Skip to content

สู่วิถีอสุรา 479

ตอนที่ 479 มันก็เหมือนกับชีวิต

ทั้งโลกเก้าหยิน ตอนนี้ตื่นตะลึงเป็นวงกว้าง สายตาจำนวนมากจับจ้องรอยแยกที่กำลังฉีกออกอย่างช้าๆ บนดวงจันทร์ดวงที่สิบ

หากมองไกลๆ จันทร์ดวงที่สิบนี้เหมือนดวงตาดวงหนึ่งกำลังลืมตาขึ้นทีละนิด เรื่องพิลึกเช่นนี้ทำให้คนที่จับตามองอยู่เกิดความรู้สึกคิดไปเองว่าหากมันลืมตา ฟ้าดินอาจจะต้องถล่มทลาย!

ภายในขอบเขตหนึ่งล้านลี้ของโลกเก้าหยิน แดนฝังกระดูกจู๋จิ่วอินในตอนนี้กับตอนที่ซูหมิงเข้ามาต่างกันมาก ป่าทึบประหลาดผืนนั้นก็ยืดยาวออกไปหลายเท่า และยังมีพื้นที่อันตรายที่ซูหมิงตรวจพบในตอนนั้น ตอนนี้ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น

ส่วนเมืองเชมัน…หายไปแล้ว…

เมืองอันยิ่งใหญ่รุ่งเรืองและเป็นเมืองใต้การปกครองของทั้งเผ่าเชมันในโลกเก้าหยิน ยามนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง สิ่งก่อสร้างทั้งหมดพังทลาย กระจายอยู่ทุกที่

ส่วนศีรษะยักษ์ที่มีเสาหินสูงตระหง่านค้ำยันไว้หายไปเรียบร้อย ยากจะจินตนาการเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้ชาวเผ่าเชมันไม่อาจปกป้องเมืองนี้ได้…

บนท้องฟ้าเหนือซากเมืองเชมันมีอุโมงค์ยักษ์แห่งหนึ่ง เมื่อมองไกลๆ อุโมงค์นี้จะเหมือนกับน้ำวนที่หยุดนิ่ง ด้านบนมีกิ่งไม้แห้งเหี่ยวมากมาย กิ่งไม้เหล่านี้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ประหนึ่งว่าท้องฟ้าซ่อนรากพวกมันเอาไว้ ขยายลุกลามพันรอบน้ำวนเอาไว้แน่นปานผนึก

แต่ใช่ว่าที่นี่จะไร้สิ่งมีชีวิต ยังเห็นรางๆ ว่ามีเงาร่างคนบางส่วนขยับวูบไหวอยู่ในซากเมือง เข้าไปและบินออกมาอย่างรวดเร็ว

ร่างเงาเหล่านั้น หากมองดีๆ จะเห็นว่าเป็นชาวเผ่าเชมันจำนวนไม่มาก

ในเขตหนึ่งล้านลี้รอบเมืองเชมัน นอกจากแดนฝังกระดูกจู๋จิ่วอินแล้ว ยังมีแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับเผ่าเชมันอีกสองแห่ง หนึ่งในนั้นคือสุสานของผู้สื่อวิญญาณ ที่นั่นจะสามารถสัมผัสกลิ่นอายความตาย หากมีคุณสมบัติเฉพาะก็จะกลายเป็นผู้สื่อวิญญาณ

อีกแห่งคือต้นกำเนิดของจิตพยากรณ์ เป็นแท่นบวงสรวงสร้างขึ้นจากกระดูกสัตว์นับไม่ถ้วน บนแท่นนี้มีพลังไม่ด้อยไปกว่าจู๋จิ่วอิน พลังนี้ทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่บุกเข้ามาเกิดภาพมายา จนกระทั่งตายลง ทว่าหากไม่ตาย หลังจากเดินออกมาแล้วจะมีพลังคล้ายๆ กัน นั่นก็คือจิตพยากรณ์

ตอนนี้ นอกแท่นบวงสรวงกระดูกสัตว์หนึ่งในสองดินแดน ภายในหุบเขาไม่ใหญ่นัก มีชาวเผ่าเชมันอาศัยอยู่เล็กน้อย รวมกันแล้วไม่เกินหนึ่งพันคน พวกเขาล้วนหน้าตาเหลืองซูบผอม เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ดูจนตรอกยิ่งนัก อีกทั้งนัยน์ตายังตื่นตัว เพียงแต่หลังจากเกิดเหตุการณ์พิลึกของดวงจันทร์ดวงที่สิบบนท้องฟ้าก็กลายเป็นตื่นตระหนกแทน

