ตอนที่ 393 บรรพบุรุษหงหลัว
ผู้แข็งแกร่งหลายคนบนแผ่นดินเชมันได้ยินเสียงคำรามของซูหมิงแล้วต่างพากันตื่นตะลึง ขณะเดียวกันในเมืองหมอกนภา ณ ใต้ดินไร้ที่สิ้นสุด มีวิหารใต้ดินอยู่หนึ่งหลัง
วิหารใต้ดินนี้สร้างขึ้นต่างจากสิ่งก่อสร้างเผ่าหมาน รูปทรงแปดเหลี่ยม ทุกส่วนเป็นสร้างขึ้นจากหินวิญญาณ เปล่งแสงสีสันหลากสี แม้จะอยู่ใต้ดินทว่ายังคงส่องสะท้อน อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณเข้มข้นแผ่มา
บนสิ่งก่อสร้างแปดเหลี่ยมมีประตูอยู่แปดบาน ยามนี้ปิดสนิท ตรงใจกลางสิ่งก่อสร้างเป็นวิหารใหญ่ ตรงนั้นมีรูปปั้นยักษ์สองรูป ลักษณะเป็นคนสองคน หนึ่งสวมเสื้อคลุมยาว เสื้อผ้าตรงหน้าอกปักภาพหยินหยางขาวดำ มือซ้ายทำสัญลักษณ์มืออยู่ด้านหลัง มือขวาบกขึ้นลูบเครา แม้เป็นเพียงรูปปั้น แววตาก็ยังคงเหมือนสายฟ้า สมจริงราวกับมีชีวิต
อีกรูปปั้นหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนประดุจเซียน ชายคนนี้ยังคงสวมเสื้อคลุมยาว ทว่าบนเสื้อกลับไม่ปักลายหยินหยาง แต่เป็นรูปใบไม้เรียวยาว
ใบนั้นเป็นสีเขียวหยก ให้ความรู้สึกถึงพลังชีวิตเปี่ยมล้น
สีหน้าชายวัยกลางคนมีจิตสังหาร นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม เขายกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ มือซ้ายกดบนมือขวา ราวกับกำลังใช้วิชายิ่งใหญ่บางอย่าง
ใต้รูปปั้นสองรูปนั้น ในเงามือมีเก้าอี้หินอยู่ห้าตัว ยามนี้สามเก้าอี้หินมีคนนั่งอยู่ แต่ร่างคนในสองเก้าอี้กลับมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงบรรพบุรุษเทียนหลันบนเก้าอี้ตัวที่สาม มีสีหน้าเคร่งขรึม
“แผ่นดินเชมันปรากฏผู้แข็งแกร่งลึกลับ เสียงคำรามเขา เมื่อครู่นี้พวกเราก็ได้ยิน”
“เขาไม่น่าจะใช่คนสำนักซ่อนมังกรมาเยือน ถึงอย่างไรก็อีกสามปีกว่าจะถึงวันมาเยือน ทุกสำนักไม่มีพลังพอจะมาเยือนก่อนเวลาแน่ ต้องมาตามกำหนดเวลาอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะมาโลกใบนี้ได้ผ่านวงแหวนอาคม” หนึ่งในสองคนในเงามืดกล่าวเสียงแหบแห้ง
“และก็ไม่มีทางเป็นคนของสำนักชุมนุมเซียน ผู้มาเยือนจากสำนักชุมนุมเซียนมีน้อยยิ่งนัก เดาว่าไม่เกินสามคนด้วยซ้ำ พวกเขาอยู่ในเผ่าหลักหรือไม่ก็สำนักของเผ่าหมาน ไม่น่าจะไปเผ่าเชมัน”
“ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งลึกลับคนนี้จะเป็นใคร อย่าให้เขาทำลายแผนของเราเด็ดขาด ในเมื่อเขาปรากฏตัวในเผ่าเชมัน ดูท่าสำนักซ่อนมังกรคงต้องลงมือจัดการ”
“จริงๆ แล้วข้ายังไม่เข้าใจ เทพหมานแห่งเผ่าหมานสิ้นลงแล้ว และยังไม่ปรากฏเทพหมานคนใหม่ ไม่มีเทพหมาน พวกเราเผ่าเซียนจะกลัวอะไร!
