Skip to content

สู่วิถีอสุรา 433

ตอนที่ 433 รู้จักรุกและถอย

ยามนี้นึกเสียใจภายหลัง และโกรธสตรีที่สร้างปัญหานี้ยิ่งนัก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดมาก อาศัยความที่อีกฝ่ายไม่ยอมบอกประวัติและชนเผ่า สังหารอีกฝ่ายหรือทำให้บาดเจ็บสาหัสก่อนค่อยว่ากันอีกที

เขาหมุนตัว ขาขวาฟาดประดุจพายุคลั่งไปทางตะวันตก พลันปรากฏทะเลสีเหลืองเชี่ยวกราก ม้วนทรายสีเหลืองจำนวนมากเข้ามา

“สี่สรรเสริญทะเลเหนือ!” เถี่ยมู่คำรามเสียงต่ำ ขณะหมุนตัว ขาซ้ายเหวี่ยงไปทางเหนือ จากนั้นปรากฏทะเลมายาสีดำบนท้องฟ้าทางเหนือ ถาโถมเป็นคลื่นเข้ามา

ซูหมิงในยามนี้ ขณะถอยก็ควงกระบองเขี้ยวในมือ ช่วงที่ร่างแยกกับเถี่ยมู่กำลังต่อสู้กัน เขาควงกระบองไปสี่รอบ ทุกรอบขนาดมันจะใหญ่ขึ้นหลายเท่า หลังจากครบสี่รอบแล้วกระบองเขี้ยวใหญ่ขึ้นมาก อีกทั้งน้ำหนักยังเกินขีดจำกัดพละกำลังของซูหมิง

การต่อสู้ครั้งนี้ เป้าหมายของซูหมิงคือทดสอบว่าความสามารถในการต่อสู้ของตนอยู่ระดับใด และไม่ต้องสู้สุดชีวิต ฉะนั้นหลังจากควงกระบองครบสี่รอบแล้ว ซูหมิงจึงไม่เพิ่มน้ำหนักกระบองอีก แม้ในใจอยากจะรู้ว่ากระบองเขี้ยวนี้….มีน้ำหนักมากสุดเพียงใดก็ตาม

การหมุนควงสี่ครั้ง ทำให้ท้องฟ้าเกิดเสียงหวืดๆ สนั่นหู เสียงหนึ่งครั้งล้วนทำให้กลุ่มคนด้านล่างต้องตื่นตกใจ ทันทีที่การสรรเสริญทะเลทั้งสี่ครั้งของเถี่ยมู่ปะทะกับมังกรปราณปฐพีของร่างแยกซูหมิง และยังมีวิชาเก้าแปรเปลี่ยนนั้น กระบองเขี้ยวในมือซูหมิงวาดเป็นลักษณะพัดยักษ์บนท้องฟ้า บดบังแสงจันทร์ทั้งเก้าดวง ก่อนฟาดลงมายังน้ำทะเลมายาและเถี่ยมู่

เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้าสะเทือนดิน ทะเลมายานั้นสลายไปท่ามกลางเสียงระเบิด การสลายครั้งนี้เกิดขึ้นจากพลังงานสองชนิด หนึ่งมาจากร่างแยกซูหมิง อีกหนึ่งคือจากการฟาดกระบองเขี้ยว

เมื่อน้ำทะเลสลายไป ทะเลมายาของร่างแยกซูหมิงก็ระเบิดตามไปด้วย และหลอมรวมเข้าสู่น้ำทะเลโดยรอบ ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงอ่อน ขณะเดียวกัน ร่างแยกก็ถอยอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ลมหายใจก็จะกลับมาถึงร่างจริง

ทว่าวินาทีที่ร่างแยกซูหมิงขยับถอยนั้น มีเสียงคำรามโกรธแค้นดังมาจากในทะเลมายาที่กำลังจะหายไปตรงหน้า เห็นเพียงเงาของเถี่ยมู่พุ่งเข้ามาด้วยสภาพย่ำแย่ ดวงตามีเส้นเลือด ยามนี้กางห้านิ้วมือขวา แล้วคว้าไปทางร่างแยกซูหมิงอย่างรวดเร็ว

เขาจับคอร่างแยกเอาไว้ ขณะเถี่ยมู่กำลังจะบีบด้วยความเหี้ยมโหดเพื่อบดขยี้หุ่นเชิดในสายตา ทันใดนั้น มีเสียงวิงๆ ดังก้องอยู่รอบตัวร่างแยก ก่อนร่างกลายเป็นหมอกดำผืนใหญ่ กระจายสู่โดยรอบอย่างรวดเร็ว

