Skip to content

สู่วิถีอสุรา 458

ตอนที่ 458 จากไป

ทันทีที่ชายวัยกลางคนปรากฏตัว ในกลุ่มคนด้านล่างก็มีคนจำฐานะของเขาได้ ทั้งหมดล้วนไม่มีใครกล้าคุยเสียงดัง ทว่าก็ยังมีเสียงพูดคุยเบาๆ แว่วให้ได้ยิน

“เชมันระดับสูงสุดผู้ประจำการในโลกเก้าหยินครั้งนี้ ท่านหมัวไป้ ประมุขวิหารใต้ดินแห่งวิหารเทพเชมัน!”

“มิน่าเผ่าใหญ่อื่นๆ ถึงลังเล ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”

“ท่านหมัวไป้เรียกโม่ซูว่าสหายโม่…..และยังมีมังกรแดงฉานตัวนั้นอีก หรือว่าเขาจะเป็น…บุคคลในตำนานผู้นั้นจริงๆ!”

ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ มองชายวัยกลางคนตรงหน้าผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน จากคำพูดและความนอบน้อมของผู้อาวุโส บวกกับคลื่นพลังของบุคคลนี้ จึงเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องเป็นเชมันระดับสูงสุดที่มาประจำการในเมืองเชมันอย่างแน่นอน

นี่คือเชมันระดับสูงสุดคนที่สองที่เขาเจอ!

คนผู้นี้ให้ความรู้สึกต่างจากจงเจ๋ออย่างยิ่ง เขาให้ความรู้สึกอบอุ่น กลิ่นอายพลังส่วนใหญ่ระงับเอาไว้ข้างใน มองแวบแรกจะรู้สึกเพียงว่าเขาต่างจากคนอื่นๆ ทว่ากลับไม่อาจสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของเชมันระดับสูงสุด

คนที่ทำแบบนี้ได้ เห็นได้ชัดว่ามีระดับพลังสูงกว่าจงเจ๋ออยู่เล็กน้อย

เสียงสนทนาโดยรอบดังเข้าหูซูหมิง ในใจเขาจึงเกิดความสงสัย ตั้งแต่เขาใช้พลังแห่งเทพหมานทำลายร่างเงาของตี้เทียนและหนีมาด้วยประตูความว่างเปล่าก็ยังคงสงสัยในเรื่องนี้ตลอด นั่นคือตอนที่ต่อสู้กับตี้เทียน และยังมีตอนหงหลัวหายไป ตอนนั้นพวกเขาอยู่ในและนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเชมัน

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้เล่าขานกันมาว่าเป็นที่ตั้งของวิหารเทพเชมัน เช่นนั้นการต่อสู้ระดับนั้น วิหารเทพเชมันจะต้องเห็นอย่างแน่นอน แต่ประมุขวิหารใต้ดินของวิหารเทพเชมันและยังมีผู้อาวุโส สีหน้าคำพูดของสองคนนี้เหมือนกับไม่รู้เรื่องการต่อสู้ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้นเลย

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาขบคิด ซูหมิงยืนอยู่บนมังกรแดงฉาน หรี่ม่านตาลง เงียบไม่กล่าวสิ่งใด

“เรื่องในวันนี้ผิดที่วิหารเทพเชมันเอง…สหายโม่วางใจเถอะ ข้าจะต้องชดใช้ให้อย่างแน่นอน….หวังว่าสหายโม่จะไม่ถือสาเอาความต่อ…..ถึงอย่างไรสหายโม่ก็หายตัวไปหลายปี ตอนนี้ระดับพลังร่วงหล่นแล้ว อีกทั้งเหตุที่มาโลกเก้าหยินก็ไม่น่าจะมาเพื่อสู้กับวิหารเทพเชมัน ดูท่าคงยังมีเรื่องสำคัญกว่าอยู่อีก…”

ชายวัยกลางคนยิ้มแล้วกล่าวเรียบๆ ทว่าพอกล่าวถึงว่าระดับพลังของซูหมิงร่วงหล่น นัยน์ตาเขาเป็นประกายวาววับ

เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาเองก็ยังไม่เห็นนิ้วมือที่ปรากฏเมื่อครู่ ต่อให้ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันเห็นก็ไม่แน่ใจนัก บางทีนิ้วมือนั้นอาจสร้างขึ้นจากอภินิหารของซูหมิงหรือไม่ก็อย่างอื่น