อีกอย่างผู้สืบทอดเก้าอรุณแห่งเผ่าเชมันหายไปนานแล้ว ตอนนี้อย่างมากก็เหลือเพียงเสี้ยวเดียว ต่อให้ยึดอำนาจมาได้ก็เท่านั้น สำนักหมอกนภาข้าแค่ส่งผู้อาวุโสไปคนหนึ่งก็ทำลายเผ่าหมานจนเรียบแล้ว ไม่เห็นต้องเสียแรงให้พวกเราร่วมมือกับคนอื่นเพื่อดำเนินการแผนการมาเยือนในช่วงหลายพันปีนี้เลย”
“หึ หลายพันปีก่อนเจ้าไม่ได้มาเยือน ไม่รู้รายละเอียดหรอก ที่นี่หากมันง่ายอย่างนั้นจริงๆ ข้าคงไม่ต้องเสียเวลามากกว่าครึ่งชีวิต พวกเราปรากฏตัวไม่ได้ กระทั่งยังต้องระงับขั้นพลังเอาไว้ และห้ามแสดงกลิ่นอายพลังเซียนเด่นชัดเกินไป มิเช่นนั้นแล้ว…เฮอะๆ เจ้าจะลองดูก็ได้!” คนที่กล่าวคือบรรพบุรุษเทียนหลัน เขายิ้มเย็นชา กล่าวเรียบๆ
“เอาละ พวกเจ้าสองคนไม่ต้องเถียงกัน สหายเทียนหลันเต้า หลายพันปีมานี้เจ้าเข้าใจที่นี่มากกว่าข้ากับสหายซุนหยาง ฉะนั้นต้องทำตามสหายเทียนหลัน
ทว่าข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าเผ่าหมานมีความลับอะไรกันแน่ สหายเทียนหลันถึงใช้เวลานานขนาดนั้น พบอะไรรึ?” หนึ่งในสามคนที่เงียบมาโดยตลอด ยามนี้กล่าวอย่างสงบนิ่ง
“สหายฉางเกรงใจเกินไปแล้ว” บรรพบุรุษเทียนหลันยิ้ม น้ำเสียงอ่อนลงกับคนแซ่ฉาง ในใจสนใจฐานะของอีกฝ่าย
“แม้ในสำนักฐานะข้าจะธรรมดา แต่ก็อยู่ในเผ่าหมานมาหลายพันปี จึงเข้าใจที่แห่งนี้บ้าง ที่นี่มีความลับ ทว่าข้าไม่รู้ความลับนี้ แต่หากกล้าเผยพลังเผ่าเซียนออกมาทั้งหมด จุดจบคือความตาย
ส่วนความลับของเผ่าหมาน ดูท่าเจ้าสำนักกับผู้อาวุโสหลายคนน่าจะรู้ แผนการของพวกเราคือต้องเปิดเส้นทางมาเยือนตรงนี้ เพื่อให้พวกเจ้าสำนักลงมาเยือนด้วยขั้นพลังสมบูรณ์มิใช่รึ ทว่าในเมื่อสหายฉางถาม ด้วยการวิเคราะห์ในช่วงหลายปีมานี้ ข้ารู้สึกว่าความลับของที่นี่จะเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราจะมาเยือนเผ่าหมาน” บรรพบุรุษเทียนหลันลังเลครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบา
“เจ้าหมายความว่า…” คนแซ่นฉางเบิกตากว้าง มือขวาจับเก้าอี้หินยันมือเอาไว้
“นี่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น ถึงอย่างไรก็เป็นสหายเผ่าเซียนของเราที่มาเผ่าหมาน ต่อให้เป็นสำนักอสูรของแดนรกร้างบูรพา ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องมาจากที่เดียวกัน ผ่านบุคคลนั้นถึงจะมาเยือนที่นี่ได้
น่าเสียดายร่างกายบุคคลนั้นมีผนึกแกร่งกล้า ทุกครั้งพวกเราจะมองไม่เห็นหน้าตาเขา มิเช่นนั้นแล้ว บางทีอาจพบเบาะแสอะไรบางอย่าง”
ภายในวิหารใต้ดินเงียบไปพักใหญ่ คนแซ่ฉางก็ถอนหายใจ
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องเดาแล้ว หากเกี่ยวกับบุคคลนั้นจริงๆ เราจะเข้าไปเกี่ยวไม่ได้ ทำแผนการให้ดีก็พอ….”
