Skip to content

สู่วิถีอสุรา 387

ตอนที่ 387 วิชาคำสาป

“ข้าจะให้เจ้าร้องโหยหวนเจ็ดวันเจ็ดคืนจนกว่าจะตาย ข้าจะสูบกินเลือดเนื้อทั้งตัวเจ้าจนกลายเป็นศพแห้ง!” จีฮูหยินวูบไหวตัวตรงมายังซูหมิง ตอนนี้เงาร่างคนที่ซูหมิงคุ้นตารอบตัวเหล่านั้นมีสีหน้าบิดเบี้ยว พลันตรงเข้ามาหาเขาจากรอบทิศ

ขณะเดียวกัน หมอกหลากสียิ่งหลั่งทะลักเข้ามาจากรอบด้าน

มารวมกันตรงซูหมิงอย่างรวดเร็ว จีฮูหยินว่องไวยิ่งนัก ยามนางเข้ามาอยู่ตรงหน้าซูหมิงไม่ถึงครึ่งจั้ง ขณะยกมือขวา ในมือปรากฏปิ่นปักผมสีดำอันหนึ่ง และกำลังจะแทงไปตรงกลางระหว่างคิ้วซูหมิง

ดวงตาขุ่นมัวของซูหมิงพลันฉายแววเย้ยเยาะ จากนั้นดวงตากลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง เขาในยามนี้ไม่มีความกระหายอีก ทุกอย่างก่อนหน้านี้เขาเพียงจงใจทำขึ้น เป้าหมายเดียวคือล่อให้จีฮูหยินเข้ามาใกล้เพื่อสังหาร!

จีฮูหยินผู้นี้มีกลอุบายเยอะมาก ซูหมิงกังวลว่านางยังมีวิชาสังหารอีก ฉะนั้นจึงใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้นางมา!

ตอนเห็นแววตาซูหมิงเย้ยเยาะ จีฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี หัวใจเต้นตึกๆ คิดจะร่นถอย ทว่ากลับสายไปแล้ว ซูหมิงพลันเดินหน้าหนึ่งก้าวยาว ด้วยความเร็วของเขา พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าจีฮูหยิน เขายกมือซ้ายรับปิ่นปักผมในมือขวานางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็พุ่งชนใส่หน้าอกนาง

จีฮูหยินสั่นไปทั้วตัว มีเสียงกรุบๆ ดังมาจากในร่าง ตัวนางกระเด็นถอย โลหิตไหลมาจากมุมปาก สีหน้าตื่นตะลึงทั้งยังหวาดกลัวเล็กน้อย ทว่านางยังไม่ทันได้ถอยไปไกลนัก ซูหมิงก็ใช้ความเร็วอันน่าสะพรึงตามมาอีกครั้ง แล้วเตะเท้าเข้าใส่ศีรษะ

เสียงโครมดังสนั่น จีฮูหยินกระอักเลือดกองโต ศีรษะบิดเบี้ยว ร่างถูกอัดจนกระเด็นถอยไปอย่างแรง แต่ซูหมิงกลับขมวดคิ้ว เขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังความตายจากในตัวนาง กลับมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

เขาแค่นเสียงหึ ไม่หยุดเพียงเท่านี้ เมื่อเดินหน้าหนึ่งก้าวตามไปอีกครั้งก็ยกมือขวาขึ้นกำหมัดคว้าอากาศ บนท้องฟ้าพลันมีสายฟ้าผ่าลงมา ตอนที่เขาคลายหมัดออก สายฟ้ารวมกันขึ้นเป็นลูกกลมสายฟ้าทันใด

เสียงสายฟ้าดังสนั่น ลูกกลมสายฟ้าส่องแสงจ้าละลานตาในมือซูหมิง ก่อนเขาจะกดมันาลงตรงหว่างคิ้วจีฮูหยิน

เสียงระเบิดดังสนั่น จีฮูหยินกรีดร้องอย่างน่าเวทนา

ทว่าการโจมตียังไม่จบ ซูหมิงขยับกายเข้าประชิดตัวอีกครั้ง ยกมือซ้ายขึ้น พลันเกิดพายุหมุนอย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าใกล้จีฮูหยินแล้วพายุนั้นก็หมุนด้วยความเร็วสูง ฉีกเลือดเนื้อลอยกระจาย โลหิตแตกกระเซ็น

จีฮูหยินห้อเหยียดถอย บาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ยามนี้กำลังจะต่อต้าน ซูหมิงก็เข้ามาใกล้และทำสัญลักษณ์มือขวาชี้ท้องฟ้า ระฆังเขาหานที่อยู่ไกลๆ ส่งเสียงระฆังสะเทือนจิตใจเข้ามาทันที

