ตอนที่ 635 พลิกเส้นทางเป็นตายสี่ฤดู
ซุนซานเหม่อมองซูหมิง ในใจสั่นสะท้าน ตัวเป็นศิษย์สำนักซ่อนมังกร เขาย่อมรู้จักตราอักขระบนประตูทั้งแปดบาน ทว่าตอนที่เห็นซูหมิงนั่งขัดสมาธิหน้าประตูหินบานที่หนึ่ง ดูจากลักษณะแล้วเหมือนกำลังตระหนักรู้อักขระแห่งวายุ เขาก็มีสีหน้าเหลือเชื่อ อีกทั้งในใจยังยิ้มเยาะถากถาง
‘แม้บุคคลนี้จะมีขั้นพลังสูง แต่กลับไม่รู้จักประมาณตน กล้าตระหนักรู้อักขระของสำนักซ่อนมังกร เรื่องนี้ตั้งแต่โบราณกาลจนถึงตอนนี้มีคนทำได้น้อยยิ่ง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทำสำเร็จ!’ ในใจซุนซานเป็นเช่นนี้ แต่สีหน้ากลับไม่กล้าเผยแม้แต่น้อย
เวลาผ่านไปทีละน้อย ท้องฟ้าด้านนอกมีแสงสว่าง อีกทั้งยามเช้ายังมีฝนตกชะล้างโลหิตในหุบเขาพันวารี ช่วงที่เสียงฟ้าผ่าดังอยู่นอกถ้ำ ซูหมิงมองห้องลับหมายเลขหนึ่งด้วยนัยน์ตาแวววาว แล้วพลันยกมือซ้ายสะบัดนิ้วเขียนเป็นอักขระ
อักขระนี้เขียนไว้บนอากาศ แต่กลับเหมือนอักขระบนบานประตู นี่คืออักขระแห่งสายลม เดิมทีซูหมิงมีทักษะเกี่ยวกับสายลมในระดับสูงอยู่แล้วจึงเข้าใจได้เร็วที่สุด ทันทีที่เขียนอักขระ ตรงปลายนิ้วชี้มือซ้ายค่อยๆ ปรากฏอักขระตัวหนึ่ง
หลังปรากฏอักขระก็เกิดเสียงครืน ประตูภูเขาห้องลับหมายเลขหนึ่งค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นห้องลับข้างใน ทว่าในห้องลับกลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์ใดๆ สำหรับเขาแล้วในห้องลับจะมีสมบัติหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีก เขาพบสมบัติล้ำค่าที่สุดสำหรับเขาแล้ว
อักขระแปดอัน!
กู้หยวนไห่คงคาดไม่ถึงว่าแผนการที่ตนวางเอาไว้ว่าจะใช้ซูหมิงมาขวางศัตรูเพื่อให้มีเวลาหนี และเขาเองก็ไม่ต้องจ่ายอะไรมาก เพียงเสียของเล็กน้อยในถุงเก็บวัตถุเท่านั้น รวมทั้งม้วนแผ่นหยกที่ใช้เปิดถ้ำซ่อนสมบัติแห่งนี้
แผ่นหยกนี้ในเวลาปกติก็พอเรียกได้ว่าสมบัติล้ำค่า เพราะว่ามันเป็นสิ่งยืนยันเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้เปิดถ้ำแห่งนี้ และในถ้ำก็มีของจำนวนมากที่สาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรสะสมมานานปี
ทว่าแผ่นหยกในตอนนี้ ในสายตากู้หยวนไห่ไม่มีประโยชน์ใดๆ อีก เพราะในถ้ำว่างเปล่า ของทั้งหมดเขาเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นหมดแล้ว
แต่เขาคงนึกไม่ถึงว่าตราอักขระแปดอันบนประตูห้องลับจะกลายเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่ของซูหมิงในคราวนี้!
