ตอนที่ 641 สมบูรณ์!
มันเป็นเส้นชีพจรวิญญาณที่บิดเบี้ยวเส้นหนึ่ง กระจัดกระจายอยู่ใต้หุบเขาพันวารี จะให้กล่าวจริงๆ คือเส้นชีพจรวิญญาณของที่นี่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นเพียงเศษเสี้ยว มีมากกว่าพันเส้นในส่วนลึกของพื้นดินเหมือนกับคำว่าพันวารี
ทุกเส้นมีขนาดเล็กมาก ไม่เตะตาแม้แต่น้อย ทว่าพอรวมกันพันเส้นกลับก่อรูปเป็นพลังวิญญาณฟ้าดิน ซึ่งมันก็พอจะให้หุบเขาพันวารีก่อตั้งเป็นสาขาย่อยสำนักซ่อนมังกรได้
ในเผ่าเชมันเรียกสิ่งนี้ว่าผลึกเชมัน ในเผ่าหมานเรียกว่าหินหมาน ส่วนเผ่าเซียนเรียกเส้นชีพจรหินวิญญาณ นอกจากซูหมิงมาหุบเขาพันวารีเพื่อปล้นชิงสมุนไพรแล้ว เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือที่นี่
หลายวันต่อมายามซูหมิงลืมตา เขามีสีหน้าสงบนิ่ง ร่างกายไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ทั้งยังไม่มีใครรู้ว่าเขาในยามนี้ต้องทนเจ็บปวดในร่างกายมากเพียงใด
ทว่าความเจ็บปวดนี้ ซูหมิงรู้ว่าตนต้องทำความเคยชินกับมัน!
เขายืนขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนขยับวูบไหวหายไปจากถ้ำแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงส่วนลึกของพื้นดิน ขณะก้าวเดินเขาเห็นแสงผลึกตรงหน้า สิ่งนั้นเป็นเส้นชีพจรวิญญาณยาวสิบกว่าจั้ง บิดเบี้ยวและเห็นได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าคือเส้นชีพจรวิญญาณ ทว่าหากใช้จิตสัมผัสจะรู้สึกรางๆ เหมือนว่าเป็นมังกรน้อยใต้ดิน
‘หวังว่าวิชาของหงหลัวจะสำเร็จ’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ขั้นพลังที่สูญเสียจากการกำราบหินแสงสว่างหยางเมื่อสิบวันก่อนฟื้นกลับมาเล็กน้อยแล้ว แต่มันกลับทำให้ร่างกายเขาที่กำลังฟื้นฟูอยู่นี้บรรลุถึงเกือบเก้าส่วนหลังจากบาดเจ็บสาหัสในครั้งนั้น!
ถึงก่อนหน้านี้ก็เกือบเก้าส่วนแล้วเช่นกัน แต่คำว่าเกือบในเวลานี้คืออีกเสี้ยวเดียวจะฟื้นฟูถึงเก้าส่วน!
‘หากวิชานี้สำเร็จ ข้าจะฟื้นฟูพลังจนถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยบรรลุถึงมาก่อนในเวลาอันสั้น จากนั้นก็ลองทะลวงขั้นวิญญาณหมาน!
หากข้าก้าวสู้ขั้นวิญญาณหมาน…’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เมื่อหรี่ม่านตาประกายค่อยๆ หายไป จากนั้นเขาก็เดินไปทางเส้นชีพจรผลึกตรงหน้า ร่างทะลวงผ่านอยู่ในผืนดินความเร็วจึงลดลงไม่น้อย การทะลวงผ่านแบบนี้ต้องเสียพลังอย่างมาก ผ่านไปพักหนึ่งจนเมื่อมาอยู่ข้างๆ เส้นชีพจรผลึกเส้นนั้น ดวงตาเขาวาววับ พลันยกมือขวาขึ้นประสานสัญลักษณ์มือต่อเนื่องกันเก้าครั้ง ก่อนมีระลอกคลื่นกระจายจากในร่างกายเป็นวงกว้าง
ขณะระลอกคลื่นกระจายออก ร่างซูหมิงค่อยๆ เลือนรางลง หลังจากเลือนรางมาราวๆ หนึ่งเค่อ (ราว 15 นาที) เขาก็นั่งขัดสมาธิบนเส้นชีพจรผลึก ระหว่างที่ร่างกายพร่าเลือนก็เกิดปรากฏการณ์พิลึกขึ้นทีละน้อย
‘วิชากลืนเส้นชีพจรผลึกมาจากวิชาเก้าแปรสิบเปลี่ยนเสียงรวมเป็นหนึ่งจริงๆ…วิชาสิบแปรเปลี่ยน! เก้าแปรเปลี่ยนสามารถทำให้อภินิหารใดๆ ก็ตามพัฒนาขึ้นอีกเก้าครั้งจนถึงจุดสูงสุด!
