Skip to content

สู่วิถีอสุรา 634

ตอนที่ 634 ประตูยันต์แปดบาน

ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมคนนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา แต่ก็มีผลกับศิษย์ร่วมสำนักเท่านั้น ในสายตาซูหมิง คนระดับนี้ล่วงเกินเขาสองครั้งแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยไว้อย่างแน่นอน

เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ความสงบนิ่งนี้คือการแสดงออกถึงความเย็นชา

ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมใจสั่นสะท้าน เขาพลันรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนจากซูหมิง โดยเฉพาะนัยน์ตาเย็นชา ยามมองดวงตาคู่นั้นเหมือนมีกระบี่คมกริบสองเล่มทะลวงเข้ามาในดวงตาเขา ทะลุไปถึงสมอง ทิ่มแทงจิตใจ แล้วกลายเป็นสายฟ้านับหมื่นเส้นระเบิดออกพร้อมกัน เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นนี้ระเบิดจิตใจและฉีกจิตวิญญาณของเขา

วินาทีที่อยู่ห่างจากซูหมิงไม่ถึงครึ่งจั้ง

เขาพลันหายใจกระชั้นพร้อมกับเบิกตากว้าง เขาพลันกระอักโลหิตออกมา ย้อมอาภรณ์จนเป็นสีแดง ระหว่างที่ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมผู้นี้ตัวสั่น ผิวหนังก็ปรากฏรอยปริแตกนับไม่ถ้วน รอยปริแตกโลหิตลุกลามไปอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั่วร่าง เขารู้สึกอย่างเด่นชัดว่ามีแรงกดดันที่ไร้รูปประหนึ่งภูเขาใหญ่ถาโถมใส่ตัว บีบอัดร่างจนแหลกละเอียด ราวกับโลกของเขาพินาศลงในชั่วพริบตา

เสียงหัวใจยิ่งเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก็แทบจะเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ศิษย์สำนักฝ่ายในร่างซูบผอมหน้าซีดขาวโดยพลัน เสียงตึกๆ ดังมาจากหน้าอก หัวใจภายในไม่อาจรับแรงกดดันไหวจึงระเบิดกระจุย

ขณะเดียวกัน แม้แต่อวัยวะภายในก็แหลกออกเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้แรงบีบอัดเช่นกัน ร่างกายเขาเป็นแผลเหวอะหวะขณะอยู่ห่างจากซูหมิงครึ่งจั้ง ก่อนระเบิดกระจายทั้งร่าง

เลือดเนื้อแตกกระเซ็น ทว่ากลับไม่กระเด็นมาทางซูหมิงแม้แต่น้อย ประหนึ่งว่าต่อให้ชายร่างซูบผอมตายไปก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ซูหมิง

การสังหารชายซูบผอมผู้นี้ ซูหมิงไม่ได้ใช้อภินิหารอะไรทั้งสิ้น กระทั่งยังไม่ได้ยกมือด้วยซ้ำ เพียงใช้ความน่าเกรงขามบีบอัดเข้าไปตรงๆ หลังจากซูหมิงมีขั้นพลังสูงขึ้น พลังชนิดนี้ก็แทบจะกลายเป็นรูปธรรม!

ไม่ไกลออกไป ศิษย์ร่วมสำนักสองคนข้างชายร่างซูบผอม ยามนี้เบิกตากว้างอ้าปากค้าง ทั้งยังสับสน ทว่าหนึ่งในคนที่ไม่ได้หนีบชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกรไว้กลับตั้งสติกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว เขาถอยหนีทั้งใบหน้าซีดขาวอย่างไม่ลังเล จากนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวออกไปจากที่นี่อย่างเร็ว

ความหวาดกลัวอบอวลอยู่ทั่วร่างเขา อาการสั่นเข้ามาแทนที่จังหวะการเต้นของหัวใจ ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวกลายเป็นทุกอย่างในใจ ยามนี้ระหว่างร่นถอยก็มีอยู่ความคิดเดียวคือต้องหนีออกไปให้ได้

ชั่วขณะที่คนผู้นี้กำลังหนี ก็มีแสงสีแดงฉานขยับวูบวาบผ่านข้างกายเขา นัยน์ตาชายผู้กำลังหลบหนีฉายแววสับสน ตอนที่กำลังก้มหน้ามอง จู่ๆ ศีรษะก็หลุดออกจากตัวร่วงลงไปในเหวลึก ร่างสั่นไหวเล็กน้อยแล้วตกตามลงไป

ถุงเก็บวัตถุลอยขึ้นมาจากศพ แล้วถูกแสงสีแดงฉานม้วนเก็บมาก่อนบินมาหาซูหมิง ตอนที่มันลอยอยู่ตรงหน้าเขาก็เผยเป็นร่างของงูน้อย!