ช่วงที่ทั้งสามคนสนทนากัน ณ สถานที่พิลึกใต้เมืองหมอกนภา ตรงส่วนลึกของเผ่าหมานที่ไกลจากเมืองหมอกนภา กลางหิมะน้ำแข็งอันเป็นที่ตั้งของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์
ภายในหอแห่งหนึ่ง มีชายชราผมขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกตะลึง ก่อนลุกพรวดยืนขึ้นแล้วผลักประตูออกไป สายลมหนาวกระทบใบหน้า พัดผ่านเส้นผมเขาปลิวไสว เขามองท้องฟ้า มีสีหน้าจริงจัง
ผ่านไปพักใหญ่ เขายกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ ราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่าง มวลอากาศด้านหลังบิดเบี้ยว มีเงาคนสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิปรากฏขึ้นขมุกขมัว
“บัดซบ ผนึกเขาคลายลงแล้ว นี่เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาทำได้อย่างไร เรื่องนี้มันนอกเหนือแผนการ จะต้องรีบคำนวณว่าใครจะปรากฏตัวหลังจากผนึกนี้คลายลง!” ชายชราผมขาวขมวดคิ้ว มีสีหน้าร้อนใจ ก่อนหมุนตัวกลับไปนั่งขัดสมาธิในเรือน สองมือประสานมุทราอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาวาววับ ภายในตัวเขามีเมฆลมผ่าน กำลังทำการพยากรณ์ครั้งใหญ่
เขาหน้าเปลี่ยนสี เขาตะลึงงันก่อน แล้วค่อยตื่นตะลึง จากนั้นก็ผ่อนลมหายใจ สุดท้ายก็ไม่มั่นใจ ผ่านไปพักหนึ่ง เขาจึงหยุดการพยากรณ์ ตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
‘บรรพบุรุษหงหลัว…..ปรากฏตัว…..ทว่ายังห่างจากวันมาเยือนอีกสามปี…ตอนนี้ข้ายังติดต่อกับนายท่านไม่ได้…..ช่างเถอะ ในเมื่อนายท่านให้ข้านำเงาสะท้อนเขาเข้ามาในเผ่าหมาน ดูท่าคงจะเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดเอาไว้แล้ว’ ชายชราลังเลใจครู่หนึ่ง ก็พลันกัดฟันยกมือขวาขึ้นชี้ด้านหลังตน
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิที่ปรากฏอยู่ในมวลอากาศบิดเบี้ยวด้านหลังเขาพลันสมจริงขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งก็เหมือนกับคนจริงๆ เขาเดินผ่านหลังชายชรามายืนตรงหน้าเขา ใบหน้าไร้อารมณ์ สีหน้าเย็นชา
‘น่าเสียดายถูกพลังแผ่นดินหมานรบกวน เงาสะท้อนของนายท่านก็เลยเสียสติปัญญากลายเป็นหุ่นเชิด เหลือไว้เพียงสัญชาตญาณเท่านั้น’ ชายชราถอนหายใจ ยืนขึ้นประสานมือคารวะชายวัยกลางคนปานจักรพรรดิ
“นายท่าน ผนึกของซู่มิ่งเปิดแล้ว ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้น บรรพบุรุษหงหลัวปรากฏตัว หวังว่านายท่านจะลงมือยุติปัญหาด้วย!” ขณะชายชรากล่าวก็กัดปลายลิ้น เมื่อพ่นโลหิตแล้วก็สะบัดมือขวาในหมอกโลหิตอย่างเร็ว ทันใดนั้นหมอกโลหิตกลายเป็นอักขระโลหิตสามตัว ตกใส่ร่างชายวัยกลางคนปานจักรพรรดิ
