Skip to content

สู่วิถีอสุรา 372

ตอนที่ 372 บีบบังคับ

เป็นครั้งที่สามแล้วที่ซูหมิงเห็นปลาชิวและสตรีผู้นี้

ครั้งแรกเขาเพิ่งชำระล้าง ขณะกำลังเดินทางไปสำนักเหมันต์สวรรค์ ณ กำแพงหมอกนภาก็เห็นสตรีผู้นี้ ทั้งยังได้ยินเสียงระเบิดจากการต่อกรกับไป๋ฉางไจ้ จากนั้นในความทรงจำซูหมิงก็มีปลาชิวและสตรีผู้นี้อยู่ชั่วนิรันดร์

ครั้งที่สอง ในสงครามเมืองหมอกนภา ช่วงหน้าและหลัง เขาเห็นสตรีผู้นี้เข้าร่วมสงคราม เห็นพลังพิลึกของปลาชิว และในครั้งนั้นเอง สตรีผู้นี้แอบลงมือช่วยเขาให้ออกจากสนามรบ

ทว่ามีเพียงครั้งนี้ที่ซูหมิงได้อยู่ใกล้เช่นนี้ ได้เห็นนาง รวมถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะลืมเลือนในแวบแรก…ปลาชิว

ซูหมิงยืนมองทะเลหมอกบนท้องฟ้าหมุนตลบ มองปลาชิวตัวเล็กนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องต้อนรับอย่างนอบน้อม มองสตรีงดงามยิ่งนางนั้น เส้นผมนางปลิวไสว ถือขลุ่ยในมือ กวาดสายตามองผืนดิน

ขณะนี้นางกวาดสายตามองชนเผ่าชั่วคราวทะเลใบไม้ร่วงจนผ่านซูหมิง ทว่านางไม่หยุดราวกับเขาไม่อยู่ในสายตา จากนั้นปลาชิวยักษ์ลอยขึ้นเหนือท้องฟ้าชนเผ่า สตรีนางนั้นจึงเดินลงมา ชายเสื้อสะบัดพลิ้ว เผยความงามของนางอย่างเด่นชัด ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวสีขาวลงมายังใจกลางชนเผ่า

ตั้งแต่นางปรากฏตัวจนหายไปในชนเผ่าเกิดขึ้นไม่นานนัก แต่กลับทำให้ชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงทุกคนตื่นเต้น แม้ไม่ได้ส่งเสียงดังเกรียวกราว ทว่าซูหมิงเห็นความฮึกเหิมและตื่นเต้นในแววตาของทุกคนอย่างชัดเจน

“สตรีศักดิ์สิทธิ์หวั่นชิว…” หยามู่ห่างจากซูหมิงไปสิบจั้ง มองจุดที่สตรีหายไป นัยน์ตาฉายแววฮึกเหิมและซับซ้อนเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่งก็ส่ายศีรษะ แล้วหิ้วไหสุราเดินไกลออกไป

เมื่อเขาจากไป กองเพลิงตรงหน้าซูหมิงก็ค่อยๆ เงียบสงบ นอกจากเสียงเปาะแปะเบาๆ จากกองเพลิงก็ได้ยินเสียงอื่นๆ อีกไม่มาก

ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนมาอยู่ตรงหน้าชายชราเผ่าหมานที่เขายังไม่รู้ชื่อแซ่ ผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับสูงสุดจงเจ๋อมองเขาเพียงแวบเดียวก็ถูกผนึกร่างเอาไว้ ยามนี้นานเข้าก็ยังไม่หลุดจากพันธนาการ แม้แต่วิญญาณยังแข็งค้าง ดวงตาไร้มันวาว

ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อข้างชายชราเผ่าหมาน พลันนำเขาใส่เข้าไปในถุงเก็บวัตถุเดียวกับวานรเพลิง หลังจากจัดสัมภาระเรียบร้อย ซูหมิงก็หันไปมองชนเผ่าทะเลใบไม้ร่วงแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินจากไป

เขาต้องจากไปตามหาเส้นทางของตัวเอง ก่อนไป เขาไม่ได้เข้าพบเชมันระดับสูงสุดแห่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วงรวมถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์หวั่นชิว ที่พวกเขาช่วยซูหมิงก็เพราะอยากคุยกับศิษย์พี่ใหญ่