ผ่านมาหลายปี บาดแผลมันฟื้นฟูกลับมามาก แม้ตอนนี้ยังดูอ่อนแออยู่บ้าง แต่ร่างกายฟื้นกลับมาสมบูรณ์แล้ว

“เจ้าจะปิดบังไปจนถึงเมื่อไร” ซูหมิงลูบศีรษะงูน้อย มันมีท่าทีสุขสบาย ร่างพันรอบแขนซูหมิงไว้

จากคำพูดซูหมิง จะเห็นได้ว่าไม่ได้พูดกับงูน้อย นอกจากเขาแล้วที่นี่ยังมีอีกสองคน หนึ่งคือศิษย์สำนักวิญญาณอสูรที่กำลังอึ้งงันอยู่ และอีกคนคือชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกรที่ถูกหนีบอยู่ใต้วงแขน

แทบทันทีที่ซูหมิงเอ่ยปาก ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรใจสั่นสะท้าน พลันก้มหน้าลงมองคนสำนักซ่อนมังกรใต้วงแขนตน ชั่ววินาทีนั้น เขาเห็นความเย็นชาวูบผ่านนัยน์ตาชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกร

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นในชีวิต ลมหายใจต่อมา ชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกรยกมือขวาสะบัดประดุจสายฟ้าแลบ โลหิตพุ่งฉีดออกมาจากคอศิษย์สำนักวิญญาณอสูร จากนั้นร่างคนผู้นี้ก็ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แล้วตกลงสู่เหวลึก

ทว่าชายหนุ่มสำนักซ่อนมังกรกลับลอยอยู่กลางอากาศ เขามีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความหวาดกลัวและตึงเครียด ก่อนประสานมือคารวะซูหมิง

“ผู้เยาว์ซุนซานแห่งสำนักซ่อนมังกร คารวะผู้อาวุโส…ในเมื่อผู้อาวุโสรู้วิธีเปิดถ้ำนี้และยังมีม้วนแผ่นหยกของถ้ำ…..เช่นนั้นผู้เยาว์จะไม่รบกวนผู้อาวุโส…”

ซุนซานชายหนุ่มแห่งสำนักซ่อนมังกรใจเต้นระรัว กล่าวอย่างตึงเครียดพลางค่อยๆ ขยับถอยไป เขาอ่านขั้นพลังของซูหมิงไม่ออก ทว่าใช้เพียงแรงบีบอัดจากพลังก็ระเบิดร่างชายซูบผอมได้ ในสายตาซุนซาน อย่างน้อยอีกฝ่ายต้องมีขั้นพลังเทียบเท่าเปลี่ยนวิญญาณ กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเทียบเท่าขั้นทรงอำนาจ

ทว่าทันทีที่เขาถอยไปราวเจ็ดแปดเก้า ซูหมิงมองเขาเรียบๆ แวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวนี้ซุนซานถึงกับหยุดชะงัก ใบหน้าเค้นรอยยิ้มออกมา ขณะกำลังจะเอ่ย ซูหมิงก็ยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ

พลันเกิดพายุคลั่งม้วนทะยานเข้าไปหาซุนซาน ซุนซานหรี่ม่านตาลง คิดจะหลบไป แต่ลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วกลับยืนนิ่งปล่อยให้สายลมเข้ามาใกล้ แล้วหมุนวนอยู่รอบตัวเขาเป็นพายุหมุน

สายลมม้วนร่างเขาให้ตรงเข้ามาหาซูหมิง ก่อนพุ่งผ่านอีกฝ่ายเข้าไปในถ้ำ สุดท้ายก็ถูกกดไว้บนผนังหินในส่วนลึกของถ้ำดุจผนึก!

ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองซุนซานซึ่งถูกเหวี่ยงเข้าไปในถ้ำแวบหนึ่ง หากอีกฝ่ายต่อต้านเมื่อครู่ เวลานี้คงตายไปแล้ว หากไม่ต่อต้าน เขาซูหมิงก็จะไม่สังหาร เพราะเขาไม่ใช่คนที่เห็นใครแล้วต้องสังหารไปเสียหมด

หลังจากผนึกซุนซานเอาไว้แล้ว ซูหมิงก็ไม่สนใจอีก เขาเดินเข้าไปในถ้ำก่อนสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ม้วนแผ่นหยกที่ประทับอยู่บนประตูหินหลุดออกมา กลายเป็นแสงแวววาวตกลงในมือ พอเขาเข้าไปแล้วประตูหินก็ปิดลงอีกครั้ง มองจากข้างนอกทุกอย่างจะเหมือนปกติ ไม่มีเงื่อนงำอะไร

ซูหมิงเดินเข้าไปในถ้ำด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ถ้ำนี้ไม่ใหญ่มากนัก นอกจากห้องโถงใหญ่ตรงกลางแล้ว ที่นี่มีทั้งหมดแปดห้องลับ ทุกห้องล้วนมีประตูหินปิดผนึกอยู่ บนประตูหินทุกบานล้วนมีตรายันต์อักขระขยับวิบวับ

ตรายันต์อักขระแปดอันนี้ล้วนต่างกัน มันขยับวิบวับเป็นแสงหม่น ตอนที่มองไปตรายันต์อักขระเหมือนแฝงไว้ด้วยความหมายที่ต่างกัน

โดยรอบเงียบสงบ ซูหมิงยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ นอกจากห้องลับแปดห้องนี้ก็เป็นที่กว้างโล่ง และยังมีซุนซานที่ถูกผนึกเอาไว้บนกำแพงหินภูเขาตรงหน้า รอบตัวเขามีพายุหมุนวน เวลานี้กำลังมองซูหมิงด้วยความตึงเครียด

หัวใจเขาเต้นระรัว ใบหน้าผุดเม็ดเหงื่อ ในใจนึกโชคดีที่เมื่อครู่ตนไม่เลือกหลบหรือต่อต้าน เขาคิดว่าด้วยขั้นพลังของตนคงไม่มีค่าพอให้อีกฝ่ายสนใจด้วยซ้ำ หากจะสังหารตนก็คงง่ายเหมือนบี้มด ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ตนจะต้องโอนอ่อนตาม บางทีอาจมีโอกาสรอดชีวิตไปได้

ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามาถูกทาง อีกฝ่ายไม่ได้สังหารแต่เพียงแค่ผนึกเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ตนออกไปสร้างความยุ่งยากให้

ซุนซานยิ้มเฝื่อนพลางลอบถอนหายใจกับตัวเอง ต่อให้เขาออกไปจริงๆ ก็ไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่าย แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็เกิดความเคารพยำเกรงต่อซูหมิงผู้ไม่อาจคาดเดาคนนี้ยิ่งขึ้นด้วย

ความยำเกรงนี้มาจากความรอบคอบและอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่าย

‘เขามีขั้นพลังสูงส่ง ความคิดจะต้องรอบคอบ ไม่ยอมให้เกิดเรื่องเหนือการควบคุมเลย ฉะนั้นต่อให้ข้าไม่เกี่ยวอะไรด้วย เขาก็ยังผนึกข้าไว้ที่นี่อยู่ดี…

อีกอย่างแม้ผนึกนี้จะแกร่ง แต่กลับไม่ทำร้ายข้าสักนิด มันไม่สร้างความรู้สึกถึงอันตรายในจิตใต้สำนึกมากเกินไป เพื่อไม่ให้ข้าต่อต้านอย่างสุดชีวิต’

ซุนซานตาเป็นประกาย เขาเป็นคนเจ้าความคิดในสำนักซ่อนมังกร ด้วยขั้นพลังกับความรอบคอบ เขาจึงผ่านภัยพิบัติครั้งนี้มาได้จนกระทั่งถึงตอนนี้

‘ไม่ถูกต้อง เกรงว่าที่ยังไม่สังหารข้าเป็นเพราะยังมีเรื่องต้องใคร่ครวญอยู่!’

