Skip to content

สู่วิถีอสุรา 647

ตอนที่ 647 เฉินชง อูลา

คลื่นวงแหวนอาคมนี้ไม่รุนแรงมากนัก ทว่าเพราะสภาพแวดล้อมพิเศษของที่นี่ วงแหวนอาคมจนถึงเหมือนผสานรวมกับฟ้าดิน สร้างขึ้นเป็นแรงดึงดูดพิลึก

‘เผ่าเซียนเลือกที่นี่เป็นจุดมาเยือน จะต้องมีเหตุผลอะไรแน่!’ ซูหมิงละสายตากลับ สงครามครั้งนี้จะมีผู้มาเยือนรุ่นใหม่หรือไม่เขาไม่สนใจ จิตใจแน่วแน่ตอนออกจากหุบเขาพันวารีมีเพียงอย่างเดียวคือ…สังหารตี้เทียน!

จิตใจแน่วแน่นี้จะไม่เปลี่ยนไปเพราะสิ่งเพ้อฝัน เพราะความยิ่งใหญ่ หรือเพราะเรื่องใดๆ มันเป็นตัวแทนจิตใจของซูหมิง เป็นตัวแทนความแน่วแน่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ!

‘แม้ร่างจริงตี้เทียนจะแกร่ง ทว่าในแดนหมานก็ใช่ว่าจะเอาชนะร่างแยกไม่ได้…อีกอย่าง…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายบางๆ จนจับสังเกตไม่ได้ นอกจากการเตรียมตัวเหล่านี้แล้ว ในส่วนลึกของแผนสังหารตี้เทียนของเขา ยังมีอีกหนึ่งความคิดอาจหาญ!

ความคิดนี้ในสายตาเขา แม้โอกาสสำเร็จจะไม่สูงแต่ก็ไม่น้อย หากสำเร็จละก็ ความมั่นใจในการสังหารตี้เทียนจะเพิ่มขึ้นหลายส่วน อีกทั้งหลายส่วนที่เพิ่มมานั้นจะเป็นตัวแทนการกำหนดชะตาชีวิตของตี้เทียน!

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอย่างเงียบๆ มุมปากยกยิ้มเย็นชา

คนสำนักวิญญาณอสูรเป็นสำนักแรกที่มาถึง หลังจากพวกเขามาถึงสนามรบหนึ่งชั่วยาม บนฟ้าไกลๆ มีสายรุ้งลากยาวเข้ามาหลายสาย มองไปแล้วสายรุ้งเหล่านั้นรวมกันเป็นสัตว์กิเลนยักษ์ตัวหนึ่ง เสียงลากยาวผ่านอากาศประหนึ่งเสียงคำรามของสัตว์ กิเลนตัวนี้สร้างขึ้นจากภาพมายาของวงแหวนอาคม และวงแหวนอาคมนี้สร้างขึ้นจากคนจำนวนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน ทุกคนต่างร่วมมือกันในวงแหวนอาคม ทำให้กิเลนมายาตัวนี้องอาจห้าวหาญอย่างยิ่ง และสมจริงดั่งมีชีวิต!

เสียงคำรามดังสนั่น กิเลนยังไม่เข้าใกล้ก็ทำให้คนสำนักวิญญาณอสูรเงยหน้ามองอย่างเย็นชาแล้ว บนพื้นดินมีสายลมม้วนเศษทรายขึ้นราวกับจะให้บดบังผืนฟ้า

ด้านหลังกิเลนยักษ์มียอดเขายักษ์เจ็ดลูกกำลังลอยเข้ามา ทุกยอดเขาล้วนมีความสูงหลายพันจั้ง นี่ยังไม่ใช่จุดน่าตะลึง สิ่งที่ทำให้ศิษย์สำนักวิญญาณอสูรหรี่ตาจริงๆ คือยักษ์เจ็ดตนใต้ยอดเขาเจ็ดลูก