นี่คือการแลกเปลี่ยน อีกทั้งนอกจากหยามู่แล้ว คนอื่นๆ ยังเย็นชากับซูหมิง อย่างเช่นเมื่อครู่ หลังจากคำสนทนาสิ้นสุดลงก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก ซูหมิงไม่ถือสาและไม่คิดจะหาเรื่องให้ตัวเองด้วย

คนอื่นไม่สนใจเขา เขาก็จะไม่สนใจคนอื่น ยามนี้หมุนตัวกลับ เงาร่างของซูหมิงค่อยๆ ไกลออกไป เงาแผ่นหลังในยามค่ำคืนดูโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากโดยรอบโดยสิ้นเชิง

ในตัวเขายังคงมีความสับสนโคจรอยู่รอบตัว เพียงแต่ว่าเวลาปกติซูหมิงจะซ่อนมันเอาไว้ลึกมาก มีแค่ตอนเขาอยู่เพียงลำพังเท่านั้นถึงจะเผยออกมาโดยไร้การควบคุม

หลังเดินไปเรื่อยๆ ซูหมิงเดินผ่านกองเพลิงลุกโชติช่วงหลายกอง มีชาวเผ่าทะเลใบไม้ร่วงที่อยู่เวรยามค่ำคืนมองเขาตลอดทาง น่าจะรับคำสั่งมา พอเห็นซูหมิงออกไปข้างนอกและไม่ได้เข้าไปในสถานที่สำคัญของเผ่าจึงไม่ห้าม เพียงมองอย่างเย็นชาเท่านั้น

ช่วงที่ซูหมิงจะเดินออกจากเผ่าทะเลใบไม้ร่วงไป เขาพลันหยุดชะงัก เพราะมีเสียงแหบแห้งดังแว่วมาจากส่วนลึกของชนเผ่าด้านหลัง

“เจ้าจะไปอย่างนี้หรือ” ซูหมิงคุ้นเสียงนี้ มันเป็นของหญิงชราเชมันระดับปลาย

“เผ่าทะเลใบไม้ร่วงช่วยเจ้าสองครั้ง เจ้าไม่คิดจะตอบแทนบ้างรึ” เสียงหญิงชราเย็นชา ไม่มีความเห็นใจแม้แต่น้อย

ซูหมิงเงียบงัน

“ทิ้งกำไลของเจ้าไว้ นั่นคือวิญญาณเชมันเก้าอรุณของข้า มันไม่ใช่ของเจ้า” เสียงหญิงชราดังแว่วมาจากด้านหลัง ทำให้รอบตัวซูหมิงเกิดคลื่นกระเพื่อม

“นี่เป็นของที่ประมุขเชมันของพวกเจ้ามอบให้ข้า” ซูหมิงหมุนตัวกลับไปมองด้านหลัง เขาไม่เห็นร่างของหญิงชรา

“บางที เจ้าควรจะอยู่ก่อนประมุขเชมันจะมาถึง” แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงกล่าวจบ เสียงหญิงชราดังขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นมวลอากาศตรงหน้าซูหมิงพลันบิดเบี้ยว มีเงาหญิงชราเดินออกมาจากภายใน

“ข้าให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ เลือกซะ” หญิงชรายืนอยู่ตรงนั้น มองซูหมิงอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก สำหรับนางแล้ว ซูหมิงเป็นเพียงเครื่องมือติดต่อสำหรับเผ่าของนางกับประมุขเชมันเท่านั้น หากเครื่องมือนี้จะไป เช่นนั้นก็ย่อมได้ ทว่าก็ต้องทิ้งกำไลเอาไว้

อีกทั้งขั้นพลังของซูหมิงยังไม่เข้าตานาง ผู้อ่อนแอไม่มีคุณสมบัติต่อรองกับผู้แข็งแกร่ง มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น

