Skip to content

สู่วิถีอสุรา 424

ตอนที่ 424 งานพนันสมบัติครั้งใหญ่

เรือลำนั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ทะยานแหวกเมฆหมอก สร้างเป็นระลอกคลื่นจากทางตะวันออกของซูหมิงกับหนานกงเหิน แล้วบินผ่านไปประดุจท้องฟ้าเป็นทะเล

เรือลำนี้หรูหรายิ่งนัก เปล่งแสงหลากสี โดยเฉพาะระลอกคลื่นที่กระเพื่อมจากเรือ หลันหลันกับอาหู่เบิกตากว้าง แววตาชื่นชม

ส่วนเด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยว เมื่อเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่งแล้วสีหน้าก็ยังคงเย็นชา ไม่ได้แปรเปลี่ยนอะไรมาก

“เรือแท่นสวรรค์ของเผ่าแท่นเทวะ เป็นหนึ่งในเผ่าใหญ่ของเผ่าเชมัน เรือนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยินมาว่าหากมันใช้ความเร็วสูงสุดจะเทียบเคียงได้กับจุดสูงสุดของเชมันระดับปลาย อีกทั้งการป้องกันในตัวมันยังหนาแน่นมาก เป็นของสำหรับการเดินทางไปยังที่อันตรายที่ดีที่สุด” หนานกงเหินมองเรือบินจากไป แล้วยิ้มกล่าวกับซูหมิง

ซูหมิงเหมือนขบคิดบางอย่าง ช่วงที่เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสเมื่อครู่นี้ เขารู้สึกถึงแรงต่อต้านบริเวณนอกเรือ ฉะนั้นจึงมิได้ฝืนแผ่ขยายเข้าไป ทว่าหลายคนที่ยืนอยู่บนเรือนั้น ตอนที่เขากวาดสายตามองกลับรู้สึกเหมือนเคยรู้จักกับสตรีชุดขาวผู้หนึ่ง

“เป็นอะไร สหายโม่สนใจเรือแท่นสวรรค์รึ?” หนานกงเหินเห็นซูหมิงยังมองไปทางเรือแท่นสวรรค์ จึงยิ้มกล่าว

“แซ่โม่เป็นผู้ฝึกฝนเชมันเล็กจ้อยคนหนึ่ง ต่อให้สนใจเรือแท่นสวรรค์ ก็ทำได้เพียงชื่นชมเท่านั้น” ซูหมิงส่ายศีรษะ

“สหายโม่อย่าดูถูกตัวเอง หากอยากได้เรือแท่นสวรรค์ของเผ่าแท่นเทวะจริงๆ ก็ยังมีวิธีอยู่…” นัยน์ตาหนานกงเหินเป็นประกาย ขณะบินกับซูหมิงก็เอ่ยเสียงเบา

“อ้อ? เช่นนั้นสหายหนานกงช่วยบอกที” ซูหมิงมองหนานกงเหิน

“ตามที่ข้ารู้มา เผ่าแท่นเทวะจะมาโลกเก้าหยินทุกครั้งที่เปิด เป้าหมายของพวกเขานอกจากช่วยชาวเผ่าให้ได้รับการฝึกฝนดูดวิญญาณแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเพื่องานพนันสมบัติครั้งใหญ่ สหายโม่อย่าบอกข้านะว่าไม่ได้มาเพื่องานครั้งนี้”

หนานกงเหินยิ้ม มองซูหมิงแวบหนึ่ง

“เรื่องนี้เกี่ยวกับเรือแท่นสวรรค์อย่างไร?” ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย กล่าวอย่างสงบนิ่ง

“สหายโม่อาจยังไม่รู้ ขอแค่มีโชคในงานพนันสมบัติแล้วได้สมุนไพรบางชนิดที่เผ่าแท่นเทวะต้องการ พวกเขาจะต้องมาหาเพื่อขอแลกของแน่ ถึงตอนนั้นก็บอกไปได้ว่าต้องการเรือแท่นสวรรค์” หนานกงเหินหัวเราะเสียงดัง

