Skip to content

สู่วิถีอสุรา 410

ตอนที่ 410 หลอมหุ่นเชิด

ซูหมิงยกมือซ้ายแล้วกดไปทางประตูน้ำวนด้านหลัง ไอหนาวพลันกระจายออกจากในตัวเขาโดยตรง ปกคลุมบนประตูนั้น ภายใต้เสียงกึกๆ ดังกังวาน ประตูแห่งความว่างเปล่าพลันกลายเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์

เมื่อทำเสร็จแล้วซูหมิงก็หัวเราะเสียงดัง มองหนอนงูตรงกลางฝ่ามือ แม้จะไม่ได้เจอกันแค่ครึ่งปี แต่ในความรู้สึกซูหมิง ประสบการณ์ครึ่งปีนี้ไม่น้อยจริงๆ ตั้งแต่เปิดถ้ำเทือกเขาจนกลับมาเหมือนผ่านไปนานมาก

หนอนงูร้องอยู่ในฝ่ามือซูหมิง แลบลิ้น ความดีใจเข้ามาแทนความเย็นชาในดวงตา มันก้มหน้าซุกในมือซูหมิงหลายที ตัวมันเล็กมาก มีขนาดเพียงนิ้วโป้ง ตอนนี้มาทำแบบนี้อีก จึงยิ่งทำให้มันดูน่ารัก

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แม้กลับมาถึงถ้ำแล้ว ไอหนาวในตัวเขากลับยังไม่หายไปทั้งหมด ยามนี้แผ่ขยายจากสองเท้าไปตามพื้น และเปลี่ยนผืนดินในระยะหลายร้อยจั้งรอบตัวให้กลายเป็นน้ำแข็งทันใด ไอสีขาวลอยขึ้น ทำให้อุณหภูมิลดฮวบมากกว่าครึ่ง

แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าบนตัวซูหมิงยามนี้ปรากฏหยดน้ำจำนวนมาก หยดน้ำเหล่านั้นซึมออกมาจากผิวหนัง แลดูเหมือนเหงื่อ แต่ความจริงแล้วนี่คือไอหนาวในตัวเขา

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย รูขุมขนทั้งร่างปิดสนิท ทันใดนั้น ไอหนาวที่แผ่กระจายสู่โดยรอบพลันอ่อนลง ทว่าก็ยังคงกระจายตัวเบาๆ

‘ยังสลายไอหนาวในตัวให้หมดไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วหากกลับไปยังธารน้ำแข็งใต้ทะเลมรณะอีก เกรงว่ากว่าร่างกายจะปรับตัวคงต้องใช้เวลาอีกนาน’ ซูหมิงขบคิดในใจ พลางยกมือขวาขึ้นมาถึงตรงบ่า หนอนงูบินขึ้นมาอยู่บนบ่าแล้วเกาะอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเกียจคร้าน

เมื่อเห็นถ้ำที่คุ้นเคย ความตื่นเต้นในแววตาซูหมิงหายไปทีละนิด ตอนที่เขาเห็นศพสองร่างบนพื้น นัยน์ตาเย็นชายิ่งขึ้น

“จีอวิ๋นไห่…” ซูหมิงมองศพผอมแห้งเหี่ยว ในความคิดอดผุดภาพตอนสู้กับจีฮูหยินขึ้นไม่ได้ ก่อนค่อยๆ เดินไปยืนข้างศพจีอวิ๋นไห่

ซูหมิงย่อตัวลง เอามือวางไว้บนศพแล้วพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง นัยน์ตาดูขบคิด จากนั้นก้มหน้ามองแมลงปีกแข็งสีดำจำนวนมากข้างศพจีอวิ๋นไห่ พวกมันยังไม่ตาย เพียงแค่หลับใหลเท่านั้น ความแข็งแกร่งของแมลงเหล่านี้ ซูหมิงจดจำได้อย่างแม่นยำ

‘ไม่รู้ว่าจีอวิ๋นไห่ตายไปแล้วกี่ปี ถูกจีฮูหยินหลอมเป็นหุ่นเชิด ตอนนี้จีฮูหยินตายไป หากข้าเพิ่มการควบคุมหุ่นเชิดตัวนี้ได้ก็จะมีประโยชน์กับข้าในธารน้ำแข็ง!’