ทว่าสิบแปรเปลี่ยนคืออภินิหารที่แปรเปลี่ยนคน อภินิหารของหงหลัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาสิบแปรเปลี่ยน ฉะนั้นของที่จะเปลี่ยนต้องให้ตัวเราผสานรวมก่อนถึงจะเปลี่ยนได้ อีกทั้งหากเลือกแล้วก็จะเปลี่ยนไม่ได้อีก
วิชาสิบแปรเปลี่ยนเลือกวัตถุได้ต่างกันสิบชนิดมาผสานรวม…สิ่งแรกที่จะผสานรวมกับวิชาสิบแปรเปลี่ยนของข้าคือเส้นชีพจรผลึก!’ ดวงตาซูหมิงมีประกายวาบผ่าน ขณะนั่งฌานร่างกายเลือนรางลงเรื่อยๆ ขาสองข้างเปลี่ยนไป เริ่มมีผลึกเกาะและลุกลามไปอย่างต่อเนื่อง ครึ่งชั่วยามต่อมาร่างกายก็กลายเป็นร่างผลึกอย่างสมบูรณ์
กระทั่งมองไปยังคล้ายกับเส้นชีพจรผลึกยิ่งนัก หลังจากนั้นอีกหนึ่งชั่วยาม ซูหมิงหายไป กลายเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งของเส้นชีพจรผลึก!
เส้นชีพจรผลึกที่เพิ่มมาก้อนนี้มีลักษณะเหมือนคน ทว่ามองไปกลับรวมเป็นหนึ่งกับเส้นชีพจรผลึก ไม่อาจแยกให้ชัดเจน ไม่เพียงแต่รูปร่างคล้ายเท่านั้น โครงสร้างภายในยังเหมือนกันด้วย!
อย่างเช่นยามนี้ หลังจากซูหมิงเลือกการแปรเปลี่ยนครั้งแรกในสิบแปรเปลี่ยนเป็นเส้นชีพจรผลึกแล้ว ภายในเวลาหลายชั่วยามเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นเส้นชีพจรผลึกจนแยกไม่ออก ในเวลาเดียวกันก็ทำให้การสูบกลืนจากภายนอกเปลี่ยนเป็นการกลืนกินภายในเส้นชีพจรผลึกแทน
เส้นชีพจรผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว ในนี้มีการหลอมรวมกันของทั้งสองสิ่ง สามวันต่อมาเส้นชีพจรผลึกเส้นนี้ก็เกิดการแห้งเหี่ยว มันค่อยๆ หมองคล้ำ สูญเสียพลังวิญญาณไป ในเวลาเดียวกันเส้นชีพจรผลึกลักษณะคนกลับเปล่งแสงสว่าง
วันที่ห้า เส้นชีพจรผลึกรูปคนเลือนรางอีกครั้ง แล้วค่อยๆ กลับมาเป็นซูหมิง รูปลักษณ์ไม่แก่ชราเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย
ขั้นพลังก็ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อยด้วย!
‘วิธีนี้ได้ผล!’ แววตาซูหมิงขยับประกายวาววับ เขาวูบไหวกายหายตัวไปแล้วมาปรากฏอยู่บนเส้นชีพจรผลึกอีกเส้นซึ่งห่างจากตรงนี้ไปราวสิบกว่าจั้ง หลังจากสัมผัสแล้ว เขาก็กลายเป็นเส้นชีพจรผลึกอีกครั้ง
การสูบกินครั้งนี้ไม่ใช่ห้าวัน เพียงแค่สี่วันเส้นชีพจนผลึกเส้นนี้ก็กลายเป็นผุยผง
เวลาผ่านไป ซูหมิงสูบกินวนเวียนอยู่อย่างนี้ เส้นชีพจรผลึกถูกสูบจนกลายเป็นผุยผงทีละเส้น จนกระทั่งหนึ่งเดือนต่อมา เวลาที่เขาใช้สูบเส้นชีพจรผลึกหนึ่งเส้น จากห้าวันในครั้งแรกตอนนี้ใช้เพียงวันเดียว!