“เรื่องนี้….” ซูหมิงยิ้มเฝื่อนพลางส่ายศีรษะ และไม่กล่าวอะไรต่อ ท่าทางของเขาตอนนี้มีความหมายแฝงหลายอย่าง ทุกอย่างต้องดูว่าคนที่เห็นสีหน้าแบบนี้ของเขาแล้วคิดในใจอย่างไร

“สหายโม่กังวลเรื่องโชคของตัวเองรึ? เรื่องนี้ยากจะคาดเดาจริงๆ ข้าเคยเห็นเชมันระดับกลางคนหนึ่งเปิดได้ดอกเก้าอเวจี! แม้เป็นเพียงเศษใบไม่สมบูรณ์ก็ตาม ทว่าคนเผ่าใหญ่ก็ซื้อมันด้วยราคาสูง สิ่งนี้ไม่เพียงแต่มีประโยชน์กับเผ่าหมาน สำหรับเชมันระดับปลายก็มีประโยชน์อย่างมากเช่นกัน” ขณะหนานกงเหินกล่าวก็มีสีหน้าอิจฉา

“ดอกเก้าอเวจี!” นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ

“ไม่ผิด เฮ้อ เหตุใดข้าถึงไม่โชคดีแบบนั้นบ้าง หินผลึกนั้นดูธรรมดา อย่างไรก็มองไม่ออกว่ามีดอกเก้าอเวจีอยู่ โชค มันอยู่ที่โชคจริงๆ!” หนานกงเหินยิ้มแห้ง

“แต่คนที่เปิดได้ดอกเก้าอเวจีก็มีจุดจบน่าอนาถเช่นกัน” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าวขึ้น

“ไม่ผิด ทว่าที่เขามีจุดจบเช่นนี้ก็เพราะเขาละโมบเกินไป ทำผิดพลาดหลายครั้ง เขาควรจะรีบไปทันที หากไม่ไปก็ควรจะนำของที่แลกจากดอกเก้าอเวจีสักครึ่งไปวิหารเชมันในเมืองเพื่อเช่าวิญญาณแห่งเก้าหยิน มีวิญญาณแห่งเก้าหยินคุ้มกันอยู่ ขอแค่ไม่ออกไปเกินระยะหนึ่งล้านลี้ก็จะปลอดภัย

ถึงอย่างไรโลกเก้าหยินก็น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ว่ากี่ปีจะมีเชมันระดับสูงสุดอยู่ได้เพียงคนเดียว หากปรากฏเชมันระดับสูงสุดสองคน อีกไม่กี่วันจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นรอบด้าน กระทั่งพัวพันไปถึงเมืองเชมัน….

ได้ยินว่าเรื่องนี้มีความเป็นมาที่แน่นอนมาก ฉะนั้นวิหารเทพเชมันจึงไม่อนุญาตให้เชมันระดับสูงสุดคนที่สองเข้ามา เลยได้แต่ต้องสับเปลี่ยนกันมาเพื่อหาสมบัติที่นี่

เว้นแต่…จะเป็นเหมือนอย่างตอนบุกเบิกแดนแห่งนี้ เชมันระดับสูงสุดกับเชมันระดับปลายทั้งหมดเข้ามาที่นี่เพื่อระงับเหตุการณ์ร้ายแรง ทว่าตอนนี้อยู่ในช่วงสงคราม ดูท่ามันคงเป็นไปไม่ได้ ส่วนชาวเผ่าหมาน เฮอะๆ ต่อให้มาจริงๆ อย่างมากสุดก็ขั้นวิญญาณหมานตอนต้น ตอนกลางขึ้นไปไม่มีทางหลบการตรวจสอบตอนเคลื่อนย้ายมาที่นี่จากวิหารเทพเชมันได้แน่” หนานกงเหินเหมือนรู้จักที่แห่งนี้ดียิ่งนัก ยิ้มพลางกล่าวกับซูหมิง

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ เมื่อพยักหน้าแล้วก็พลันเปลี่ยนสีหน้า มองหนานกงเหิน

หนานกงเหินตะลึงงัน เห็นสีหน้าซูหมิงผิดปกติเล็กน้อยจึงเกิดความสงสัย

“สหายหนานกง เดิมทีก่อนหน้านี้ป่านั้นไม่มีอันตราย การแปรเปลี่ยนเช่นนี้จะใช่…เหตุการณ์ร้ายแรงอย่างที่เจ้าบอกหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า