“อีกอย่าง สหายโม่มีวิญญาณหยินคุ้มกัน น่าจะไปชั้นเก้า….” ชายวัยกลางคนยิ้มกล่าว

“จะชดใช้อย่างไร” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ในเมื่ออีกฝ่ายคิดว่าตนเป็นหงหลัว คิดว่าระดับพลังของตนตอนนี้ไม่สูงเพราะเกิดเหตุบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้นเขาย่อมไม่อธิบายอะไร ส่วนวิญญาณหยินที่อีกฝ่ายกล่าวถึง ซูหมิงย่อมฟังออกว่าในนั้นมีการข่มขู่อยู่เล็กน้อย

คำพูดของเขาบอกเป็นนัยๆ ว่า วิหารเทพเชมันของพวกเขาอยู่ในโลกเก้าหยิน และมีวิญญาณหยินคุ้มกันเช่นกัน หากสู้ต่อไปจะส่งผลเสียกับทั้งสองฝ่าย

“ในเมื่อสหายโม่เข้าร่วมงานพนัน เช่นนั้นแซ่ไป้ตัดสินใจแล้วว่างานประมูลต่อจากนี้จะให้สหายโม่เลือกหินใดๆ ก็ได้ห้าร้อยก้อนโดยไม่ต้องจ่ายผลึกเชมัน อีกทั้งสหายโม่ยังนำไปได้เลย ไม่ต้องเปิดที่นี่

นอกจากนี้แล้ว ข้าจะมอบแผนที่ลับโลกเก้าหยินของวิหารเทพเชมันให้อีกด้วย แผนที่นี้มีเพียงเชมันระดับปลายของวิหารเทพเชมันเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ครอบครอง มันละเอียดมากทีเดียว

อีกทั้งในโลกเก้าหยินรวมถึงเมืองเชมัน ขอแค่เป็นสถานที่ที่วิหารเทพเชมันเปิดขึ้น สำหรับคนนอกแล้วจะมีข้อจำกัดจำนวนมาก ทว่าสหายโม่เข้าออกได้ตามใจชอบ!” ชายวัยกลางคนขบคิดชั่วครู่แล้วกล่าวช้าๆ หลังจากเอ่ยจบก็ใช้มือขวาคว้าอากาศ พลันปรากฏไม้สีดำสองแผ่น ก่อนปล่อยให้ลอยไปหาซูหมิง

ซูหมิงมองชายวัยกลางคนแวบหนึ่ง เขาไม่ได้รับสองแผ่นไม้นั้นมา แต่ให้ศพพิษข้างกายเดินออกไป สะบัดชายแขนเสื้อม้วนมันเข้าไปด้านใน ก่อนจะถอยกลับมา

“ขอบคุณมาก หินสีแดง” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ

ประมุขวิหารใต้ดินเห็นหุ่นเชิดของซูหมิงเก็บแผ่นไม้ไปจึงนึกโล่งอกในใจ แม้ซูหมิงให้ความรู้สึกว่าอ่อนแออย่างยิ่ง หากแต่แขนขวาขาดกระจุยของผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันข้างหลัง และยังมีความหวาดหวั่นในใจ จึงเห็นได้ชัดว่าต่อให้ระดับพลังร่วงหล่นมามาก ทว่าในตัวโม่ซูก็มีกระบวนท่าสังหารที่แข็งแกร่งอยู่!

และที่สำคัญที่สุดคือมีตำนานเกี่ยวกับอีกฝ่ายหลายอย่าง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ยอมลงมือง่ายๆ ในความคิดเขา อีกฝ่ายมาที่นี่ก็น่าจะเพื่อหายารักษา

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตนก็ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินผู้แข็งแกร่งระดับนี้ อีกทั้งต่อให้เขาเรียกวิญญาณหยินมา อีกฝ่ายก็เป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเช่นกัน หากอีกฝ่ายสู้สุดชีวิต ราคาที่วิหารเทพเชมันต้องจ่ายมันมากเกินไป!