อีกทั้งยังใช้เวลาสั้นๆ เท่านั้น เขาสูบกินต่อไปเรื่อยๆ ตามความเร็วแบบนี้ เกรงว่าอีกไม่นานการสูบกินหลายวันคงจะเท่ากับการสูบกินหนึ่งเดือนเต็ม
เหตุที่ยิ่งสูบยิ่งเร็วขึ้นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความคุ้นเคยของซูหมิง เกี่ยวกับการแปรเปลี่ยนของเขา!
การสูบกินหนึ่งเดือนทำให้ซูหมิงมองเห็นความหวัง สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะจากการสูบกินหนึ่งเดือน ขั้นพลังฟื้นฟูกลับมาครบเก้าส่วนแล้ว!
ไม่เพียงแค่ก้าวข้ามเสี้ยวหนึ่งก่อนหน้านี้ แต่ยังเพิ่มขึ้นอีก
ซูหมิงรู้สึกชัดเจนว่าการสูบกินแบบนี้จะทำให้เขาแกร่งขึ้นตลอดเวลา ความรู้สึกนี้มันน่าหลงใหล ขณะเดียวกันก็ทำให้พลังที่ใช้กำราบหินแสงสว่างหยางในร่างกายทนทานและมั่นคงขึ้น
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน…ด้านหลังซูหมิงเต็มไปด้วยผุยผงเส้นชีพจรผลึก จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน เขาสูบหนึ่งเส้นชีพจรผลึกโดยใช้เวลาเพียงสามชั่วยาม!
หลังจากความเร็วเพิ่มขึ้น เส้นชีพจรผลึกใต้หุบเขาพันวารีจึงหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้พลังวิญญาณในหุบเขานี้ค่อยๆ ลดน้อยลง และต้องดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากแน่นอน
ทว่าน่าแปลกที่ไม่มีใครเข้ามาตรวจสอบเลย ทำให้อุบายที่ซูหมิงเตรียมเอาไว้เป็นต้องยกเลิก เรื่องนี้ทำให้เขาเกิดความสงสัยในขณะที่สูบกินเส้นชีพจรผลึก
แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ ไม่เหมาะจะออกไปตรวจสอบข้างนอก อีกทั้งภายใต้การสูบแบบนี้ การเชื่อมประสานกับเป่าชิวจึงไม่เสถียร เลยไม่อาจรู้เรื่องภายนอกได้
สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าข้างนอกจะเกิดเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าฟื้นขั้นพลังในตอนนี้ เขาไม่สนใจอีก ตั้งแต่เริ่มสูบกินจนถึงตอนนี้ผ่านไปสองเดือนแล้ว ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเส้นชีพจรผลึกค่อนข้างใหญ่ ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เส้นชีพจรผลึกนี้ก็กลายเป็นผุยผง ตอนที่เขาลืมตาขึ้น นัยน์ตามีประกายแสงพร่างพราววูบผ่าน
‘ฟื้นฟูมาเก้าส่วนเจ็ดแล้ว! ห่างจากสมบูรณ์อีกเพียงครึ่งก้าว!’ ซูหมิงไม่รู้ว่าตนสูบเส้นชีพจรวิญญาณไปแล้วเท่าไร แต่ถ้าจะให้เดาคือเกือบร้อย
ตอนนี้ถ้าจะสูบเส้นชีพจรผลึกค่อนข้างใหญ่แบบนี้ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่า ทว่าเส้นชีพจรขนาดเล็กตอนเพิ่งเริ่มสูบกินเลยต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อ
‘วัดตามความเร็วแบบนี้ อีกหนึ่งเดือนข้าจะฟื้นฟูจนสมบูรณ์! กระทั่งหากเพิ่มความเร็วได้มากกว่านี้อีก อาจไม่ถึงเดือน!’ ซูหมิงใจเต้น แม้ตอนนี้พลังจะเลยจุดสูงสุดตอนสู้กับตี้เทียนมาแล้ว แต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาเต็มร้อย ยามโคจรพลังมีติดขัดอยู่บ้าง ตอนนี้การฟื้นฟูมีความหวังแล้ว ทำให้อารมณ์ความรู้สึกเขาเกิดระลอกคลื่นน้อยๆ
‘ตี้เทียน ข้าจะคืนบาดแผลหลายปีมานี้ให้กับเจ้า…’ นัยน์ตาซูหมิงเผยจิตสังหาร ขณะหลับตาตัวเขามาปรากฏอยู่ข้างเส้นชีพจรผลึกอีกจุดหนึ่ง แล้วเริ่มสูบกิน
สามวัน ห้าวัน เจ็ดวัน สิบวัน!