ส่วนฐานะของซูหมิงในเผ่าหมานนางก็ไม่สนใจ ต่อให้นางได้ยินมาว่าอีกฝ่ายได้รับพลังแห่งเทพหมานมาส่วนหนึ่ง ทว่าพลังนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน ในความคิดนาง ด้วยฐานะเผ่าเชมันเก้าอรุณของตนและขั้นพลังระดับปลาย อีกทั้งยังอยู่ในชนเผ่าของนาง นางไม่เชื่อหรอกว่าพลังแห่งเทพหมานจะสังหารตนได้

มิหนำซ้ำยามนี้ที่นางมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ก็เป็นเพราะคำสั่งให้นางมาหยั่งเชิงพลังแห่งเทพหมานสักเล็กน้อย

ซูหมิงก้มหน้ามองกำไลตรงข้อมือแวบหนึ่ง เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ เมื่อถึงลมหายใจที่หก ซูหมิงถอดกำไลออกอย่างไม่ลังเล

ซูหมิงเงยหน้ามองหญิงชรา เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่สนใจตน กระทั่งตอนมองเขาสายตายังเหมือนผู้สูงส่งมองมดปลวกก็มิปาน

ช่วยตนเพียงเพื่อได้สนทนา ช่วยตนเพียงเพื่อกำไลข้อมือ

ความจริงแล้วไม่เพียงแค่หญิงชราที่เป็นเช่นนี้ ยังมีเชมันระดับสูงสุดจงเจ๋ออีกคน ซูหมิงยิ้มบางๆ มองหญิงชรา แล้วโยนกำไลไปทางนาง

“จากนี้ไป ข้ากับเผ่าทะเลใบไม้ร่วงของเจ้าไม่เกี่ยวข้องกันอีก พวกเจ้าช่วยข้าครั้งแรกก็แลกกับโอกาสคุยกับประมุขเชมัน นี่คือการแลกเปลี่ยน พวกเจ้าช่วยข้าครั้งที่สอง เอากำไลนี้ไป ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเช่นกัน วันนี้ทุกอย่างจบแล้ว แซ่ซูขอลา!”

นัยน์ตาซูหมิงสงบนิ่ง หมุนตัวเดินไปด้านนอก

หญิงชรารับกำไลข้อมือมา มองเงาแผ่นหลังซูหมิงแวบหนึ่ง แววตาวูบไหว แม้บอกว่านางเคารพประมุขเชมัน ทว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าทะเลใบไม้ร่วง อีกทั้งสถานการณ์บนแผ่นดินเชมันยังซับซ้อน จะฝากความหวังทั้งหมดไว้กับประมุขเชมันไม่ได้

ตอนนี้ซูหมิงในสายตานางอ่อนแอเกินไป หลังจากออกไปเพียงลำพังแล้วจะต้องพบเจอกับหายนะความเป็นตายแน่ หากบุคคลนี้ตาย เช่นนั้นสมบัติในตัวเขาก็จะถูกชิงไป กระทั่งเรื่องที่นางคิดว่าเป็นความลับบางอย่างอาจตกไปอยู่ในมือผู้อื่น

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องเก็บเอาไว้!

“การแลกเปลี่ยนสองครั้งจบแล้วจริงๆ ทว่าในเมื่อเจ้าเป็นเผ่าหมาน เหตุใดถึงมีไข่มุกดูดวิญญาณของเผ่าเชมัน ทิ้งไข่มุกดูดวิญญาณเอาไว้ แล้วเล่าเรื่องที่เจ้ามีกลิ่นอายพลังของจู๋จิ่วอินให้ละเอียด จากนั้นเจ้าถึงจะไปได้ เผ่าทะเลใบไม่ร่วงไม่ได้กลั่นแกล้งเจ้า ที่เอาของๆ เจ้ามาก็เพื่อเก็บเอาไว้ให้เจ้า เมื่อประมุขเชมันมาถึง ข้าจะมอบให้เขาเอง มิเช่นนั้นแล้ว…”

หญิงชรายังกล่าวไม่จบ ซูหมิงก็หัวเราะลากยาวไม่หยุด

ซูหมิงทนมามากพอแล้ว อีกฝ่ายอยากได้กำไลข้อมือเขาก็ให้ สิ่งนี้เดิมทีไม่ใช่ของเขา ทว่าพอคืนให้แล้ว เผ่าทะเลใบไม้ร่วงยังกลั่นแกล้งเขา อยากได้โอสถชิงวิญญาณ ทั้งยังอยากรู้ความลับผู้ดูดวิญญาณของเขา

เรื่องนี้หากซูหมิงยอมอีก เช่นนั้นเขาก็ต้องยอมต่อไปเรื่อยๆ!