เมื่อเสียงระฆังเข้าถึงหูนาง ทำให้การต่อต้านของนางช้าลงโดยไม่อาจควบคุม เมื่อจิตใจสั่นไหวและถูกปลุกเร้า ทันใดนั้น ตรงหน้าซูหมิงมีแสงสีดำขยับวิบวับ กระบี่เล็กแสงดำบินออกมา ภายใต้การควบคุมด้วยจิตสัมผัส กระบี่เล็กพุ่งไปยังศีรษะนาง

พริบตาเดียวมันก็บินผ่านไปพร้อมกับโลหิตจำนวนมาก ศีรษะลอยขึ้น ตอนนี้เป็นยามกลางคืน จันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าลอยสูง ศีรษะคนลอยไปพร้อมกับโลหิตสาดกระเซ็น

ทว่าในใจซูหมิงกลับไม่ผ่อนคลายลงเพราะศีรษะจีฮูหยินหลุดจากบ่า แต่ช่วงที่ศีรษะนางลอยขึ้น ความรู้สึกถึงอันตรายเพิ่มขึ้นโดยพลัน เขาหรี่ม่านตาลง และเห็นว่าจีฮูหยินที่ไร้ศีรษะยกมือขวาขึ้นแล้วจับศีรษะที่หลุดจากบ่าเอาไว้ ดวงตาบนศีรษะนั้นฉายแววบ้าคลั่งและโกรธแค้น จ้องซูหมิงก่อนส่งเสียงกรีดร้องแหลม

เสียงกรีดร้องก่อเป็นคลื่นเสียง เกิดเป็นระลอกคลื่นมวลอากาศ ความรุนแรงของคลื่นเสียงนี้ประดุจเข็มแทงเข้าไปในหูซูหมิง ทำให้มีเสียงอื้ออึงในสองหูเขา

ขณะซูหมิงถอยไปก็ยกมือขวาขึ้นวาดเป็นวงกลมหลายวงตรงหน้า

ทุกหนึ่งวงจะทำให้พลังเสียงลดน้อยลงไม่น้อย ทุกหนึ่งวงนั้นล้วนคือพายุหมุน จนเมื่อซูหมิงถอยมาสามสิบจั้งกว่า ในใบหูเขามีโลหิตไหลออกมา

‘หรือว่าผู้ดูดวิญญาณทุกคนจะหลอมตัวเองให้กลายเป็นอมตะ!’

ในใจซูหมิงเย็นเยียบ จีฮูหยินไม่ตาย จุดนี้เขาไม่แปลกใจ เพราะตอนเผชิญหน้ากับเด็กชายผู้ดูดวิญญาณก็เป็นเช่นนี้

สำหรับกายอมตะแบบนี้ โอสถชิงวิญญาณมีผลเช่นกัน ทว่าระดับความแข็งแกร่งของจีฮูหยินตรงหน้าต่างจากเด็กชายผู้ดูดวิญญาณ ราวกับว่าในตัวอีกฝ่ายมิได้มีเพียงการฝึกฝนดูดวิญญาณเท่านั้น

ขณะซูหมิงถอยหลังก็ยกมือขวาคว้าอากาศไปทางเทือกเขาด้านหลัง

โอสถชิงวิญญาณที่ลอยอยู่เหนือศีรษะชายชราเผ่าหมานในถ้ำเทือกเขาพลันกลายเป็นสายรุ้งยาวแสงอ่อนสามเส้น บินออกมาจากถ้ำเข้ามาอยู่ในมือขวาซูหมิงอย่างรวดเร็ว

ทว่าชั่วขณะที่ซูหมิงเรียกโอสถชิงวิญญาณ จีฮูหยินนำศีรษะวางไว้ตรงคออีกครั้ง เลือดเนื้อผสานกันอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันจีฮูหยินก็ยกมือขวาขึ้น ตรงกลางฝ่ามือนางมีโลหิตหนึ่งหยด

โลหิตนี้มิใช่ของนาง แต่เป็นของซูหมิง นางแอบเก็บมาหนึ่งหยดตอนเขากระอักเลือดตรงหน้านาง!

ยามนี้นางจ้องโลหิตหยดนั้นเขม็ง ไม่สนใจยากลมสามเม็ดที่ลอยมาสร้างแรงกดดันให้นางจากด้านหลังซูหมิง แต่หรี่ม่านตาลง

“ประมุขแห่งเชมันเก้าอรุณ ในสมัยรุ่งอรุณเก้าครั้งหลังจากเจ้าถือกำเนิด…พลังแต่กำเนิดที่ถูกเจ้าทอดทิ้งกลายร่างเป็นความรกร้างมืดหม่นในโลกใบนี้ ผสานกับวงโคจรทุกสรรพสิ่ง วิญญาณทุกตนมีเป็นมีตาย มีอยู่มีดับสูญ มีอวยพร….และมีคำสาป!

