขนสองข้างอีกครั้งเพื่อเข้าฝัน ศิษย์พี่รองด้านข้างจึงกระแอม ถึงจะหยุดการกระทำของหู่จื่อได้

ส่วนซูหมิง เขาเดินหน้าทีละก้าว ชาวเผ่าชายแดนเหนือที่พุ่งมาเหล่านี้มีขั้นพลังต่างกัน แทบเป็นวินาทีที่พวกเขาเข้ามาใกล้ พลันมีสายฟ้าปรากฏ แผ่ขยายรอบทิศโดยมีซูหมิงเป็นใจกลาง สายฟ้าไหลผ่านอย่างรวดเร็ว ปกคลุมทุกคนให้หยุดนิ่ง

แทบจะเป็นตอนที่พวกนั้นหยุดนิ่ง ซูหมิงเคลื่อนตัวเข้าไป แสงดำกวาดผ่าน ศีรษะคนสิบกว่าคนลอยขึ้นพร้อมกับโลหิต

“จั๋วเกอ ออกมา!” เมื่อสังหารสิบกว่าคนนี้แล้ว ซูหมิงเงยหน้าไปทางส่วนลึกของเผ่าชายแดนเหนือ เปล่งเสียงตะโกน

ช่วงที่เสียงตะโกนยังดังก้อง ตรงด้านข้าง ในตัวหู่จื่อมีเสียงกรอบๆ เหมือนกระดูกหัก เสียงระเบิดดังสนั่น พบว่าบนตัวหู่จื่อเหมือนมีกระจกแตกหนึ่งชั้น เศษจำนวนมากแตกกระจายไปทั่วจากรอบตัวเขา ทำให้ผู้คนโดยรอบร้องอย่างน่าอนาถ มีบาดแผลทั้งตัว ล่าถอยกันหมด

“มารดาเจ้าเถอะ นี่คือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ล่าสุดของท่านหู่ เกราะไร้พ่าย!” หู่จื่อตะโกนอย่างลำพองใจ

“จั๋วเกอ ออกมา!”

ขณะเดียวกัน ศิษย์พี่รองดีดหิมะออกจากเสื้ออย่างสงบนิ่ง ตรงหน้าเขามีศพสิบกว่าร่างถูกพืชสีเขียวปกคลุมทั้งตัว เขาเงยหน้า ยิ้มน้อยๆ มองส่วนลึกของเผ่าชายแดนเหนือ แล้วตะโกนเช่นกัน

“จั๋วเกอ ออกมา!”

เสียงของศิษย์พี่ศิษย์น้องสามคนรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นคลื่นเสียงดังสนั่นสะเทือนทุกสารทิศ

ชาวเผ่าชายแดนเหนือธรรมดาโดยรอบล้วนไม่อาจมีสีหน้าสงบนิ่งอีก แต่เปลี่ยนไปอย่างเด่นชัด

“เซ่นไหว้กระดูก! คนที่ใช้พืชสังหาร เขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูก!”

“ไอ้คนถือขวานนั้น บนตัวมีอะไร ไม่อยากเชื่อว่าจะรับการโจมตีมากขนาดนั้นได้ อีกทั้งตอนท้ายยังเหมือนระเบิดออก ทว่าคนที่เจ็บกลับเป็นชาวเผ่าของเรา!”

“และยังมีคนที่มีแสงดำรอบตัว อีกทั้งมีสายฟ้าไหลเวียน คนนี้ขั้นพลังไม่สูงทว่ารวดเร็วยิ่งนัก แต่ดูแล้วเขาน่าจะอ่อนแอที่สุด!”