นัยน์ตาชายวัยกลางคนปานจักรพรรดิเป็นประกาย มีสติกลับมาเล็กน้อย เมื่อมองชายชราด้วยความเย็นชาแวบหนึ่งแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินไปหนึ่งก้าว ร่างกายเขาพลันโปร่งใส ก่อนค่อยๆ หายไป
‘ดีที่นายท่านให้ร่างเงาสะท้อนเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว คงเอาบรรพบุรุษหงหลัวไม่อยู่จริงๆ…..เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ตาแก่สามคนนั้นตื่นขึ้น ก็ไม่เป็นไร….หวังว่าจะไม่เป็นไร…..’ ชายชราขมวดคิ้วส่ายศีรษะ ไม่มีความมั่นใจ ตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษหงหลัวที่เคยแพร่งพรายในเผ่าเซียน ทำให้ชายชราหวาดกลัวยิ่งนัก
‘ตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษหงหลัวเป็นคนเหี้ยมโหด ชอบเข่นฆ่ายิ่งนัก ทั้งยังชอบผู้แข็งแกร่งหนีสงครามและสังหารอย่างเหี้ยมโหด…..สุดท้ายท่านตี้เทียนก็ลงมือ ผนึกเขาไว้ในตัวซู่มิ่ง’ ชายชราถอนหายใจ
ทั้งแดนอรุณใต้ เสียงคำรามของซูหมิงทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี เรื่องเหล่านี้ซูหมิงย่อมรู้ หรือบางทีไม่อาจเรียกเขาว่าซูหมิงได้อีกแล้ว
“ข้าชอบสีแดง…..ทว่าข้า…ข้าเป็นใคร!” บนน่านฟ้าเหนือแผ่นดินเชมัน ซูหมิงเส้นผมแดงยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาแดงฉานแต่กลับสับสน
“ตี้เทียน…ข้าไม่ใช่ตี้เทียน ศัตรูข้าคือตี้เทียน!” ผ่านไปนาน ซูหมิงพลันเงยหน้าขึ้น ไม่คำรามอีก ทว่าสีหน้ากลับคลุ้มคลั่งและไม่ยินยอมอย่างเห็นได้ชัด
“ตี้เทียน ข้ากับเจ้าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ข้าจะสังหารเจ้า!” ซูหมิงพลันยกมือขวา กดมือไปทางแผ่นดินจากบนท้องฟ้าสูง จากนั้นแผ่นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง รอยแยกปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและลุกลามไปมากกว่าหนึ่งหมื่นจั้ง ขณะเดียวกัน ซูหมิงงอนิ้วมือเป็นกรงเล็บ ฉีกมวลอากาศด้านบน
“มารมังกรปราณปฐพี!” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ในรอยแยกนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินมีหมอกขาวลอยขึ้นมาพร้อมกัน แผ่นดินแตกระแหง ปานสูญเสียพลังชีวิต ราวกับว่าพลังชีวิตทั้งหมดถูกซูหมิงชิงไปทั้งหมด
ขณะหมอกขาวกำลังรวมกัน ก็ไหลเชี่ยวกรากอย่างรุนแรง พริบตาเดียวสร้างขึ้นเป็นมังกรขาวยักษ์ มังกรตัวนี้มีดวงตาแดงฉาน ตัวสีขาวบริสุทธิ์ ทว่าไม่นานสีขาวก็กลายเป็นสีแดง กลายเป็นมังกรยักษ์สีแดงขนาดหลายพันจั้ง มันสะบัดตัวพุ่งทะยานออกไป
ซูหมิงยืนอยู่บนศีรษะมังกร เส้นผมสีแดงปลิวไสว
“ข้าคือใคร…..ข้าคือใครกันแน่…..ซูหมิง ใช่แล้ว ข้าคือซูหมิง! ศัตรูข้าคือตี้เทียน ข้าจะสังหารเขา!” ซูหมิงยิ้มมุมปากอย่างเหี้ยมโหด