หนานกงเหินหน้าเปลี่ยนสี มีสีหน้าไม่มั่นใจ ผ่านไปพักหนึ่งจึงหัวเราะเฝื่อนๆ

“ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ เรื่องนี้เจ้ากับข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ดูท่าครั้งนี้จะต้องระวังให้มากกว่านี้เสียแล้ว…ช่างเถอะ รอจนถึงเมืองเชมันแล้วข้าจะไปเช่าวิญญาณเก้าหยินมาทันที แบบนี้จะได้มีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นอีก พอเข้าร่วมงานพนันสมบัติครั้งใหญ่ ช่วยให้เด็กหนุ่มด้านหลังข้าเปิดการฝึกฝนผู้สื่อวิญญาณแล้วจะได้ไปเลย

สหายโม่ แม้ข้ากับเจ้าเพิ่งรู้จักกัน ทว่ากลับถูกชะตา ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าตระหนี่เงินทอง ไปเช่าวิญญาณเก้าหยินมาสักตนจะดีกว่า แม้วิญญาณเก้าหยินจะออกจากโลกเก้าหยินไม่ได้ แต่ที่นี่มันก็มีพลังเทียบเท่าเชมันระดับปลาย ทั้งยังเป็นเจ้าบ้านของที่นี่ เคยทำสัญญาชั่วนิรันดร์กับวิหารเทพเชมันไว้เมื่อหลายปีก่อน” หนานกงเหินกล่าวอย่างจริงใจกับซูหมิง

ซูหมิงยิ้มพลางพยักหน้า

กลุ่มคนห้อเหยียดบนท้องฟ้าจนผ่านไปอีกหลายวัน วันนี้ เมฆหมอกบนท้องฟ้าสลายตัวไปไม่น้อย เห็นรางๆ ว่าบนท้องฟ้าห่างไกลไร้เงาผู้คน

ขณะห้าคนกำลังเดินทาง ซูหมิงพลันหยุดชะงัก สีหน้าเคร่งขรึม เมื่อหยุดแล้วก็ขยายจิตสัมผัสและตรวจสอบอย่างละเอียด

หนานกงเหินข้างกายก็หยุดเช่นกัน รีบปล่อยวิญญาณกระจัดกระจายไปรอบๆ ตรวจสอบในอาณาเขตพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งกลับไม่พบอันตรายใดๆ จึงมองซูหมิงด้วยความสงสัย

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย จ้องมวลอากาศว่างเปล่าตรงหน้า วินาทีที่ซูหมิงขยายจิตสัมผัสปกคลุม จิตสัมผัสพลันหายไปเล็กน้อย ปานถูกสิ่งพิลึกบางอย่างกินไป

และเพราะเหตุนี้เองเขาถึงหยุดชะงัก เมื่อซูหมิงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบภายในพื้นที่ที่จิตสัมผัสหายไปแล้ว ความรู้สึกถูกกลืนกินปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้จิตสัมผัสเขาถูกกินไปมากกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย

ทว่าที่น่าแปลกคือวิญญาณของหนานกงเหินกลับไม่พบสิ่งผิดปกติบริเวณนั้น ซูหมิงเห็นวิญญาณวนไปมา ก็ยังไม่เห็นจะถูกกินแม้แต่น้อย

ซูหมิงหรี่ม่านตาลงพลางขมวดคิ้ว เก็บจิตสัมผัสกลับมา ไม่ปกคลุมบริเวณมวลอากาศพิลึกนั้นอีก

“สหายโม่ เป็นอะไรรึ?” หนานกงเหินมองซูหมิงอย่างไม่เข้าใจ

“ตรงนั้นมีบางอย่างแปลกไป” ซูหมิงมิได้ถ่อมตัวเหมือนตอนคุยกับหนานกงเหินก่อนหน้านี้ แต่กล่าวไปตรงๆ

พอได้ยินซูหมิงกล่าว หนานกงเหินก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น นัยน์ตาขยับประกายแสงอ่อน วิญญาณโดยรอบพลันกรีดร้อง พุ่งตรงไปยังอากาศตรงจุดที่ซูหมิงมองอยู่