ในคนเหล่านี้มีอยู่คนหนึ่ง เขาอยู่ตรงมุมของหุบเขา สวมเสื้อคลุมดำ กระทั่งยังปิดใบหน้าเอาไว้ เพียงแต่ยากจะปกปิดกลิ่นเน่าเหม็นที่โชยมาจากตัว บนผิวหนังที่คนอื่นมองไม่เห็นใต้เสื้อคลุมมีจุดดำเล็กๆ ใหญ่ๆ อยู่เต็มไปหมด

จุดดำเหล่านี้คือที่มาของกลิ่นเน่า มันทรมานเขา ทำให้ต้องเจ็บปวดอย่างไม่มีวันสิ้นสุด

แทบจะเป็นวินาทีที่คนอื่นเห็นจันทร์ดวงที่สิบบนท้องฟ้า ชายเสื้อคลุมดำเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเช่นกัน เพียงแต่ช่วงที่ดวงจันทร์ดวงที่สิบนี้เกิดเหตุการณ์พิลึก สีหน้าเขาพลันเปลี่ยนอย่างรุนแรง

คนอื่นไม่รู้เกี่ยวกับจันทร์ดวงที่สิบ ทว่าเขารู้! เขารู้ว่าดวงจันทร์นี้คือโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน ตอนนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น นั่นหมายความว่ามีคนกำลังจะออกมาจากโลกอมตะ!

“เป็นไปไม่ได้….ไม่มีทางเป็นเขา!” คนเสื้อคลุมดำพึมพำ เขาคือคนที่ใช้ยันต์ชะตาชีวิตแบ่งจิตออกมา แล้วทำให้ซูหมิงถูกส่งเข้าไปในโลกอมตะ หรือก็คือลิ่วล้อของตี้เทียนผู้จับตามองซูหมิงบนแดนหมาน!

เพราะเหตุไม่คาดคิดบางอย่างเขาจึงถูกสาป แม้ไม่ตายก็หมดโอกาสออกไปจากที่นี่เหมือนกับคนอื่นๆ และใช้ชีวิตผ่านไปทีละวันด้วยความตึงเครียดปานเต่าหดหัวในกระดอง

เขาต่างจากความสิ้นหวังของคนอื่นๆ เขาไม่มีความสิ้นหวัง เขาเชื่อว่าเมื่อเจ้านายตนมาถึง จะต้องมาช่วยตนออกไปอย่างแน่นอน

ทว่าตอนนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ดวงจันทร์ดวงที่สิบ ในใจเขาเหลือเชื่อยิ่งนัก เขาได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตำนานโลกอมตะมานานมากแล้ว ที่แห่งนี้แทบจะไม่มีใครออกมาได้ เขาจึงยากจะเชื่อทุกสิ่งในสายตาตัวเอง

กลุ่มคนที่อยู่ที่นี่ยังมีอีกสองคนที่หากซูหมิงเห็นจะต้องรู้สึกคุ้นตายิ่ง หนึ่งในนั้นคือชายวัยกลางคน เส้นผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ดูตกอับอย่างยิ่ง เขานั่งอยู่บนหินภูเขาอย่างเงียบๆ พลางมองท้องฟ้า สีหน้าเกิดความสงสัย

‘ตอนนั้นเขาหายตัวไปในแดนของจู๋จิ่วอิน จันทร์ดวงที่สิบนี้ได้ยินว่าเป็นการเปิดโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน ตอนนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หรือว่า…จะเกี่ยวกับเขา…’

ชายวัยกลางคนนิ่งเงียบ มีสีหน้าคะนึงคิด เขาก็คือหนานกงเหิน!