ซูหมิงยกสองนิ้วขึ้นบี้แมลงสีดำตัวหนึ่งบนพื้น ก่อนพิจารณาอย่างละเอียดพักหนึ่ง

‘แมลงนี้…ไม่ใช่หุ่นเชิด จีฮูหยินควบคุมมันอย่างไร?’ ซูหมิงจ้องแมลงอยู่นาน นัยน์ตาพลันเป็นประกายวาววับ มองไปยังศพจีอวิ๋นไห่ข้างๆ

‘หรือว่าจีฮูหยินจะไม่ได้ควบคุมแมลงเหล่านี้ แต่เป็นจีอวิ๋นไห่? ต่อให้จีอวิ๋นไห่กลายเป็นหุ่นเชิด ทว่าก็ยังส่งผลต่อสัญชาตญาณพวกมันได้’ ซูหมิงก้มหน้ามองแหวนสีแดงตรงนิ้วมือขวา นัยน์ตาวูบไหว ผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็ยืนขึ้น ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่นอกเทือกเขา

สีหน้าเขาดูครุ่นคิดคิดเป็นบางครั้ง บางคราวก็ดีใจ ทว่าสุดท้ายกลับไม่แน่ใจ ราวกับมีเรื่องยากจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง

หนึ่งก้านธูปต่อมา ซูหมิงหยุดฝีเท้า เอียงศีรษะมองประตูน้ำวนทรงวงรีที่ส่งเขากลับมา หรือก็คือประตูแห่งความว่างเปล่าซึ่งอยู่ไม่ไกล

ประตูลอยอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ด้านนอกเต็มไปด้วยน้ำแข็ง กลายเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์ไปแล้ว

‘แม้ไม่รู้ว่าข้าหลับไปนานเท่าไร แต่จากการเปลี่ยนแปลงของเทือกเขา รวมเวลาทั้งหมดแล้วน่าจะไม่เกินหนึ่งปี…และเวลาหลังจากข้าตื่นขึ้นในธารน้ำแข็งก็ราวๆ สามเดือน…’ ซูหมิงนึกถึงประสบการณ์สามเดือนในโลกธารน้ำแข็งสีดำ ในส่วนที่น่าจะเป็นก้นทะเลมรณะ

เขาใช้เวลาครึ่งเดือนออกมาจากธารน้ำแข็งเป็นครั้งแรก ทว่าตอนที่ออกมากลับยากจะก้าวเดินต่อเพราะแรงกดดันของทะเลสีดำ

ใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะเริ่มปรับตัวกับแรงกดดันนั้น พอเดินต่อไปได้ราวหนึ่งร้อยจั้ง อีกทั้งทุกก้าวหากไม่ก้าวเร็วๆ เท้าจะถูกแช่แข็ง เขาจึงแทบจะไม่ได้หยุดพักเลยบนธารน้ำแข็ง เพราะต้องรักษาความเร็วอยู่ตลอด

อีกทั้งในก้อนน้ำแข็งที่ห่างไปแปดสิบกว่าจั้งก็เป็นจุดที่เขาใช้จิตสัมผัสตรวจสอบก่อนหน้านี้ แล้วพบว่ามีสิ่งมีชีวิตจำนวนมากถูกแช่แข็งอยู่ มีหนึ่งในนั้นอยู่ใกล้เขามากที่สุด

สิ่งนั้นเป็นชายร่างกำยำสีหน้าเหี้ยมโหด มีเกล็ดสีดำขึ้นทั้งตัว ส่วนสูงราวหกจั้ง ทั้งตัวพองบวม คล้ายแฝงพลังน่าตะลึงเอาไว้ มือซ้ายกำหมัด มือขวาถือกระบองยักษ์ กระบองนี้ไม่รู้ว่าสร้างจากสิ่งใด ทุกส่วนเป็นสีดำทึบ ด้านบนยังฝังเขี้ยวคมเอาไว้เก้าจุด ให้ความรู้สึกถึงความป่าเถื่อน ขณะเดียวกันยังรู้สึกถึงความน่าสะพรึงจากในกระบองนั้น

กระบองเขี้ยวยักษ์นี้คือสมบัติล้ำค่า!