มวลอากาศตรงนั้น ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนกับท้องฟ้าโดยรอบ ไม่มีอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย ต่อให้ยามนี้วิญญาณจำนวนมากของหนานกงเหินไปรวมอยู่ตรงนั้น บินวนไม่หยุด ก็ยังไม่พบอะไรเลย

“ตรงนั้น…ไม่มีอะไรเลย” หนานกงเหินสงสัย หากมิใช่เพราะจดจำสิ่งที่ซูหมิงทำในป่าทึบได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังเห็นพวกซูหมิงไม่เป็นอะไรเลย เขาคงคิดว่าซูหมิงตั้งใจหลอก

ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวสามคนด้านหลัง เด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยวยังคงมีสีหน้าเย็นชา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ส่วนอาหู่ตึงเครียดยิ่งนักยามจ้องบริเวณนั้น เขาเชื่อคำพูดซูหมิงทุกอย่างโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ทว่าหลันหลันขมวดคิ้ว นึกบ่นในใจ

‘หึ แสร้งทำตัวให้ดูลึกลับ ตรงนั้นไม่เห็นจะมีอะไรเลย มิเช่นนั้นเหตุใดท่านหนานกงถึงไม่พบอะไรเลย’

“สหายโม่….” หนานกงเหินเรียกวิญญาณกลับมาจากอากาศบริเวณนั้น หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงมองซูหมิง

“หากสหายหนานกงอยากผ่านไป ข้าจะไม่ห้าม แต่ข้าขอแนะนำว่าอย่าทำเช่นนั้น ข้าจะอ้อมไป” ขณะซูหมิงกล่าวก็หมุนตัวแล้วสะบัดแขนเสื้อ พาหลันหลันที่ยังคงบ่นพร้อมกับอาหู่ที่ยามนี้ตึงเครียดยิ่งนักบินไปอีกทางหนึ่ง ดูจากท่าทางแล้วจะอ้อมไปจริงๆ

หนานกงเหินลังเลครู่หนึ่ง เขายังคงจ้องมวลอากาศปกติตรงนั้น ก่อนพลันยกมือขวาขึ้น ขณะพลิกฝ่ามือก็มีแสงสีดำบินมาจากในแขนเสื้อเขา

แขนเสื้อนั้นขยับแสงวิบวับตรงหน้า ก่อนกลายเป็นงูเหลือมสีดำขนาดสิบจั้ง

งูเหลือมนี้ขู่ฟ่อๆ นัยน์ตาเย็นชามองหนานกงเหิน ภายใต้คำสั่งนิ้วของเขา งูเหลือมสีดำบินตรงไปยังมวลอากาศที่ทำให้ซูหมิงต้องบินอ้อม

ทันใดนั้น สายตาที่หนานกงเหินจ้องงูเหลือมสีดำพลันหรี่ลงและฉายแววตื่นกลัว ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มแขนขวาแห้งเหี่ยวก็เบิกตากว้างก่อนหน้าเปลี่ยนสี

เพราะเมื่องูเหลือมเข้าไปในบริเวณนั้นแล้ว มันพลันร้องเสียงแหลมอย่างน่าอนาถ ร่างมากกว่าครึ่งหายไปกับอากาศ…..

ประหนึ่งว่าตรงนั้นมีปากใหญ่ไร้รูปกินร่างงูเหลือมไปมากกว่าครึ่งในคำเดียว

หนานกงเหินตื่นกลัว เขาจินตนาการได้ว่าหากตนสะเพร่าบุกเข้าไป ด้วยการโจมตีอย่างกะทันหันเช่นนั้น เกรงว่าคงจะยากจะหนีออกมา ยามนี้ในใจยังนึกหวาดกลัว เขามองไปยังซูหมิงที่บินไปอีกทางหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัว จากนั้นบินตามไปอย่างรวดเร็ว ภาพนี้ปรากฏในสายตาของเด็กสาวหลันหลัน ลูกตานางแทบปูดออกมา อ้าปากค้างมองเงาแผ่นหลังซูหมิง ตอนนี้นางพลันรู้สึกแล้วว่าการที่ตนเดินออกมาจากป่าได้อย่างปลอดภัยนั้นไม่ใช่โชคช่วยแล้ว….

ส่วนอาหู่ดวงตาเปล่งประกาย สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความเลื่อมใส

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!