อีกคนเป็นชายชรา สีหน้ามัวหมอง นอนอยู่ตรงนั้นทั้งดวงตาไร้ประกาย ร่างซูบผอมปานโครงกระดูก เขาเหม่อมองจันทร์ดวงที่สิบบนท้องฟ้า หากซูหมิงเห็นเขาจะต้องพอมองออกแน่ว่า บุคคลนี้ก็คือเถี่ยมู่เชมันระดับปลาย

ข้างกายเขามีชายหนุ่มแขนเดียวดูแลอยู่ตลอด ชายหนุ่มคนนี้มักจะเงยหน้ามองดวงจันทร์ดวงที่สิบ นิ่งเงียบไม่กล่าวใดๆ

คนที่เห็นดวงจันทร์ดวงที่สิบเหมือนกัน ยังมีแผ่นดินโลกเก้าหยินอันยิ่งใหญ่นอกหุบเขาที่อาศัยของเผ่าเชมัน บนผืนดินนี้มีเหล่าชายร่างกำยำสูงหลายสิบจั้ง หัวและแขนขาใหญ่หนา ทุกส่วนดูเหมือนต้นไม้

ลักษณะของชายร่างกำยำเหล่านี้คล้ายกับเผ่าวิญญาณหยินยิ่งนัก พวกเขาสวมเกราะ อยู่กันหลายที่ในโลกเก้าหยิน ตอนนี้ล้วนมองเหตุการณ์พิลึกของจันทร์ดวงที่สิบ

ออกมานอกเผ่าวิญญาณหยินเหล่านี้ ในพื้นที่ของเผ่าเชมันในอดีต บนผืนดินยังมีร่างคนโปร่งใสมายาที่มองเห็นไม่ชัดอยู่บางส่วน ร่างเงาเหล่านี้มีทั้งบุรุษและสตรี

นอกจากนี้แล้ว บนท้องฟ้ายังมีอีกเผ่าหนึ่ง มันเป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะคน ทว่าบนหลังมีปีก เพียงแต่ปีกของมันคล้ายกับปีกค้างคาว อีกทั้งบนศีรษะของคนเหล่านี้มีเขาเดียวงอกออกมา

พวกเขายึดครองพื้นที่ของเผ่าเชมัน อีกทั้งยังแบ่งเป็นสามทางล้อมหุบเขาที่มีชาวเผ่าเชมันอาศัยอยู่เอาไว้

เหตุการณ์พิลึกบนท้องฟ้าดึงดูดความสนใจของสามเผ่านี้อย่างมาก เทียบกับเผ่าเชมันแล้ว พวกเขาเข้าใจดียิ่งกว่าว่าดวงจันทร์ดวงที่สิบหมายถึงอะไร

“ตอนนั้นโลกอมตะของจู๋จิ่วอินเปิดขึ้น ตอนนี้กำลังจะเปิดอีกแล้ว หรือว่าคนที่เข้าไปตอนนั้นกำลังจะออกมา?”

ในกลุ่มของเผ่าคนมีปีกค้างคาว มีวงรียักษ์สูงหลายหมื่นจั้งอยู่ลูกหนึ่ง วงรีนี้ลอยอยู่กลางอากาศ รอบๆ มันมีวงรีสีดำเล็กๆ แบบเดียวกันจำนวนมาก ยามนี้มีเสียงเย็นเยียบดังก้องโดยรอบ ไม่ได้ออกมาจากวงรีไหนเพียงวงเดียว

อีกทางหนึ่ง ในอีกเขตหนึ่ง ตรงจุดที่มีเงาคนโปร่งใสมายาอยู่จำนวนมาก บนพื้นดินที่นี่มีแท่นบวงสรวงหลายแห่ง แท่นบวงสรวงเหล่านี้ดูพิลึกอย่างยิ่ง ลักษณะของพวกมันก็ดูอยู่กึ่งกลางมายากับของจริง ทำให้แยกไม่ออกว่ามีอยู่จริงหรือไม่

“ออกมาจากโลกอมตะของจู๋จิ่วอินที่ตายไปแล้วได้ คนผู้นี้จะต้องมีความพิเศษอยู่…ลองดึงเขามาเป็นชาวเผ่าเราก่อน…”

จุดสุดท้ายเป็นเขตแดนที่ห่างจากแดนฝังกระดูกของจู๋จิ่วอินไปไกลที่สุด ตรงนั้นมีป่าทึบผืนใหญ่ไร้พรมแดน ที่นั่นมีเผ่าวิญญาณหยินสวมเกราะ รูปร่างเหมือนต้นไม้อยู่

ในป่าทึบไร้พรมแดนแห่งนี้มีวิหารยักษ์อยู่หลายแห่ง หากมองวิหารเหล่านี้ดีๆ จะเห็นว่าลักษณะของพวกมันแทบจะเหมือนกับวิหารในเมืองเชมันทุกประการ หรืออาจบอกได้ว่า…เป็นหลังเดียวกัน!