หมอกดำนั้นคือแมลงเต่าทองสีดำจำนวนมาก กระทั่งจุดที่เถี่ยมู่ใช้มือขวาจับยังเป็นแมลงเต่าทองสีดำทั้งหมด เขาจับไม่โดนร่างกายจริงๆ ของร่างแยก ร่างกายจริงๆ นั้น ยามนี้มองเถี่ยมู่คว้าอากาศด้วยความเย็นชา และถอยอย่างรวดเร็ว

เมื่อแมลงสลายตัว เถี่ยมู่อึ้งงันไปชั่วครู่ หน้าตาร่างแยกของซูหมิงประจักษ์ต่อสายตาเขาอย่างชัดเจน รูปร่างแห้งเหี่ยว ดวงตาสีเทา จากนั้นเถี่ยมู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเด่นชัดเป็นครั้งแรก ทั้งยังหรี่ม่านตาลง ฉายแววเหลือเชื่อและตื่นตกใจ

“จีอวิ๋นไห่! เจ้าคือจีอวิ๋นไห่!” เถี่ยมู่หน้าเปลี่ยนสี เขารู้จักคนตาสีเทาผู้นี้ นั่นคือจีอวิ๋นไห่คนที่เขาเคยผูกมิตรเอาไว้!

โดยเฉพาะยามนี้เห็นแมลงเต่าทองสีดำบินเข้ามายังตน เถี่ยมู่ก็ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลย!

ทว่าพอมั่นใจแล้วว่าบุคคลนี้คือจีอวิ๋นไห่ ความหวาดกลัวลึกๆ ผุดขึ้นในใจเถี่ยมู่ ทำให้เขาหยุดชะงักและมองซูหมิง

ซูหมิงในยามนี้ หลังจากฟาดกระบองแล้วก็รู้สึกเจ็บมือขวามาก รู้สึกชาไปมากกว่าครึ่งตัว และกำลังถอยด้วยความเร็ว ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย

กระบองเขี้ยวหดตัวอย่างรวดเร็ว หลังจากเก็บไปแล้ว ร่างแยกซูหมิงก็เคลื่อนตัวกลับมาอยู่ข้างกายเขา

เถี่ยมู่จ้องซูหมิง ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเชมันระดับปลายผู้แข็งแกร่งอย่างจีอวิ๋นไห่จะถูกหลอมเป็นหุ่นเชิด!

เรื่องแบบนี้ ทำให้เถี่ยมู่รู้สึกกลัวซูหมิงในทันใด

เขาสูดลมหายใจ ตัวสั่นสะท้าน ทำให้แมลงเต่าทองสีดำที่ตรงเข้ามาเหล่านั้นกระเด็นถอยไปหลายจั้ง ทว่าแมลงเหล่านี้ไม่กลัวตาย พวกมันยังพุ่งตรงเข้ามาอีกครั้ง

‘ไม่ผิดแน่ นี่คือแมลงเชมันเฉพาะของจีอวิ๋นไห่……ขะ…..เขาถูกหลอมเป็นหุ่นเชิดได้อย่างไร!’ เถี่ยมู่มองจีอวิ๋นไห่ตรงหน้า ใบหน้าค่อยๆ ขาวซีด

“มีสมบัติล้ำค่า มีหุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่ ตัวเองยังเป็นผู้ดูดวิญญาณอีก อีกทั้งวิชายังพิลึกยากจะคาดเดา….ขะ…เขาเป็นใคร!”

ขณะเถี่ยมู่ตื่นตะลึงในใจ มีเสียงฮือฮามาจากในกลุ่มคนด้านล่าง รวมถึงหนานกงเหินด้วย ล้วนมีสีหน้าเหลือเชื่อ

“จีอวิ๋นไห่ ผู้อาวุโสเถี่ยมู่บอกว่าหุ่นเชิดนั้นคือจีอวิ๋นไห่!”

“นั่นคือจีอวิ๋นไห่ ผู้ดูดวิญญาณหมายเลขหนึ่งที่เป็นรองเพียงเชมันระดับสิ้นสุด และหายไปเมื่อหลายปีก่อน!”

“ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะหลอมจีอวิ๋นไห่เป็นหุ่นเชิด หากเขาไม่หลอมด้วยตัวเอง จะไม่มีทางควบคุมได้…..”

“ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ แม้เขาจะเป็นรอง ทว่าสู้กับเชมันระดับปลายได้ถึงขนาดนี้ มันคือสุดยอดคนแล้ว!”