ตรงส่วนกลางเผ่าชายแดนเหนือ ห่างจากจุดที่พวกซูหมิงอยู่ราวหมื่นจั้ง ตรงนั้นมีสิ่งก่อสร้างน้ำแข็งจำนวนมาก เสียงเข่นฆ่าดังแว่วมาจากประตูใหญ่ของชนเผ่า เมื่อมาถึงตรงนี้จึงเบาลงไม่น้อย

บริเวณนี้มีชาวเผ่าชายแดนเหนืออยู่มากมาย พวกเขาล้วนมีสีหน้าเย็นชา เหมือนมิได้สนใจการต่อสู้ตรงหน้าสักเท่าไร

ภายในสิ่งก่อสร้างจำนวนมากตรงส่วนกลางของเผ่า ด้านนอกเรือนพักหลังหนึ่งที่สูงกว่าเรือนอื่นๆ ไม่น้อย มีกองเพลิงหนึ่งกอง ข้างกองเพลิงนั้นมีคนนั่งอยู่สามคน

ชายวัยกลางคนสามคนนี้มีเส้นผมยาวถึงเอว เส้นผมถูกเปียขึ้นจึงไม่ดูรุงรัง พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ข้างกายมีผู้ติดตามกำลังย่างสัตว์เล็กตัวหนึ่ง และทาเครื่องปรุงบนตัวสัตว์บ่อยครั้ง

“ข้าพนันว่ามาไม่ถึง” หนึ่งในสามคนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง

“แบบนี้ไม่นับ พวกมันมาไม่ถึงอยู่แล้ว ที่คุยกันก่อนหน้านี้คือเวลา ข้าพนันว่าครึ่งชั่วยาม ศีรษะสามคนนี้ต้องถูกแขวนอยู่หน้าประตูใหญ่” อีกคนยิ้มกล่าว

“เช่นนั้นก็ดี ข้าพนันหนึ่งชั่วยาม ข้าว่าคนที่ถนัดใช้พืชเขียวนั่นไม่เลว คนนี้น่าจะอยู่นานหน่อย”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพนันหนึ่งก้านธูป อย่าลืม แม้ส่วนหน้าจะเป็นถิ่นอาศัยของเผ่าใต้อาณัติ และไม่มีนักรบหมานเผ่าแดนภูตของเรา ทว่า…..วันนี้คนนำลาดตระเวนไปที่นั่นคือโหยวหลิน

เขากับเรามีขั้นพลังใกล้เคียงกัน กระทั่งข้าได้ยินมาว่าพลังธนูของเขามีเส้นดำแล้ว อีกทั้งภูตผีก็ใกล้จะผลัดเปลี่ยนครั้งที่สองแล้วด้วย”

ขณะทั้งสามคนกล่าว เหมือนไม่ได้สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเผ่าส่วนหน้าแม้แต่น้อย แต่กลับยังพนันกันอย่างสนุกสนาน

ทว่าช่วงที่สามคนนี้กำลังคุยกัน พลันมีเสียงเย็นชาดังมาจากในเรือนด้านหลังที่ต่างจากเรือนอื่นตรงส่วนกลางของเผ่าที่พวกเขาอยู่

“ข้าพนันว่าพวกมันสามคนจะรอดมาถึงตรงนี้ ให้ข้าดื่มเลือดพวกมัน ตัดเส้นผมพวกมันด้วยตัวเอง! และส่งให้น้องชายไร้ประโยชน์ของข้า จั๋วเกอ”

เสียงนั้นทำให้กองเพลิงที่ทั้งสามคนล้อมอยู่มืดสลัว ราวกับไม่กล้าแผดเผาตามอำเภอใจ ทั้งสามคนรีบยืนขึ้น คุกเข่าไปทางเรือนน้ำแข็ง มีสีหน้าเคารพ แฝงไว้ด้วยความฮึกเหิม

ส่วนกลางเผ่าชายแดนเหนือยังเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงส่วนปลายบนที่ราบหิมะ คนที่อาศัยอยู่ตรงนั้น ฐานะย่อมสูงส่งไม่น้อย ยามนี้นอกจากเสียงกลองกึกก้องแล้ว ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีเสียงเข่นฆ่าดังแว่วเข้ามา

บริเวณนี้เป็นเรือนพักหลายร้อย ในทุกเรือนพักมีกลิ่นอายพลังที่ไม่อ่อนด้อยแผ่อยู่รางๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!