นอกวิหารเหล่านี้ก็มีรูปปั้นหินยักษ์อยู่หลายรูป ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว หนึ่งในนั้นมีอยู่รูปปั้นหนึ่ง คือชายร่างกำยำวิญญาณหยินที่ซูหมิงเคยเช่ามา!

ร่างเขากลายเป็นหินไม่เคลื่อนไหว ทว่ากลับเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ดวงที่สิบ นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน

ไกลออกไปอีก ภายในวิหารใหญ่ มีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่ ชายชราคนนี้เงยหน้ามองท้องฟ้าและยังถอนหายใจเบา

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาจะออกมาได้จริงๆ…”

ตอนที่โลกภายนอกแทบจะมองเป็นตาเดียว ภายในโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน บนท้องฟ้าเหนือรูปปั้นมังกรงู ซูหมิงที่ตัวเล็กลงมากและมีเส้นผมครึ่งม่วงครึ่งขาวกำลังเผชิญหน้ากับจู๋จิ่วอินยักษ์ที่รวมขึ้นจากหมอกมหาศาล สีหน้าเขายังคงเย็นชา

เขายกมือซ้ายที่กดลงพื้นดินขึ้น วินาทีที่จู๋จิ่วอินคำรามพร้อมกับตรงเข้ามา เขาใช้นิ้วชี้มือซ้ายวาดเป็นครึ่งวงกลมตรงหน้า

“นี่คืออดีต…”

จากนั้นมือขวาก็วาดเป็นเส้นโค้งเติมเต็มครึ่งวงกลมที่เหลือนั้น

“นี่คืออนาคต…”

หลังจากวาดเป็นวงกลมสมบูรณ์ ซูหมิงก็กดมือซ้ายบนหลังมือขวา แล้วผลักไปยังวงกลมด้านหน้า

“นี่คือปัจุบัน…และก็เป็น…โชคชะตา!”

เมื่อผลักออกไป วงกลมนั้นเปล่งแสงสว่างจ้าลานตา และขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมกับตรงไปยังจู๋จิ่วอิน หลังจากปะทะกับจู๋จิ่วอินยักษ์ก็พลันเกิดเป็นเสียงโครมครามดังสนั่น ภายใต้เสียงโครมคราม มีแรงปะทะรุนแรงส่งกลับมายังซูหมิง ทว่าตอนที่เข้ามาใกล้ เขากลับอ้าปากสูบมันเข้าไป

หมอกขาวในแรงปะทะนี้ถูกซูหมิงสูบเข้าไปทีเดียวอย่างน่าทึ่ง ขณะเดียวกันเขาก็ยกมือขึ้นท้องฟ้าและกดมือลงไปทางแผ่นดินอีกครั้ง ก่อนดันอย่างเต็มแรง!

จากการดันครั้งนี้ ท้องฟ้าถล่มทลายเป็นวงกว้าง ผืนดินสั่นไหวอย่างรุนแรง มีรอยเปิดกลางฟ้าดินประหนึ่งถูกสองมือไร้รูปยักษ์ฉีกออก!

เกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นทันทีที่ฉีกแยก ฟ้ากับดินเกิดรอยเปิดยักษ์ขึ้น! ซูหมิงทะยานขึ้นด้านบน แล้วหายเข้าไปในรอยเปิดในชั่วพริบตา

“โลกอมตะ กินก็คือไม่ตาย ไม่กินก็คือไม่ดับสูญ แต่ไม่ว่าจะกินหรือไม่กิน สองขั้วสุดนี้ก็ไม่ใช่การผสานรวม….การผสานรวมที่แท้จริงคือการไม่กินในหมู่พวกกิน และกินในหมู่พวกไม่กิน…” ช่วงที่ซูหมิงกระโดดเข้ามาในรอยเปิด เขากล่าวพึมพำเบาๆ แววตาเข้าใจกระจ่าง

“มันก็เหมือนกับชีวิต”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!