ตอนที่ 375 เปิดเขาสร้างถ้ำ
จะเปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติ ก็ต้องมีพลังพร้อมที่จะปกป้อง
‘ดูแล้วในเผ่าเชมันไม่น่าจะมีใครมองออกถึงเงื่อนงำตรงนี้ ถึงอย่างไรหากไม่ใช่เพราะเข้าใจวิชาสามตัดสังหาร ข้าเองก็มองความลับตรงนี้ไม่ออกเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเผ่าเซียนจะมองออกหรือไม่ ทว่าหลักรูปแบบพื้นที่ตรงนี้ หลักๆ เป็นเพราะสายลมกลิ่นคาวพัดมาจากทางตะวันออก หากมองในมุมนั้น สายลมนี้ก็เพิ่งจะเกิดขึ้นหนึ่งปีกว่าๆ จากแดนรกร้างบูรพา เวลาสั้นขนาดนี้ ต่อให้มีคนเข้าใจรูปแบบก็คงไม่สังเกตเห็นถึงตรงนี้ หากจะถอดใจ มันน่าเสียดายเกินไป’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเด็ดขาด
เขาเข้าใจว่าตนไม่อาจละทิ้งตรงนี้ ในเมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องทำ และคิดว่าจะเตรียมป้องกันเหตุล่วงหน้าได้อย่างไร เพื่อเป็นการป้องกันถ้ำหลังแรกในแผ่นดินเชมันของเขา
‘หลักรูปแบบสามทิศมารไม่ต้องเปลี่ยน ทว่าจุดเล็กๆ บางส่วนต้องปรับแก้’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย วูบไหวตัวเข้าไปยังส่วนตะวันออกของเทือกเขา เงาเขาวูบวาบไปมากลางเทือกเขานี้ ทั้งยังมีแสงสีดำวิบวับ เห็นได้ชัดว่าซูหมิงใช้ความคมของกระบี่ดำปรับรูปแก้ทรงเทือกเขา
หนึ่งวันต่อมา ซูหมิงมาถึงส่วนเหนือของเทือกเขา ทำตามรูปแบบไปเรื่อยๆ เมื่อทำลายจุดที่ไม่ตรงกับความต้องการของเขาหมดทั้งเทือกเขาแล้ว ก็ทำการอำพรางอีกเล็กน้อย ก่อนกลับมายังมุมระหว่างทิศตะวันออกและเหนือ ซูหมิงยืนขบคิดอยู่ตรงนั้น แล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว ทั้งตัวเขาปานดิ่งลงจากหน้าผา พุ่งตรงเข้าไปในเหวที่มีหมอกหนาและกลิ่นคาวเข้มข้น
เขารวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็เกือบถึงก้นเหว
พืชบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นสีม่วงอมดำ มีสัญชาตญาณจู่โจมโดยธรรมชาติ ทั้งยังมีเถาวัลย์สะบัดตรงไปยังซูหมิงที่กำลังดิ่งลงมา
ซูหมิงไม่สนใจ หลังจากหลบมาแล้วก็มายืนอยู่บนก้นเหว ระหว่างคิ้วขยับแสงสีดำ กระบี่เล็กพลันบินออกมาก่อนตัดไปทางเทือกเขา ซูหมิงยืนอยู่ข้างๆ แผ่ขยายจิตสัมผัสปกคลุมโดยรอบ สังเกตอีกครั้งหนึ่งถึงพอใจ
หลายวันมานี้เขาค้นหาอยู่หลายครั้งมาก จนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ที่นี่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก
ช่วงที่ซูหมิงแผ่ขยายจิตสัมผัสเพื่อตรวจสอบ
ผนังหินตรงหน้าเขาถูกกระบี่เล็กทะลวงเป็นปากถ้ำ ภายในยิ่งมีฝุ่นราวหินถล่ม กระบี่เล็กทะลวงเปิดทางตามความคิดซูหมิง เปิดห้องหินไปเจ็ดแปดห้อง สร้างเป็นถ้ำใหญ่กลางภูเขา
เมื่อสร้างถ้ำเป็นรูปเป็นร่าง สายลมตะวันออกก็ม้วนกลิ่นคาวใต้เหวเข้าไปในถ้ำ และอบอวลอยู่ในนั้นในพริบตาเดียว ทำให้ดูขมุกขมัวเหมือนข้างนอก
ซูหมิงคาดเดาเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว จึงมีสีหน้าปกติ เขาเดินก้าวยาวเข้าไปในถ้ำ หายไปในความขมุกขมัว ตอนที่ปรากฏตัว เขาอยู่ตรงสุดปลายถ้ำ ตรงนั้นเป็นผนังหินยักษ์สูงเกือบหนึ่งร้อยจั้ง และเป็นชั้นนอกของเขาที่ถูกขุด
ชั้นนอกนี้หนาหลายจั้ง เมื่อสายลมถาโถมใส่จะถูกมันขวางทางเอาไว้
ซูหมิงยืนอยู่ข้างผนังหิน กดมือขวาลงด้านบน ปล่อยพลังกระดูกหมานในตัวเข้าไปเบาๆ จากนั้นพลันเกิดรอยร้าวจากฝ่ามือลุกลามออกไป และแทรกซึมเข้าไปในผนังหิน เสียงกึกๆ ดังก้อง มีรอยแยกหลายเส้นทะลวงผ่านผนังหิน เชื่อมกับข้างนอกทันใด
ซูหมิงเดินไปหลายก้าวและทำแบบเดิมอีกเจ็ดแปดครั้ง จนผนังหินหนึ่งร้อยจั้งปรากฏรอยร้าวอีกไม่น้อย เพียงแต่ว่าการเคลื่อนไหวของซูหมิงดูล้ำเลิศยิ่งนัก แม้มีรอยร้าวไม่น้อย ผนังหินกลับดูไม่มีทีท่าว่าจะถล่มลงมาเลย
แทบจะเป็นช่วงที่เกิดรอยร้าวเหล่านั้นและเชื่อมกับโลกภายนอกแล้ว สายลมพัดเข้ามาจากปากถ้ำ มุดเข้าไปในรอยแยก ตรงออกสู่ด้านนอก
ตอนนี้เทือกเขาที่ขวางกั้นสายลม แม้บอกว่าไม่เปิดโล่งอย่างเต็มที่ ทว่าก็มีช่องว่าง ทำให้สายลมผ่านออกไปอย่างต่อเนื่อง รูปแบบของทั้งเทือกเขาพลันมีชีวิตขึ้นมา
เมื่อสายลมพัดผ่านตัวซูหมิงอย่างต่อเนื่อง ก่อนลอดออกจากรอยแยกผนังหินไป ซูหมิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังฟ้าดินโดยรอบกำลังรวมเข้ามาอย่างช้าๆ ประดุจศีรษะมังกรตื่นขึ้นและเริ่มหายใจเบาๆ
หากคนหายใจ พลังฟ้าดินจะลอยเข้ามา และพลังในร่างจะโคจรตาม ขณะเดียวกัน การหายใจของรูปแบบนี้ประหนึ่งมังกรหายใจ เหมือนภูเขากำลังสูดอากาศ หลังจากเทือกเขาสั่นไหวเบาๆ แล้ว พลังฟ้าดินก็กลายเป็นวงโคจร รวมเข้ามาอย่างช้าๆ
พืชบนภูเขาเหล่านั้น ยามนี้พากันสั่นไหว คล้ายเปิดทุกตำแหน่งบนตัวเพื่อสูบพลังฟ้าดินจากทุกสารทิศ
ขณะเดียวกัน ซูหมิงก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่าการหายใจของภูเขาหรือศีรษะมังกร ทำให้กระดูกหมานในตัวเขาโคจรขึ้นเอง แสงสีฟ้าขยับวิบวับ พลังฟ้าดินหลั่งไหลเข้าไปในตัวอย่างต่อเนื่องและผสานกับกระดูกหมานสี่ชิ้น
นักรบเซ่นไหว้กระดูก นอกจากตอนปรากฏเทวรูปหมานแล้วยืมพลังของเทวรูปมาเพื่อรวมกลิ่นอายพลังชำระล้างทั้งตัวให้กลายเป็นกระดูกหมาน หากคิดจะเพิ่มกระดูกหมานในเวลาอื่นๆ ก็ต้องยืมพลังจากฟ้าดิน
พลังฟ้าดินไร้รูป นักรบเซ่นไหว้กระดูกไม่อาจเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินได้ตรงๆ แต่ก็ดูบซับได้จากการหายใจ หลังจากหลอมรวมกับสายเลือดในตัวแล้วก็จะเกิดเป็นพลังงานที่โคจรทั้งตัว สิ่งนี้เรียกว่าพลังของกระดูกหมาน
เมื่อสะสมพลังนี้จนถึงระดับหนึ่งแล้ว มันจะกลายเป็นรูปธรรม ปรับแก้กระดูกสันหลัง ทำให้กระดูกหนึ่งชิ้นในนั้นกลายเป็นกระดูกหมานทีละน้อย!