หนานกงเหินตะลึงงันอยู่นาน สุดท้ายก็หัวเราะแห้งๆ

เขาเปลี่ยนการคาดเดาในตัวซูหมิงหลายครั้ง เดิมทีคิดว่าคงไม่เปลี่ยนอีก ทว่าตอนนี้เห็นทียังคงประเมินต่ำไปมาก

บนท้องฟ้า เถี่ยมู่สะบัดชายเสื้อ หลังจากสลัดแมลงเต่าทองสีดำออกไปทั้งหมดแล้ว ก็เบนสายตาจากจีอวิ๋นไห่ไปมองซูหมิงอย่างยากลำบาก

“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าเป็นคนเผ่าใด!” เถี่ยมู่กล่าวเรียบๆ

“เป็นเพียงเผ่าเล็กเท่านั้น ผู้อาวุโสเถี่ยมู่คงไม่เคยได้ยิน” คำตอบของซูหมิงยังคงเดิม เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ยามนี้โคจรขั้นพลังในร่างกาย นัยน์ตาเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้

“ผู้เยาว์ที่ไม่รู้จักชั่วดี ต่อให้เจ้ามีหุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่ ทว่าเมื่อครู่นี้ข้าใช้พลังไปเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น….ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ในเมื่อไม่ยอมพูดความจริง เช่นนั้นวันนี้ข้าจะจับเจ้า ให้ผู้อาวุโสของเจ้ามารับเอง!” เถี่ยมู่เปลี่ยนความคิด เขาจะไม่สังหารซูหมิงแล้ว และก็คิดดีแล้วด้วยว่า หากอีกฝ่ายมีภูมิหลังยิ่งใหญ่จริงๆ ในเร็วๆ นี้จะต้องมีคนมาแน่นอน

หากไม่มีใครมา นั่นก็หมายความว่าอีกฝ่ายไม่มีภูมิหลังจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะสังหารคงไม่สายเกินไป

“เมื่อเป็นเช่นนั้น แซ่โม่ก็ต้องขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสเถี่ยมู่ด้วย” ซูหมิงยิ้ม นัยน์ตาฉายแววเย็นชา แล้วสะบัดชายเสื้อ พลันมีหมอกดำเข้มข้นลอยอยู่ข้างกายเขา เมื่อหมอกดำนั้นหายไป จึงปรากฏเป็นศพพิษ!

ศพพิษนี้ปล่อยกลิ่นอายพลังฐานะเดิมของเขาอย่างเด่นชัด หรือก็คือฐานะเผ่าหมานขั้นวิญญาณหมานตอนต้น!

ดวงตาศพพิษไร้ประกายวาว ทว่ากลิ่นอายพลังและสีดำทึบทั้งตัว และยังมีพลังพิษกระจายอย่างเด่นชัด ทำให้มวลอากาศโดยรอบเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว ทำให้กลุ่มคนตื่นตกใจ อีกทั้งเถี่ยมู่ยังหน้าเปลี่ยนสี!

ขณะหน้าเปลี่ยนสี เถี่ยมู่ก็หัวเราะด้วยความขมขื่นในใจ

‘เขาเป็นใครกันแน่ จีอวิ๋นไห่ไม่ว่า ยังมีหุ่นเชิดขั้นวิญญาณหมานของเผ่าหมานอีก อีกทั้งหุ่นเชิดนี้ยังมีร่างกายเป็นพิษร้ายแรง…..เจ้าหนูนี่มีกลอุบายเยอะจริงๆ ดูท่าคงยังมีอีกแน่นอน บัดซบ เหตุใดข้าถึงต้องมาเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้!

นี่มันเชมันระดับกลางที่ไหนกัน นะ…..นี่มันรังแกคนอื่นเกินไปแล้ว!’

เถี่ยมู่หัวเราะด้วยความขมขื่นในใจ หากเพียงแค่หุ่นเชิดจีอวิ๋นไห่ เขายังมั่นใจว่าพอจะสู้ได้ ทว่า….มีศพพิษไม่ธรรมดาเพิ่มมาอีก การต่อสู้ครั้งนี้ต่อให้เขาชนะ ก็ต้องจ่าย หากอยู่ข้างนอกคงไม่เท่าไร ทว่าเพิ่งเข้ามาในโลกเก้าหยิน แผนการของเผ่าแดนบูรพายังไม่เริ่มเลย เขาจะมาบาดเจ็บไม่ได้

ซูหมิงยังมีไพ่ตายเก็บเอาไว้จริงๆ ไม่พูดถึงสิ่งอื่น เขายังไม่ได้ใช้วิชาสามรูปแบบแยกวายุเลย การต่อสู้ครั้งนี้ เมื่อหุ่นเชิดของซูหมิงปรากฏตัว เขาก็หาความต่างระหว่างตนกับเชมันระดับปลายพบแล้ว

หากเขาลงมือเองคงไม่มีทางสู้ไหว หากมีร่างแยกก็ยังพอสู้ได้

ทว่าหากเรียกศพพิษออกมา เช่นนั้นก็จะสู้กับเชมันระดับปลายได้ อีกทั้งยังมีโอกาสชนะ ไม่ได้แพ้อย่างเดียว!