อีกอย่างเขายังจำได้เสมอ ตอนนั้นหลังจากอีกฝ่ายหายตัวไปในเผ่าเชมันแล้ว ยอดจ้าวเชมันก็ออกคำสั่งด้วยตัวเองว่า หากวิหารเทพเชมันเจอบุคคลนี้อีกครั้ง จงห้ามล่วงเกินเป็นอันขาด

‘แค่ยกมือก็ผนึกจงเจ๋อ พลิกมือก็ผนึกทั้งเผ่าทะเลใบไม้ร่วง…..คนแบบนี้ ต่อให้ระดับพลังร่วงหล่นถึงขนาดนี้ก็ไม่ควรไปสร้างความบาดหมางด้วย…..’ ยามนี้หมัวไป้ประมุขวิหารใต้ดินแน่วแน่ อมยิ้มพลางมองผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันด้านหลัง

สีหน้าชายชราไม่ค่อยมีเลือดฝาดมากนัก หลังจากรู้ฐานะของซูหมิง เขากลับไม่รู้สึกถึงความอัปยศใดๆ เขาได้ยินตำนานของอีกฝ่ายมาเยอะนัก กระทั่งสหายสนิทหลายคนของเขายังมีคนเคยเห็นอีกฝ่าย

หลังจากชายชราคารวะซูหมิงด้วยความยำเกรงแล้ว ก็ใช้มือซ้ายสะบัดไปบนท้องฟ้า ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันสว่างพร่างพราว

ท่ามกลางความสว่างพร่างพราวนั้น ปรากฏหินสีแดงขนาดเล็กใหญ่เก้าพันก้อนเรียงกันแน่นขนัด หินเหล่านี้เปล่งแสงสีแดง พริบตาเดียวก็ส่องสว่างทั้งฟ้าดิน ทำให้โดยรอบพื้นที่กว้างไกลถูกย้อมเป็นสีแดงโลหิต

“สหายโม่ เชิญ!” หมัวไป้ประมุขวิหารใต้ดินอมยิ้มกล่าว

ซูหมิงตบเท้าบนตัวมังกรแดงฉานเบาๆ ให้มันพาเขาทะยานขึ้นฟ้า มาปรากฏอยู่ข้างหินสีแดงฉานเก้าพันก้อน แล้วผ่านหินเหล่านั้นไปท่ามกลางสายตาของทุกคนด้านล่าง

วินาทีที่ยามรุ่งอรุณสิ้นสุดลง ดวงจันทร์เก้าดวงเลือนราง ตะวันแรกโผล่ขึ้น

ซูหมิงเดินอยู่ข้างหินสีแดงฉาน ทุกครั้งที่เลือกได้หนึ่งก้อน เขาจะเก็บไปทันที จนกระทั่งซูหมิงเดินครบเก้าพันก้อน คนเล็กสีดำในถุงเก็บวัตถุเขาตอบสนองเพียงเก้าก้อนเท่านั้น

ส่วนอีกสี่ร้อยเก้าสิบเอ็ดก้อน ซูหมิงหยิบมาปนๆ กันไปด้วยวิธีการแบบเดียวกัน คนอื่นจึงมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติจากการกระทำของซูหมิงแม้แต่น้อย

หินสีแดงห้าร้อยก้อนมีมูลค่าสูงยิ่ง จึงเห็นได้ว่าวิหารเทพเชมันมีความจริงใจกับเรื่องนี้จริงๆ

ตอนที่ซูหมิงเก็บหินไปครบห้าร้อยก้อนแล้ว เขายืนอยู่บนมังกรแดงฉานและมองประมุขวิหารใต้ดินแวบหนึ่ง มังกรแดงร้องคำรามตรงมายังผืนดิน พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าหนานกงเหิน

ยามนี้หนานกงเหินหน้าซีดขาว เหม่อมองซูหมิง

“สหายหนานกง ผลึกเชมันที่ขายได้จากว่านใบมังกรนั่น ชดเชยให้การแลกเปลี่ยนของเราก่อนหน้านี้ เจ้าไม่ต้องให้ข้าอีก”

ซูหมิงพยักหน้าให้หนานกงเหิน ก่อนมองหลันหลันกับอาหู่

หลันหลันกะพริบตาปริบๆ พลันดึงอาหู่ที่ยังคงเหม่อลอยให้ปีนขึ้นบนตัวมังกร จากนั้นก็จับเครามังกรเอาไว้ สายตาที่มองซูหมิงเต็มไปด้วยความเคารพ อาหู่ข้างกายที่เพิ่งได้สติกลับมาก็มองซูหมิงด้วยความฮึกเหิมเช่นกัน

สำหรับเด็กสองคนนี้แล้ว เหตุการณ์ในวันนี้มากเกินกว่าการต่อสู้กับเผ่าแดนบูรพา ในสายตาพวกเขา ซูหมิงคือพระเจ้าของตน!