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววปีติ หลังจากสูดพลังฟ้าดินจากลมหายใจของภูเขาเข้าลึกแล้ว เขาก็เดินออกจากถ้ำไวๆ แล้วบินขึ้นมายืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองลงไป
ยามนี้ต้นไม้ใบหญ้าทั้งเทือกเขาขยับไหว พลังฟ้าดินจากรอบทิศหลั่งทะลักเข้ามา ทำให้ที่นี่กลายเป็นดั่งน้ำวน แม้บอกว่าน้ำวนนี้เล็กลงอย่างต่อเนื่อง ทว่าก็มีพลังฟ้าดินหลั่งทะลักเข้ามา จึงทำให้มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แทน
‘ดีที่ไม่เปิดทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้วหากศีรษะมังกรหายใจอย่างเต็มที่ จะรุนแรงกว่าตอนนี้สิบกว่าเท่า อีกทั้งเมื่อถึงตอนนั้น บางที…’ ซูหมิงลังเลครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะ ลบความคิดที่เพิ่งบังเกิดในหัวทิ้งไป
เขาคิดว่ามันไม่ค่อยสอดคล้องกับความจริงสักเท่าไร
เขาเกิดความคิดนี้ก็เป็นเพราะยืนมองอยู่กลางอากาศ ลักษณะของเทือกเขากับการหายใจตอนนี้ เหมือนกับศีรษะมังกรหายใจ อีกทั้งยังมีลมพัดตลอดทั้งปี หากเปิดโล่งทั้งหมด เช่นนั้นสายลมก็จะรุนแรงขึ้น ขณะดูดรับพลังฟ้าดินจากการหายใจ บางทีเทือกเขานี้อาจขยับ…
“เทือกเขานี้เชื่อมกับแผ่นดิน จะไปขยับได้อย่างไร ความคิดนี้ก็ประหลาดอยู่” แม้ซูหมิงจะพึมพำกับตัวเองเช่นนี้ ทว่าก็ยังอดขบคิดไม่ได้
‘เทือกเขานี้เหมือนศีรษะมังกร หากเปิดโล่งก็จะหายใจดุจมีชีวิต เช่นนั้นหากมันถูกลมพัดจนค่อยๆ ขยับจริงขึ้นมา รูปแบบสามทิศมารตรงนี้ก็จะเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง…แผ่นดินกว้างใหญ่มีภูเขาลักษณะมังกรเลื้อยเช่นนี้ บางทีหนึ่งพันปีให้หลัง เทือกเขานี้อาจมีจิตวิญญาณ…’
ซูหมิงเกาศีรษะ มองอีกหลายที เห็นน้ำวนตรงเทือกเขาด้านล่างใหญ่ขึ้นไม่น้อย แต่ไม่ตกใจเหมือนคาดเอาไว้แล้ว เขาวูบไหวตัวมาอยู่นอกเทือกเขา มองหาจุดที่เขาทำรอยร้าวเอาไว้ในถ้ำก่อนหน้านี้ มองอยู่พักหนึ่งก็จัดการอำพรางเล็กน้อย หากไม่สังเกตดีๆ จะไม่พบสิ่งผิดปกติบนผนังหิน จากนั้นซูหมิงจึงบินขึ้นมาอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
‘เปิดเพียงส่วนหนึ่ง น้ำวนที่นี่เกิดขึ้นเพราะเพิ่งเริ่มหายใจ อีกไม่กี่วันก็จะหายไปหมดเอง ถึงตอนนั้นภายนอกมันจะดูเหมือนเดิม ทว่าภายในกลับต่างกันราวฟ้าดิน
หลังจากนั้นก็วาดวงแหวนอาคม หากหู่จื่ออยู่ก็คงดี เขาจะต้องสร้างวงแหวนอาคมสำหรับที่นี่ได้แน่ ตอนนี้คงต้องใช้วงแหวนอาคมที่เขาบอกข้าไปก่อน จากนั้นก็อำพรางอีกสักหน่อย แล้วที่นี่ก็จะเป็นถ้ำหลังแรกในแผ่นดินเชมันของข้า!’