ยันต์อักขระแปดอันนี้เป็นสิ่งที่สำนักซ่อนมังกรต้องมี ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีอยู่ในทุกสาขาย่อย การใช้งานปกติคือผนึก เล่าลือกันอีกว่าหากตระหนักรู้มันได้ ก็จะเข้าใจถึงการแปรเปลี่ยนของฟ้าดินผ่านอักขระแปดอันนี้ เพราะอักขระเหล่านี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสำนักซ่อนมังกร
ในสำนักซ่อนมังกร ไม่รู้กี่ปีมาแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่จะได้รับโชควาสนาจากยันต์อันขระแปดอัน คนที่เหลือส่วนใหญ่ไม่รู้สึกใดๆ เลย ฉะนั้นกู้หยวนไห่จึงมองข้ามเรื่องนี้ไป แต่กลับคิดว่าของที่ถูกย้ายไปจากในห้องลับคือสมบัติล้ำค่า หากเขารู้ถึงการแปรเปลี่ยนของซูหมิงในยามนี้ เกรงว่าจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
ซูหมิงเพียงมองในห้องลับหมายเลขหนึ่งแวบเดียว ก่อนยืนขึ้นแล้วมาอยู่หน้าห้องลับหมายเลขสอง สายตาเพ่งมองไป
ซูหมิงใช้สมาธิทั้งกายใจไปกับยันต์อักขระห้องหมายเลขสอง โดยไม่ได้สนใจซุนซานซึ่งในตอนนี้กำลังเบิกตากว้างและมีสีหน้าเหลือเชื่อและตกตะลึง
ซุนซานหายใจกระชั้น เขาเฝ้าดูซูหมิงอยู่ตลอด จนกระทั่งเห็นนิ้วชี้มือซ้ายอีกฝ่ายปรากฏอักขระแห่งสายลม และยังเห็นประตูใหญ่ห้องลับหมายเลขหนึ่งเปิดออก ภาพทุกฉากประดังเข้ามาอย่างรุนแรง หัวใจเขาเต้นระรัว มองทุกอย่างด้วยความเหลือเชื่อ
‘เพียงแค่สองชั่วยาม! ไม่อยากเชื่อว่าจะตระหนักรู้อักขระแห่งสายลมแล้ว! แม้ยันต์ทั้งแปดของที่นี่จะเป็นของเลียนแบบ ไม่ใช่ของแท้จากสำนักเซียน ทว่าการตระหนักรู้สำเร็จในสองชั่วยามนี่มัน…’ ซุนซานสูดลมหายใจเข้า ผ่านไปพักหนึ่งถึงจะกลับมาเป็นปกติ
โดยเฉพาะตอนเห็นซูหมิงยังไม่หยุดพัก แต่ไปตระหนักรู้ยันต์อักขระแห่งสายฝนในประตูบานสองต่อ ซุนซานก็อดตึงเครียดขึ้นมามิได้ ครั้งนี้ที่ตึงเครียดไม่ใช่เพราะความปลอดภัยของตน แต่เป็นเพราะการกระทำของซูหมิงมันตรงข้ามกับความคิดเขา
หกชั่วยามต่อมา เมื่อฟ้าด้านนอกมืดอีกครั้ง ซูหมิงยกมือซ้ายขึ้นมา ดวงตาแวววาว ก่อนวาดอักขระสายฝนบนประตูหินตรงหน้า วินาทีที่วาดเสร็จ ตรงข้อปลายนิ้วกลางปรากฏอักขระคล้ายๆ กับนิ้วชี้
ขณะเดียวกันห้องลับบานที่สองเปิดออก
ซูหมิงไม่มองแม้แต่หางตา เขายืนขึ้นแล้วเดินไปทางห้องลับหมายเลขสามก่อนนั่งขัดสมาธิลง ก่อนมองยันต์อักขระฟ้าผ่าด้วยนัยน์ตาวาววับ
ซุนซานเหม่อมองห้องลับหมายเลขสองที่เปิดอ้าอยู่ ความคิดว่างเปล่า ทว่าความว่างเปล่าก็คงอยู่ไม่นานนัก ช่วงที่ประตูบานที่สามส่งเสียงครืนพร้อมกับเปิดออก สายตาที่มองซูหมิงฉายแววหวาดกลัวอีกครั้ง
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กลัวความตาย แต่เขากลัวทักษะการทำความเข้าใจของซูหมิง!
‘นี่มันทักษะการตระหนักรู้ระดับใดกัน! เขาเป็นใคร!’ ซุนซานคิดว่าหากสิ่งที่ตนเห็นแพร่งพรายออกไป หากสำนักซ่อนมังกรรู้จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งสำนัก กระทั่งลามไปถึงสำนักในแดนเซียนด้วย
สองวันต่อมาซูหมิงมีสีหน้าเหนื่อยล้า นิ้วก้อยมือซ้ายวาดเป็นอักขระสายฟ้า ครั้นประทับบนปลายข้อนิ้วก้อยแล้ว ห้องลับหมายเลขสี่ก็เปิดออก
ซูหมิงไม่มองห้องลับ แต่ยกมือขวาขึ้น สายตามองสี่นิ้วมือซ้าย
ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้ม เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่ามือซ้ายของตนเหมือนจะควบคุมสายลม สายฝน ฟ้าร้อง และสายฟ้าได้ แม้จะควบคุมได้เพียงเล็กน้อย ทว่ากลับฝังลึกลงไปดุจดั่งเมล็ดพันธุ์!