ซูหมิงตรวจสอบอยู่หลายวันจนมั่นใจว่าชายร่างกำยำที่ถูกแช่แข็งผู้นี้ไม่มีพลังชีวิตอยู่แล้ว จากนั้นใช้เวลาอีกครึ่งเดือนลองหาวิธีทำลายน้ำแข็ง ทว่าสุดท้ายก็ทำลายไปได้เพียงหลายชุ่น อีกทั้งหากหยุดเมื่อใด ชั้นน้ำแข็งจะผสานเข้ามาใหม่

ด้วยขั้นพลังของเขา หลายชุ่นคือขีดจำกัดสูงสุดแล้ว ซูหมิงไม่เข้าใจเช่นกัน ในเมื่อเขาทำลายน้ำแข็งของตัวเองได้ เหตุใดตอนทำลายน้ำแข็งของชายร่างกำยำถึงต้องใช้แรงมากขนาดนี้ เรื่องนี้เขาได้ตรึกตรองจนมีคำตอบแล้ว นั่นคือเวลาของผนึกน้ำแข็ง!

ดูจากลักษณะช่วงที่เหยียบบนธารน้ำแข็งแล้วจะถูกแช่แข็ง เห็นได้ชัดว่าน้ำแข็งของซูหมิงอยู่มาไม่นาน ฉะนั้นจึงทำลายได้ ทว่าน้ำแข็งของชายร่างกำยำไม่รู้ว่าอยู่มากี่ยุคสมัยแล้ว

หากจะทำลายชั้นน้ำแข็งของชายร่างกำยำ ซูหมิงต้องมีขั้นพลังที่แกร่งกว่านี้ เขาจึงตรึกตรองและใช้เวลาครึ่งเดือนในการขุดประตูแห่งความว่างเปล่าออกจากน้ำแข็ง หลังจากศึกษาแล้วก็กลับมายังถ้ำเทือกเขาผ่านประตูนี้

ซูหมิงขมวดคิ้วจ้องประตูแห่งความว่างเปล่า

‘ตามระบบของเผ่าเซียน ตอนนี้ข้าอยู่ขั้นวิญญาณก่อกำเนิด ผู้ฝึกตนระดับนี้เทียบกับเผ่าหมาน แม้ไม่รู้ว่าเทียบเท่าขั้นพลังใด….ทว่าในความรู้สึกข้ามันกลับใกล้เคียงกับพลังข้าตอนนี้…เพียงแต่พลังของเผ่าเซียนยืนยาวและเชี่ยวชาญวิชาอภินิหาร…เมื่อเป็นเช่นนั้นก็พอวิเคราะห์ได้’ ซูหมิงละสายตากลับจากประตูพลางขบคิด

‘ช่วงต้นของขั้นวิญญาณก่อกำเนิดเทียบเท่ากับกระดูกหมานสี่ชิ้นของข้าตอนนี้…หากเป็นช่วงกลางละก็คงราวๆ สิบชิ้นขึ้นไป? หากสิ่งนี้ถูกต้อง เช่นนั้นวิญญาณก่อกำเนิดช่วงปลายก็จะประมาณยี่สิบกว่าชิ้น และขั้นกล่อมเกลาจิตในเผ่าเซียนก็จะเท่ากับวิญญาณหมานตอนต้น….

น่าจะเป็นอย่างนี้ ขั้นกล่อมเกลาจิตของเผ่าเซียนจำต้องรู้แจ้ง หากกล่อมเกลาออกมาเป็นแก่นวิญญาณได้ ก็จะอยู่เหนือกว่าวิญญาณก่อกำเนิด ทว่าในเผ่าหมาน หากทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานจะสร้างเทวรูปหมานของตัวเองขึ้นมา เทียบกันแล้วหนึ่งคือจิตในกาย อีกหนึ่งคือเทวรูปหมานนอกกาย มันมีจุดที่เชื่อมกันอยู่!

ส่วนขั้นเปลี่ยนวิญญาณที่อยู่เหนือกว่ากล่อมเกลาจิตก็คือ…วิญญาณหมานตอนกลาง! และระบบในการฝึกของเผ่าเซียน จุดสูงสุดของก้าวแรกคือขั้นทรงอำนาจ ดูแล้วก็คงเท่ากับวิญญาณหมานตอนปลาย

ในระบบการฝึกเซียน ระหว่างก้าวแรกกับก้าวสองมีขั้นหยินพร่องหยางเด่นอยู่ ดูท่าขั้นหยินพร่องหยางเด่นนี้จะเป็นขั้นวิญญาณหมานมหาสมบูรณ์ หากทะลวงขั้นพลังได้นี้ก็จะเข้าสู่ก้าวที่สองในระบบเผ่าเซียนอย่างแท้จริง!