แววตาซูหมิงฉายความพอใจ เขาบินลงมานั่งขัดสมาธิบนเขา
หยิบโอสถชิงวิญญาณออกมา แล้วปล่อยให้มันลอยอยู่ตรงยอดเขา เขาสวมหน้ากาก ใส่เสื้อคลุมดำ ขณะนั่งฌาน ในตัวมีกลิ่นอายพลังประดุจของผู้ดูดวิญญาณ
ซูหมิงขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนใช้มือขวาตบถุงเก็บวัตถุ พลันมีแสงสีแดงวูบวาบ วานรเพลิงบินออกมาในพริบตา มันถือไม้พลองมองไปรอบๆ ทั้งดีใจและตกใจ แยกเขี้ยวทำภาษามือให้ซูหมิง
ซูหมิงยิ้ม มองบนเทือกเขาแห่งนี้ นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววเย็นชา
‘แม้ที่นี่ยังไม่สมบูรณ์ ทว่าหากมีใครกล้ามาล่วงเกินข้า เช่นนั้นก็ต่องล่อมันมาตรงนี้ แล้วใช้สามตัดสังหารร่วมกับรูปแบบของที่นี่ อีกทั้งข้ายังควบคุมอานุภาพของมันได้ กระทั่งหากเจอศัตรูแข็งแกร่งก็เปิดปากมังกรให้โล่งไปเลย เพื่อเหนี่ยวนำพลังโจมตีอย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนั้นที่นี่จะเป็นแดนสังหาร!’
เวลาผ่านไปสามวัน ในสามวันนี้มีชาวเผ่าเชมันหลายคนบินผ่านและสนใจน้ำวนตรงนี้ ตอนที่จะลงมาดู ซูหมิงก็แค่นเสียงหึ พวกเขาจึงพบว่ามีซูหมิงอยู่
“ข้ากำลังฝึกฝนวิชาลับ ผู้บุกรุกต้องตาย!”
แม้ซูหมิงสวมหน้ากาก แต่กลิ่นอายพลังที่คล้ายผู้ดูดวิญญาณทั้งตัวเขา โดยเฉพาะดวงตาลุ่มลึก ทำให้คนเหล่านั้นตื่นตระหนก
พวกเขาเป็นเพียงเชมันระดับต้น เพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าซูหมิงเป็นเชมันระดับกลาง อีกทั้งยังเป็นผู้ดูดวิญญาณที่รับมือยากยิ่งในเชมันระดับกลาง จึงต้องประสานมือคารวะอยู่ไกลๆ
ระหว่างเผ่าเชมันด้วยกัน แม้จะเป็นเผ่าเดียวกันก็ลงมือเหี้ยมโหด
โดยเฉพาะเชมันผู้ดูดวิญญาณ ในแผ่นดินเชมันมีชื่อเสียงเรื่องความเหี้ยมโหดยิ่ง ชำนาญเรื่องเปลี่ยนความเป็นตาย เชี่ยวชาญเรื่องการหลอมคนเป็นหุ่นเชิดผีดิบ ทำให้ศัตรูทุกคนของผู้ดูดวิญญาณต้องหวาดกลัว
อีกทั้งตำนานยังกล่าวว่า ผู้ดูดวิญญาณแห่งเชมันเก่งเรื่องคำสาป ขอแค่มีเส้นผมหรือเล็บของศัตรู ก็จะใช้วิชาเชมันทำให้อีกฝ่ายถึงตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ดูดวิญญาณจึงดูลึกลับ คนอื่นส่วนใหญ่จะไม่ล่วงเกินหากไม่จำเป็น
“พวกข้าเป็นชาวเผ่าโคขาวในแถบนี้ ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสกำลังฝึกฝนอยู่ ก่อนหน้านี้ที่บุ่มบ่ามเข้ามา หวังว่าผู้อาวุโสจะให้อภัย พวกข้าจะรีบไปให้เร็ว” ชายวัยกลางคนหน้าสุดเป็นเชมันระดับต้น หลังจากเห็นกลิ่นอายพลังผู้ดูดวิญญาณบนตัวซูหมิงแล้วก็ตึงเครียดขึ้นมา รีบประสานมือคารวะ
เผ่าโคขาวของพวกเขาเป็นเพียงชนเผ่าขนาดเล็ก หากเจอเชมันระดับกลางปกติก็ยังดี ทว่าหากเจอผู้สื่อวิญญาณหรือผู้ดูดวิญญาณเชมันระดับกลาง ก็ต้องให้ความเคารพอย่างสูง
กล่าวจบชายคนนั้นก็รีบนำชาวเผ่าจากไปอย่างรวดเร็ว จนบินออกมาไกลมากแล้วไม่เห็นอีกฝ่ายตามมา จึงค่อยถอนหายใจโล่งอก