หลังจากผ่านไปอีกสิบวัน ซูหมิงสูบกินเส้นชีพจรผลึกไปมากกว่าทั้งหมดก่อนหน้านี้ เส้นชีพจรผลึกพันเส้นเหลือไม่ถึงครึ่ง ส่วนใหญ่จะถูกซูหมิงสูบกินไปจนหมด
ความเร็วในการสูบกินเหลือเพียงร้อยลมหายใจก็สูบเส้นชีพจรผลึกเส้นเล็กหมด
ภายใต้การสูบกินด้วยความเร็วน่าสะพรึงนี้ วันที่สิบหลังจากสองเดือนต่อมา เส้นชีพจรผลึกใต้ร่างซูหมิงกลายเป็นผุยผง จากนั้นเขาลืมตาขึ้น แรงกดดันแก่กล้าที่ไม่อาจบรรยายปะทุมาจากในร่างกาย
ภายใต้การฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง ขั้นพลังซูหมิงทะยานขึ้นไม่หยุด จนสุดท้ายบรรลุถึงสิบส่วน จุดที่โคจรพลังติดขัดในร่างกายก่อนหน้านี้ตอนนี้ราบรื่น ส่งผลให้ร่างกายเข้าเชื่อมหากันอย่างสะดวกและบรรลุถึงจุดสมบูรณ์!
นี่คือความสมบูรณ์อย่างแท้จริง เลือดเนื้อในร่างกายล้วนกลายเป็นหมานทั้งหมด กระดูกทุกชิ้นเป็นกระดูกหมาน โลหิตเป็นสีทองจางๆ อวัยวะภายในรวมถึงทุกส่วนของร่างกายสมบูรณ์!
เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าตอนนี้ตรงหน้ามีเพียงเส้นทางเดียวคือ ทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมาน!
ครั้นซูหมิงตรวจสอบภายในร่างกาย เขามีสีหน้าปีติยินดี แต่ไม่นานกลับลังเลใจ สุดท้ายก็ไม่มั่นใจ
เขารู้สึกว่าหากตนก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานสำเร็จ มีโอกาสสูงมากที่จะข้ามต่อไปยังวิญญาณหมานตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลายจนถึงสมบูรณ์!
เพราะพื้นฐานเขาตอนนี้มีคุณสมบัตินี้แล้ว!
ทว่ามันจะตีความหมายได้อีกอย่างว่า การทะลวงขั้นวิญญาณหมานของซูหมิงจะยากยิ่ง ความยากระดับนี้เกรงว่าสูงกว่าคนธรรมดาร้อยเท่า
ดีที่มีพื้นฐานมั่นคงอย่างที่ไม่เคยมีใครมีมาก่อน ฉะนั้นต่อให้ทะลวงขั้นวิญญาณหมานล้มเหลวก็จะไม่สูญสลายไปเหมือนกับคนอื่น แต่ก็ห้ามเกินกว่าสามครั้ง หากเกินสามครั้งจุดจบก็ยังเป็นความตาย จุดนี้ซูหมิงได้เข้าใจหลังจากขั้นพลังฟื้นกลับมาถึงระดับสมบูรณ์
‘ทะลวงหรือไม่ทะลวง…’ ในใจซูหมิงไม่มีความมั่นใจเลย เขาลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาจะฉายแววเด็ดขาด
“ทะลวง!”