น่าเสียดาย ในระบบขั้นพลังของเผ่าหมานข้า หลังจากขั้นวิญญาณหมานแล้วก็ขาดหาย แต่ข้าเชื่อว่าในเผ่าหมานจะต้องมีก้าวที่สองเหมือนกับเผ่าเซียนแน่!’ ซูหมิงหลับตา ผ่านไปพักใหญ่จึงลืมตาขึ้น

‘ตอนนี้ข้าฝึกหมานพร้อมกับเซียนก็จริง….ทว่าน่าเสียดายที่สองพลังนี้หลอมรวมกันไม่ได้ ตอนใช้วิชาเซียนพลังหมานจะนิ่งเงียบ ตอนใช้พลังกระดูกหมานก็จะใช้อภินิหารของเซียนไม่ได้…นอกจากจิตสัมผัสแล้วอย่างอื่นแทบจะใช้งานไม่ได้

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น หากข้าสลับกันใช้งาน ตัวข้าตอนนี้ก็จะ….แข็งแกร่งกว่าเมื่อครึ่งปีก่อนมาก!’ ซูหมิงกำหมัดแน่น เมื่อกวาดสายตามองแผ่นดินแล้วก็มองศพแห้งเหี่ยวของจ้าวเผ่ากระเรียนดำ

ซูหมิงเดินไปยืนข้างศพช้าๆ มองอย่างเย็นชา สุดท้ายก็มองขาขวาอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่ามีรอยแผลยังไม่ผสานตัวอยู่ และยังมีตะขาบตัวใหญ่ที่ตายไปแล้วด้วย

‘คนผู้นี้คือชาวเผ่ากระเรียนดำที่ข้าโจมตี’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา ตอนนั้นเขายังสงสัยเล็กน้อย การมาเยือนของจีฮูหยิน จิตสังหารที่เด่นชัดนั้น เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายคือตน

เผ่าโคขาวกับเผ่ากระเรียนดำคือผู้ต้องสงสัย แต่ในใจซูหมิงสงสัยเผ่ากระเรียนดำมากกว่า ยามนี้หลังจากเห็นศพจ้าวเผ่ากระเรียนดำแล้ว เขาก็ยิ้มมุมปากเย็นชา

การปรากฏตัวของจีฮูหยินทำให้ซูหมิงพบเจอเรื่องราวต่างๆ มากมายในครึ่งปีนี้ มีทั้งดีและไม่ดี ทว่าจากภยันตรายเกือบตายนั้น มีหรือที่ซูหมิงจะยอมปล่อยเผ่ากระเรียนดำที่ส่งจีฮูหยินมา!

ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา สะบัดชายแขนเสื้อ ม้วนศพจีฮูหยินกับแมลงปีกแข็งสีดำที่หลับใหลพวกนั้นรวมถึงกระบี่เล็กสีดำซึ่งบินมาทางเขากลับเข้าไปในถ้ำเทือกเขา

หลังจากกลับมาถึงถ้ำแล้ว ซูหมิงก็มุ่งหน้าไปยังห้องหินหม้อยา เมื่อเห็นทุกอย่างยังปกติก็วางใจ จากนั้นจึงไปยังห้องหินของชายชราเผ่าหมาน เมื่อเห็นทั้งตัวชายชราเป็นสีดำทึบ อีกทั้งบนตัวยังมีรอยกัดเต็มไปหมด ซูหมิงก็อึ้งงัน หนอนงูบนบ่าเขาพลันเงยหน้าขึ้น มีสีหน้าคล้ายลำพองใจและแย่งความดีความชอบของผู้อื่นมา

ซูหมิงยิ้ม เมื่อกวาดสายตามองชายชราเผ่าหมานแล้วก็เผยแววประหลาด

‘ข้าไม่ใช่เชมันผู้ดูดวิญญาณ การจะหลอมเป็นหุ่นเชิดดูดวิญญาณนั้นยากเกินไป…ทว่าตอนนี้หากใช้ขั้นพลังเผ่าเซียน ในมรดกของหงหลัวมีอภินิหารวิชาหุ่นเชิดอยู่หลายชนิดที่ผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณก่อกำเนิดใช้ได้’ ซูหมิงลูบคาง ส่งกระแสจิตไปยังหนอนงูบนบ่า

หนอนงูบินขึ้นแล้วตรงออกไปนอกถ้ำ ลอยอยู่กลางอากาศ มองไปรอบๆ อย่างตื่นตัวเพื่อคุ้มกันให้ซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!