หลังจากหลันหลันกับอาหู่จับมังกรแดงฉานแล้ว ซูหมิงก็ส่งกระแสจิตไป มังกรแดงพลันคำรามบินขึ้นฟ้า ขณะกำลังจะจากไปนั้น ในใจซูหมิงสั่นไหว ก่อนยิ้มมุมปากใต้หน้ากาก

“สหายไป้ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องอย่างหนึ่ง หวังว่าสหายไป้จะช่วยเต็มที่” นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย กล่าวขึ้นเรียบๆ

“อ้อ? เชิญพูดสหายโม่” หมัวไป้ประมุขวิหารใต้ดินพยักหน้าพลางกล่าว

“ข้าอยากได้ของวิเศษไว้สำหรับตัดหินสีแดงสักชิ้น…” ซูหมิงมองของวิเศษหนึ่งร้อยชิ้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“ของวิเศษแบบนี้วิหารเทพเชมันสร้างมาไม่เยอะ จึงไม่ค่อยมอบให้ใคร ทว่าหากสหายโม่ต้องการก็ไม่มีปัญหา” หมัวไป้ยิ้มแล้วสะบัดแขนเสื้อ พลันมีของวิเศษวงแสงชิ้นหนึ่งตรงไปทางซูหมิง ลอยอยู่ตรงหน้าเขา

เมื่อร่างแยกของซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวและเก็บของวิเศษเข้าไปในถุงเก็บวัตถุแล้ว

ซูหมิงก็กวาดสายตามองทุกคนบนผืนดิน และยังมองหวั่นชิวนอกวิหารใหญ่ทั้งแปด เถี่ยมู่ เทียนหลันเมิ่ง กับบรรพบุรุษเทียนหลันที่ทำให้เขาหรี่ม่านตา

สุดท้ายซูหมิงก็มองสตรีบริสุทธิ์ชุดขาว สตรีผู้นี้มองเขาเช่นกัน สีหน้านางดูดีใจและตกใจ ทั้งยังมีความจริงใจอย่างสูง

ซูหมิงละสายตากลับ มังกรแดงฉานเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า พาซูหมิงทะยานขึ้นไปโดยไม่สนใจหวั่นชิวอีก

เสียงคำรามของมันแฝงไว้ด้วยความดีใจ เห็นได้ชัดว่าซูหมิงทำให้มันรู้สึกสนิทสนมมากกว่ายามติดตามหวั่นชิว

“ผู้อาวุโส…พวกเราจะไปที่ใด?” หลันหลันจับเครามังกรแดง ตะโกนเสียงดังต้านลม

“พาพวกเจ้าไปจุดเปิดการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณ…..ทว่าก่อนหน้านั้นต้องหาถ้ำนอกเมืองเชมันก่อน ข้าจะเปิดหินสีแดง!” บนท้องฟ้าท่ามกลางเมฆ ซูหมิงหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ มือขวาคลำถุงเก็บวัตถุตรงหน้าอกตัวเอง ตรงนั้นมีหินสีแดงที่ทำให้เกิดความวุ่นวายก่อนหน้านี้อยู่ จึงทำให้เขาเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย

คำพูดของทุกคนก่อนหน้านี้ เขาได้ยินทุกอย่างชัดเจนด้วยจิตสัมผัสอันแกร่งกล้าของตน

‘ในหินนี้ไม่มีดอกผนึกจิต…..ทว่ามีผึ้งพิษตัวหนึ่ง บางทีในตัวผึ้งพิษอาจมีเกสรของดอกผนึกจิตอยู่! หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ขั้นพลังของข้าก็จะ…’ นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกาย

เพียงแต่เขาในยามนี้ ต่อให้แผ่ขยายจิตสัมผัสไปก็ยังตรวจไม่พบ หลังจากซูหมิงออกจากเมืองเชมัน มีเงาร่างคนเลือนรางสวมเสื้อคลุมดำผู้หนึ่งตามติดอยู่ข้างหลัง

ยามนี้เงาร่างคนขมวดคิ้ว ขณะติดตามก็ไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก ราวกับกำลังลังเลอะไรบางอย่าง

“บัดซบ หงหลัวตายหรือว่ายังไม่ตายกันแน่…เขาเป็นหงหลัวหรือว่าซู่มิ่ง!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!