บนแผ่นดินเชมัน นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงรู้สึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้น ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกดีมาก

‘ยังต้องใช้พลังภายนอกอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรขั้นพลังจริงๆ ของข้าถึงจะต่อสู้กับเชมันระดับปลายโดยไม่ต้องพึ่งหุ่นเชิดกับร่างแยก…..’

เถี่ยมู่ลังเลครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจยาว มองซูหมิงอย่างซับซ้อนแวบหนึ่งแล้วก็ไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนหมุนตัวบินลงไปยังแผ่นดิน มาอยู่ข้างสตรีที่ยามนี้หวาดกลัวและตื่นตะลึงกับความแข็งแกร่งของซูหมิง เขายกมือขึ้นแล้วตบหน้านางอย่างแรง

ฝ่ามือนี้ทำให้สตรีกระอักเลือด ร่างโซเซถอยล้มลงไปข้างๆ ใบหน้าบวมปูดขึ้นมา นางก้มหน้าลง ไม่กล้าเอ่ยอีก ตั้งแต่เห็นโม่ซูต่อสู้กับชายชราได้ นางก็รู้แล้วว่าตนสร้างหายนะแล้ว…..

“เจ้าสังหารชาวเผ่าของข้า ตอนนี้ข้าลงโทษนางให้แล้ว เรื่องนี้ถือว่าแล้วกันไปเถอะ หากเจ้าอยากจะสู่อีก เช่นนั้นข้าจะสนองให้!” เถี่ยมู่หันศีรษะไปมองซูหมิงอย่างเย็นชา

“ผู้อาวุโสขั้นพลังสูงส่ง ผู้เยาว์มิใช่คู่ต่อสู้ ตอนนี้สู้สุดชีวิตแล้วก็ยังตกเป็นรอง จะไปกล้าต่อได้อย่างไร……” ซูหมิงยิ้มเฝื่อน ประสานมือคารวะชายชราด้วยสีหน้าเคารพ

เห็นท่าทางและคำพูดของซูหมิงแล้ว สีหน้าชายชราดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

แม้อีกฝ่ายต่อสู้กับตน ทว่าคำพูดก็ยังค่อนข้างนอบน้อม เรียกตนว่าผู้อาวุโสตลอด ตอนนี้ยังเหมือนช่วยรักษาหน้าตนต่อหน้าทุกคนด้วย ความยืดหยุ่นเช่นนี้ทำให้ในใจเถี่ยมู่ไม่รู้สึกโกรธมากนัก ทว่ามีความรู้สึกว่าเรื่องนี้แปดในสิบส่วนคนของตนไปหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน

ในใจเขาลบความคิดที่จะหาตัวซูหมิงหลังจากจบเรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว กระทั่งยังเกิดความรู้สึกดีเล็กน้อย

บวกกับความกลัวในกลอุบายของซูหมิงและความสงสัยในฐานะของอีกฝ่าย ทำให้ความรู้สึกดีนี้แผ่ขยายไปในใจของเถี่ยมู่ ก่อนมองซูหมิงอย่างมีความหมายลึกซึ้ง

“คนหนุ่มสาวมีอารมณ์ชั่ววูบเป็นธรรมดา ในเมื่อเผ่าแดนบูรพาข้าไม่มีเหตุผล เจ้าลงมือ ข้าก็เข้าใจ เจ้าเองก็ไม่ต้องดูถูกตัวเอง การต่อสู้ครั้งนี้ข้ากับเจ้าเสมอกัน!” เถี่ยมู่มีสีหน้าผ่อนคลายลงมาก กล่าวจบก็หมุนตัว ให้ชาวเผ่าประคองเด็กหนุ่มกับสตรีบินขึ้นฟ้าไป เพียงแต่ว่าตอนจากไป อาภรณ์ตรงขาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มกลายเป็นคราบสีเหลือง ทั้งยังมีกลิ่นปัสสาวะ

สำหรับเด็กหนุ่มที่ยังเทียบไม่ติดแม้แต่เชมันระดับต้นคนนี้ เหตุการณ์ในวันนี้ เขาจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต

หลังจากคนเผ่าแดนบูรพาจากไป ผู้คนโดยรอบพากันมองซูหมิง นัยน์ตาฉายแววชื่นชมและเคารพ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของซูหมิงฝังลึกลงในดวงตาของทุกคน ไม่กี่วัน เรื่องการต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับเถี่ยมู่ก็จะแพร่งพรายไปทั้งเมืองเชมัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!