ด้วยเลือดเนื้อข้า ด้วยอายุขัยข้า ขอเซ่นไหว้ความรกร้างมืดมนในโลกใบนี้ ชิงพลังชีวิตและเลือดเนื้อของคนผู้นี้มา ข้าขอสาปแช่ง!” ร่างจีฮูหยินแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ประดุจศพแห้งเหี่ยว ทั้งยังแก่ชราลงทันควัน ใบหน้างดงามมัวหมอง ร่างกายงดงามดูอัปลักษณ์

ในมือขวานางมีเสียงดังผัวะ โลหิตของซูหมิงระเบิดกลายเป็นหมอกโลหิต ก่อนถูกจีฮูหยินสูบเข้าไปตามทวารทั้งเจ็ด

จีฮูหยินเผยจิตสังหารในแววตา คำสาปนี้เป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้ดูดวิญญาณ กระทั่งวิชานี้ยังไม่ใช่ของจู๋จิ่วอิน แต่เป็นวิชาสังหารที่ผู้ดูดวิญญาณเผ่าเชมันศึกษาต่อกันมาหลายรุ่น โดยใช้วิธีพิเศษบางอย่างศึกษาร่วมกับผู้สื่อวิญญาณและจิตพยากรณ์จนออกมาเป็นวิชานี้

กระทั่งยังมีตำนานเล่าว่า วิชานี้เดิมทีเผ่าเชมันไม่ได้สร้างขึ้น แต่มาจากมรดกตั้งแต่สมัยก่อนยุคบรรพกาล บนสิ่งของที่หลงเหลือจากยามนั้นมีภาพสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง คนรุ่นหลังก็เลยศึกษามัน และค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นวิชานี้

วิชานี้ผู้สื่อวิญญาณใช้ได้ จิตพยากรณ์ก็ใช้ได้ ทว่ามีเพียงผู้ดูดวิญญาณเท่านั้นที่ใช้วิชานี้แล้วจะพิลึกและลึกลับที่สุด! แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะใช้ได้ อีกทั้งมนตร์คาถาวิชานี้ยังลึกลับยิ่งในเผ่าเชมัน มีเพียงเผ่าใหญ่ถึงจะมีบันทึก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังไม่สมบูรณ์ มนตร์คาถาฉบับสมบูรณ์มีอยู่เพียงในวิหารเทพเชมันเท่านั้น

ด้วยฐานะของจีอวิ๋นไห่ก็ไม่มีทางครอบครองคาถาที่สมบูรณ์ มีเพียงส่วนที่ขาดหาย ทว่าตอนนั้นเขาบังเอิญได้มรดกจากสมัยบรรพกาลเช่นกัน ด้วยพรสวรรค์ของตน เขาจึงศึกษาออกมาเป็นคำสาป และเพราะเหตุนี้เขาจึงประสบหายนะ

ส่วนคำสาปของจีฮูหยินก็ได้มาจากจีอวิ๋นไห่สามีของนาง น่าเสียดาย ปัญญาของนางเข้าใจได้เพียงระดับต้นเท่านั้น การเซ่นไหว้ก็ทำได้เพียงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษเก้าอรุณ หากเป็นจีอวิ๋นไห่เขาจะเซ่นไหว้ผู้แข็งแกร่งได้ทั้งเผ่าหมานและเชมันทุกคน แลกมาเป็นพลังอันน่าสะพรึง

ช่วงที่จีฮูหยินสูบหมอกโลหิต ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง อากาศเหนือศีรษะเขาพลันปรากฏน้ำวนโลหิตยักษ์ และหมุนวนอย่างรวดเร็ว

จากนั้นซูหมิงก็พบว่าร่างกายเขาถูกพันธนาการอยู่ในระยะหนึ่งจั้ง ขยับตัวไปไม่ได้ มีหมอกขาวลอยมาจากในทวารทั้งเจ็ด ก่อนถูกน้ำวนสูบเข้าไปอย่างเร็ว

ร่างกายเขาค่อยๆ แห้งเหี่ยว เส้นผมส่วนโคนกลายเป็นสีเทา เลือดเนื้อ พลังชีวิต และทุกอย่างของเขาล้วนถูกน้ำวนสูบไปอย่างต่อเนื่อง

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ซูหมิงยังสังเกตเห็นว่าอวัยวะภายในกำลังเสื่อมสภาพปานจะเน่าเปื่อย กระทั่งลมหายใจยังมีกลิ่นเหม็น