ยามนี้ซุนซานหลังจากตื่นตะลึงมาสองวันก็ค่อยๆ เฉยชา เขามองซูหมิง ในใจนอกจากฝืนยิ้มแล้วก็ขมขื่น ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือขั้นพลังล้วนอยู่เหนือกว่าตน แม้แต่ทักษะการตระหนักรู้ยังน่าสะพรึงกลัว ทั้งยังเป็นคนเจ้าความคิด แม้เป็นเพียงผนึกง่ายๆ ทว่าซูหมิงกลับทำให้เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกห่างไกล
หากตนไม่ระวัง จะต้องเจอกับภัยพิบัติร้ายแน่
‘เจ้านี่ฝึกฝนมานานมากหรือว่าเป็นโอรสสวรรค์ของสำนักพวกนั้นกัน เฮ้อ เทียบกับพวกเขาแล้ว แม้ข้าจะสู้ไม่ได้ ทว่าฐานะที่ข้ามีอยู่ในวันนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะเทียบได้เหมือนกัน!’ ซุนซานคิดในใจเช่นนี้เพื่อปลอบตัวเอง
ส่วนซูหมิง เขาไม่ได้ตระหนักรู้ยันต์ฤดูใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาวทั้งสี่ฤดูต่อ แต่นั่งขัดสมาธิพักผ่อนอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อความเหนื่อยล้าลดไปแล้ว เขาลืมตาขึ้นมองประตูห้องลับหมายเลขหนึ่งทางขวามือ มันก็คือยันต์ฤดูใบไม้ผลิ!
“ฤดูใบไม้ผลิมีพลังชีวิตเปี่ยมล้น เป็นการคืนชีพของทุกสรรพสิ่ง…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขามองยันต์ฤดูใบไม้ผลินี้มาหลายวันติดกัน!
สำหรับเขาแล้วช่วงเวลาหลายวันนี้เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่ากลับไม่อาจตกอยู่ในห้วงยันต์ฤดูใบไม้ผลิได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อาจลอกแบบมันเหมือนตอนตระหนักรู้สายลม สายฝน ฟ้าผ่าและสายฟ้า
ในช่วงหลายวันมานี้นัยน์ตาดูเหนื่อยล้าอีกครั้งและหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่สนสิ่งใดในโลกภายนอก แต่ใช้กายใจทั้งหมดไปกับการตระหนักรู้และลอกแบบ ยามนี้หุบเขาพันวารีถูกสำนักวิญญาณอสูรทำลายล้างและยึดครองเป็นสาขาย่อยสำนักวิญญาณอสูรแล้ว ทำให้ที่นี่กลายเป็นแนวป้องกันของภาคตะวันออกแดนรกร้างบูรพา ทั้งยังเป็นด่านหน้าเข้าสู่ส่วนกลางแดนรกร้างบูรพา
หลายวันมานี้มีสายรุ้งยาวบินไปมาจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคนสำนักวิญญาณอสูรที่ยึดครองที่นี่ หรือสำนักอสูรอื่นๆ ก็ต่างพากันมา ทำให้หุบเขาพันวารีครึกครื้นอย่างยิ่ง
เทียบกับความครึกครื้นจากโลกภายนอกแล้ว ถ้ำของซูหมิงกลับเงียบสงัด ลมหายใจไม่หนัก แม้ดวงตาจะมีเส้นเลือดฝอยเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงตระหนักรู้อักขระแห่งฤดูใบไม้ผลิ
เห็นซูหมิงตระหนักรู้ในครั้งนี้ไม่ง่าย มันทำให้ซุนซานถอนหายใจโล่งอก เขารู้สึกว่าแบบนี้อีกฝ่ายจะได้ดูธรรมดาขึ้นมาหน่อย หากตระหนักรู้ยักนต์อักขระแปดอันสำเร็จจริงๆ สำหรับสำนักซ่อนมังกรแล้วถือเป็นการเย้ยเยาะอย่างแรง
‘แม้เจ้านี่จะมีทักษะทำความเข้าใจสูง ทว่ายันต์อักขระทั้งแปดของสำนักซ่อนมังกรจะไปตระหนักรู้กันง่ายๆ ได้อย่างไร แม้เป็นของเลียนแบบ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย!’ ซุนซานมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วยิ้มเยาะในใจอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอีกสามวัน ซูหมิงมีสีหน้าเหนื่อยล้า เส้นเลือดในดวงตาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องอักขระแห่งฤดูใบใม้ผลิเขม็ง ช่วงหลายวันมานี้ไม่ว่าจะทำความเข้าใจอย่างไรก็ไม่อาจตกอยู่ในห้วงภายใน เหมือนกับว่าพลังชีวิตในอักขระนี้ไม่เข้ากันกับเขา!