ซุนซานหรี่ตาลงอีกครั้ง หัวใจเต้นระรัว รีบก้มหน้ามองสำรวจทั้งในและนอกร่างกายอย่างเอียด ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าหวาดกลัว

ซูหมิงไม่ได้สนใจว่าซุนซานจะคิดเพ้อเจ้ออะไร ตอนที่เขามองตราอักขระบนประตูหินในห้องลับแรก นัยน์ตาเขาพลันมีประกายคมกริบ ชั่วขณะที่จ้องอักขระนั้น ความรู้สึกของสายลมเข้ามาอบอวลในใจ กระทั่งรอบตัวยังเกิดพายุหมุนขึ้น

ซูหมิงเข้าใจเกี่ยวกับสายลมมากที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดหมานวายุ ขณะอยู่ในห้วงความรู้สึกนี้ ดวงตาเขาจึงเปล่งประกายขึ้นเรื่อยๆ

‘เพียงหนึ่งอักขระก็เหนี่ยวนำสายลมจากอากาศได้…’

ขณะกำลังตรึกตรอง เขามองตราอักขระบนประตูหินห้องลับบานที่สอง ช่วงที่เพ่งมองไป ทุกสิ่งในครรลองสายตาเขาขมุกขมัว มีเพียงตราอักขระที่ชัดเจน จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความชื้น

รู้สึกถึงกลิ่นของสายฝน สายฝนนั้นยืดยาวสุดลูกหูลูกตา…อีกทั้งรอบตัวเขายังมีสายฝนตกลงมาใส่อย่างกะทันหัน ทำให้การขบคิดในแววตาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

ผ่านไปพักใหญ่ สายตาซูหมิงมองประตูไปเรื่อยๆ บนประตูห้องลับที่สาม เขารู้สึกถึงเสียงกัมปนาทของฟ้าผ่า ส่วนห้องที่สี่รู้สึกถึงสายฟ้าไหลเวียน ระเบิดออกเป็นพลังและแสงสว่างที่เขย่าฟ้าดิน

‘ลม ฝน ฟ้าผ่า สายฟ้า…’ ซูหมิงหันไปมอง เริ่มจากห้องลับทางขวามือ ครั้นกวาดสายตามองไปเรื่อยๆ แล้ว ในระยะเวลาสั้นๆ นี้เขารู้สึกถึงพลังชีวิตเปี่ยมล้นของฤดูใบไม้ผลิ ความร้อนแผดเผาของฤดูร้อน การผสานรวมกันของพลังความตายกับพลังชีวิตของฤดูใบไม้ร่วง และยังมีฤดูหนาวที่ทุกสรรพสิ่งมอดดับอย่างเงียบเชียบกลางหิมะโปรยปราย

“ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว…” ซูหมิงกล่าวพึมพำ นัยน์ตาเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม

‘ข้ามเรื่องของในห้องลับแปดห้องนี้ไปก่อน เพียงแค่ยันต์อักขระแปดอันนี้ก็เรียกได้ว่าสมบัติลับแล้ว! หากผสานรวมอักขระยันต์แปดอันนี้เข้าสู่จิตใจ ก็เท่ากับว่าตระหนักรู้ในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง ร้อน และหนาว หรือคือพลังแห่งลม เมฆ ฟ้าผ่า และสายฟ้า!’

ซูหมิงก้มหน้าลง ยกสองมือขึ้น ดวงตาขยับประกายวูบวาบ

‘เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ…ห้านิ้วมือซ้ายข้ามีสี่นิ้วเป็นตัวแทนของสายลม เมฆ ฟ้าผ่า และสายฟ้า ห้านิ้วมือขวามีสี่นิ้วมือเป็นตัวแทนฤดูใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว…’

ซูหมิงเผยยิ้มบางๆ ก่อนเดินตรงไปข้างประตูหินบานที่หนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิลง ดวงตาแวววาวจ้องตราอักขระบนประตูหิน แล้วจึงลอกแบบอีกครั้ง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!