จีฮูหยินที่อยู่นอกน้ำวนมีสีหน้าทะมึน วิชานี้สำหรับนางแล้วก็มีข้อเสียไม่น้อยเช่นกัน ทว่านางตัดสินใจแล้ว สังหารซูหมิงก่อน จากนั้นก็กลับไปทำลายเผ่ากระเรียนดำให้สิ้นซาก

“ยอมรับความตายซะ ดูร่างกายเจ้าแห้งเหี่ยว ดูชีวิตเจ้าหายไปทีละนิด ดูตัวเจ้ากลายเป็นศพ นี่คือจุดจบของคนที่หยาบคายต่อข้า!” จีฮูหยินมีสีหน้าเคียดแค้น เสียงแหลมสูง รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ แห้งเหี่ยวปานกระดูก

“หนวกหู!” นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา แม้ถูกพันธนาการจนขยับได้เพียงหนึ่งจั้ง ทว่าเขากลับไม่เกรงกลัว เขามีกลอุบายหนีไปจากที่นี่ ความจริงแล้วเพียงใช้พลังเทพหมานหนึ่งครั้ง เขาก็ออกไปจากนี่ได้แล้ว

แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น พลังคำสาปนี้ทำให้เขาสนใจยิ่งนัก ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ขณะพลังชีวิตและเลือดเนื้อเสื่อมถอยลง นัยน์ตาขยับประกาย จ้องน้ำวนนั้นและไม่สนใจจีฮูหยินอีก ก่อนนั่งขัดสมาธิลงทำความเข้าใจ

เห็นซูหมิงอวดดีเช่นนี้ จีฮูหยินจึงยิ้มเยาะ ในใจยิ่งโกรธมากขึ้น

เวลาผ่านไปหลายลมหายใจ เจ็ดลมหายใจต่อมา ตัวซูหมิงแห้งเหี่ยวลง นัยน์ตาฉายแววเข้าใจ เหมือนมองอะไรบางอย่างในน้ำวนออก ทว่าที่มากกว่าคือสับสน ยามนี้ดวงจันทร์ลอยสูงบนท้องฟ้า ขณะนัยน์ตาซูหมิงวูบไหว เขากัดนิ้วชี้มือขวาตรงมุมปาก แล้วป้ายดวงตาซ้ายและดวงตาขวา

เพลิงโลหิตแผดเผา!

ใช้เพลิงโลหิตแผดเผาแลกเป็นพลังชีวิต เพื่อให้มีเวลาศึกษามากขึ้นอีกเล็กน้อย ศึกครานี้จนกระทั่งวิชาพิลึกนี้ ซูหมิงสนใจมันอย่างยิ่ง

วิชาคำสาป ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ความจริงแล้วตอนอยู่กับอูตัวเขาก็ได้ยินเรื่องวิชาลึกลับในเผ่าเชมันนี้มาก่อน มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจมัน ทว่าตอนนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเจอวิชานี้ โอกาสแบบนี้เขาจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร

แทบจะทันทีที่ซูหมิงทำเพลิงโลหิตแผดเผา นอกเมืองหมอกนภา กลางสงครามขนาดย่อมประจำวันของเผ่าหมานและเชมัน มีชายผมยาวผู้หนึ่ง สวมเสื้อตัวยาวสีขาว ท่าทางล่องลอยยิ่งนัก ดูแล้วคล้ายกับซูหมิงหลายส่วน กำลังยิ้มมุมปากเหี้ยมโหดพลางปลิดชีวิตเผ่าเชมันไปผู้หนึ่ง

“พี่ใหญ่เยวี่ยเฟิง เสร็จสงครามครั้งนี้กลับไปในเมือง อันดับท่านน่าจะติดหนึ่งในหกสิบแล้วกระมัง” ข้างชายผู้นั้นมีชาวเผ่าหมานติดตามอยู่เล็กน้อย ขณะกำลังเข่นฆ่าก็ยิ้มกล่าว

“ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้นหรอก อันดับเท่าไรไม่สำคัญ ข้าสนใจเพียงสงครามตรงนี้ของเผ่าหมานเรา” เยวี่ยเฟิงส่ายศีรษะ มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย คำพูดและสีหน้าเขาทำให้คนโดยรอบเกิดความเคารพ

ทว่าทันใดนั้น ร่างกายเยวี่ยเฟิงพลันสั่นไหว รู้สึกแปลกในใจ เกิดภยันตรายและความรู้สึกไม่ดี ขณะกำลังจะตรวจสอบโดยรอบก็พลันหน้าเปลี่ยนสี กระอักโลหิตกองโต ใบหน้าเขาพลันแก่ขึ้นอีกสิบปี

‘ซูหมิง! เป็นซูหมิง! เขากำลังใช้วิชา!’ นัยน์ตาเยวี่ยเฟิงเผยแววเหลือเชื่อ ร้องตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!