“เผ่าทะเลใบไม้ร่วง พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะกุมทุกอย่างของแซ่ซูเอาไว้ในกำมือได้ เจ้าเอากำไลไปแล้ว ข้าขอแนะนำว่าอย่าให้มันมากเกินไปนัก!” ซูหมิงพลันหมุนตัวกลับ แววตาเย็นชา

ซูหมิงกล่าวจบ รอบตัวเขาพลันมีชาวเผ่าเชมันปรากฏตัวขึ้นไม่น้อย แต่ละคนมองซูหมิงด้วยความเย็นชา นอกจากเย็นชาแล้ว ที่มากกว่านั้นคือเหยียดหยาม

ส่วนหญิงชรายิ้มเยาะ สีหน้าไม่พอใจ

“ไม่รู้ดีชั่ว ไข่มุกดูดวิญญาณจะนำพาภัยพิบัติมาสู่เจ้า ข้าคิดแทนเจ้า เพื่อลดอันตรายหลังจากเจ้าออกไปแล้วให้น้อยลง เจ้าไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร แต่ยังมาอวดดีเช่นนี้อีก ด้วยขั้นพลังของเจ้า ข้าละแปลกใจนัก เจ้าจะใช้อะไรมาข่มขู่ข้า” นัยน์ตาหญิงชราขยับประกาย ขณะกล่าวก็เดินหน้ามาหนึ่งก้าว

หนึ่งก้าวนี้แผ่นดินสั่นสะเทือน มวลอากาศระหว่างหญิงชรากับซูหมิงปานแข็งตัวในชั่วพริบตา พลังฟ้าดินโดยรอบตรงมาทางซูหมิง

ไม่มีอภินิหารน่าทึ่ง ทว่าเพียงแค่หนึ่งก้าวกลับรวมพลังฟ้าดินเข้ามาบีบอัดซูหมิง ความแข็งแกร่งเช่นนี้มิใช่สิ่งที่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกจะรับมือไหว!

นางไม่คิดสังหารซูหมิง เพียงอยากให้เจ็บสาหัสก็เท่านั้น ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าตอนผู้อ่อนแออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งควรจะมีท่าทีอย่างไร

ทว่าช่วงที่นางก้าวเดิน พลังฟ้าดินบีบอัดมาทางซูหมิงนั้น ซูหมิงไม่ใช้อุบายอื่นๆ เขาเพียงยกมือขวาขึ้นแล้วชี้นิ้ว เส้นผมที่พันรอบนิ้วพลันลุกไหม้ พลังไร้รูปปะทุมาจากในนิ้วมือของซูหมิง

ด้วยความแข็งแกร่งของพลัง ช่วงที่มันปะทุจึงเกิดเสียงระเบิดดังรอบตัวซูหมิง พลังฟ้าดินจากฝีมือของหญิงชราพลันทลายลงเป็นชั้นๆ ประหนึ่งไม่อาจทนรับพลังไร้รูปที่ปะทุจากตัวซูหมิงได้ อีกทั้งพลังนั้นยังแผ่ขยายเป็นวงกว้าง

ชาวเผ่าเชมันโดยรอบล้วนหน้าเปลี่ยนสี พากันถอยหลังไป ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังคงถูกคลื่นพลังกระแทกใส่ พากันกระอักโลหิต แล้วกระเด็นไปประดุจว่าวสายป่านขาด

ซูหมิงอยู่ตรงใจกลาง เส้นผมปลิวไสว สีหน้าเย็นชา แววตาปานสายฟ้า ชายเสื้อสะบัดพึ่บพั่บ มีพายุคลั่งหมุนวนรอบตัว เขามองหญิงชราที่ยามนี้หน้าเปลี่ยนสีอย่างเย็นชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!