‘แดนมรณะหยิน…’ ในช่วงหลายวันมานี้นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงหลับตานาน ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพตอนอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ หลังจากออกจากแดนมรณะหยินแล้ว ร่างกายเขาก็แก่ชราลงอย่างรวดเร็ว
ต่อจากภาพนั้นก็เป็นภาพโลหิตตนในมือฟางชางหลันกลายเป็นกลิ่นอายมรณะแล้วค่อยๆ ลอยหายไป
‘ฤดูใบไม้ผลิคือการคืนชีพของสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง ฤดูร้อนคือพลังชีวิตถึงจุดสูงสุด…..ฤดูใบไม้ร่วงคือพลังชีวิตมอดดับ เป็นช่วงความตายตื่นขึ้น และฤดูหนาว…คือความหนาวเหน็บและนิพพานของทุกสรรพสิ่ง!’ ซูหมิงพลันลืมตา เขาไม่มองอักขระฤดูใบไม้ผลิ แต่มองอักขระฤดูหนาวบนประตูห้องลับหมายเลขสี่ซึ่งมีความหมายคือทุกสรรพสิ่งมอดดับอย่างสงบ!
‘ตัวข้าอยู่ในแดนมรณะหยิน อีกทั้งวิญญาณในโลกเก้าหยินยังเคยบอกว่าข้าตายแล้ว บวกกับเรื่องที่เจอก็พอมองออกอยู่บ้าง แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นแบบนั้น!
ในเมื่อข้าเป็นคนตาย ย่อมไม่อาจรับรู้ถึงพลังชีวิตของฤดูใบไม้ผลิ ทว่าข้าตระหนักรู้ถึงการมอดดับอย่างสงบแห่งฤดูหนาวได้ กลับด้านฤดูเหล่านี้ เรียงใหม่เป็นฤดูหนาว ใบไม้ร่วง ร้อนและใบไม้ผลิ เดินไปตามเส้นทางความตายสู่การฟื้นคืนชีพ!’
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายลุกวาว เขาสับสนมาหลายปี มองเห็นเส้นทางตรงหน้าตัวเองไม่ชัดมาโดยตลอด ใช้การเดินไปตามความรู้สึก จนถึงตอนนี้ในสำนักซ่อนมังกร นอกห้องลับในถ้ำของสำนักนี้ ในที่สุดเขาก็คลำหาเส้นทางจากความตายสู่ความเป็นพบโดยบังเอิญ!
เส้นทางนี้พลิกกลับฟ้าดิน เส้นทางนี้พลิกกลับสี่ฤดู เส้นทางนี้เริ่มจากฤดูหนาว เดินไปตามเส้นทางเป็นตายสู่ฤดูใบไม้ผลิ!
หากทุกอย่างในโลกเริ่มจากฤดูหนาวก่อน หลับใหลในหน้าหนาวเงียบสงบ เช่นนั้นเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง หิมะจะละลาย กลิ่นอายมรณะกับพลังชีวิตเบาบางตัดสลับกัน เมื่อถึงฤดูร้อนกลิ่นอายมรณะจะค่อยๆ จางหายไป พลังชีวิตจะปะทุขึ้น ก่อนเดินไปสู่ฤดูใบไม้ผลิจนสำเร็จ แล้วคืนชีพหรือตื่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ!
นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกาย วินาทีที่เขามองอักขระฤดูหนาวและเข้าใจเส้นทางความเป็นตายนั้น เขายกมือขวาขึ้นแล้วใช้นิ้วก้อยวาดอักขระฤดูหนาวตรงหน้า
เสียงโครมดังขึ้น ประตูแห่งฤดูหนาวเปิดออก!