ยักษ์เจ็ดตนนี้เหมือนเป็นสายพันธุ์ประหลาดในโลกนี้ ทุกตนสูงหลายร้อยจั้ง ใบหน้าไร้อารมณ์ ในร่างกายแผ่ระลอกคลื่นสร้างความหวาดกลัว โดยเฉพาะดวงตาที่มีจิตสังหารและความบ้าระห่ำ เลยไม่มีใครกล้ามองตรงๆ

ยักษ์ทุกตนล้วนแบกยอดเขาหนึ่งลูก ก้าวเท้ายาวเหยียบอากาศตามหลังกิเลน

ทว่าหากเพ่งสายตามองอีกครั้ง จะพอเห็นรางๆ ว่ายักษ์เปลือยท่อนบนเจ็ดตนนี้มีผิวหนังดุจโลหะและหิน มีเสียงกึกกักดังก้องอยู่ในร่างกาย พวกเขา…..ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นหุ่นเชิดที่สร้างด้วยวิธีการพิเศษ!

“กิเลนจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักซ่อนมังกร…และยังมี…เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาว!”

เฉียนเฉินที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจเข้า ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ฟันสั่นกระทบกัน ทว่ากลับฝืนกัดฟันกล่าวสิ่งที่รู้กับซูหมิง

“กิเลนจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักซ่อนมังกรเป็นร่างมายาที่เกิดจากการให้คนหมื่นคนใช้อภินิหารจิตของสำนักพร้อมกัน หมื่นคนเหมือนรวมเป็นหนึ่ง แต่หากใช้ร่วมกับอภินิหารส่วนใหญ่ของสำนักซ่อนมังกร พลานุภาพจะน่ากลัวยิ่งขึ้น!

และยังมี…เซียนนับรบฟ้ากระจ่างดาว ไม่คิดเลยว่าสำนักซ่อนมังกรจะส่งลงมาถึงเจ็ดตน เรื่องนี้…..เป็นไปไม่ได้ ตามที่ข้ารู้มา เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักซ่อนมังกร ทุกตนล้วนมีพลังอยู่จุดสูงสุดในที่ก้าวสอง!” เฉียนเฉินหายใจกระชั้น สีหน้าดูเหลือเชื่อ

‘ยักษ์เจ็ดตนนั้นคือเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวหรือ?’ นัยน์ตาซูหมิงแวววาว ครู่ต่อมาก็ส่ายหน้าอย่างช้าๆ

‘ยักษ์เจ็ดตนนั้นมีพลังเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ และข้างในยังมีกลิ่นอายพลังเผ่าหมาน…’

“ข้ารู้แล้ว เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเจ็ดตนนี้ สำนักซ่อนมังกรหลอมขึ้นจากเลือดเนื้อของคนเผ่าหมาน มิใช่มาเยือน!” เฉียนเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าวพึมพำเบาๆ

ซูหมิงไม่กล่าวอะไร เขามองออกก่อนที่เฉียนเฉินจะบอกเสียอีก

หลังจากเสียงโครมครามดังขึ้น กิเลนบนฟ้าลดระดับลงมาอยู่บนหินยักษ์ก้อนหนึ่งบนพื้น วินาทีที่มันลดระดับลง หินก้อนนี้เหมือนแบกรับไม่ไหว ส่งเสียงกึกๆ พร้อมกับเกิดรอยร้าวจำนวนมาก สุดท้ายก็ส่งเสียงโครมแล้วแตกกลายเป็นเศษกระจาย

นัยน์ตากิเลนฉายแววเคียดแค้นและชั่วร้าย ครั้นมองคนสำนักวิญญาณอสูรแวบหนึ่งแล้วก็หลับตาลง ฉับพลันนั้น ร่างมันสลายไป ก่อนศิษย์สำนักซ่อนมังกรเกือบหมื่นคนในนั้นจะกระจัดกระจายกันไปยึดครองที่โดยรอบและรักษาระยะห่างกับสำนักวิญญาณอสูรไว้

คนนำหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าขาวไร้เครา เขาถือไม้เท้ามังกร เมื่อสบตากับเซินตงแห่งสำนักวิญญาณอสูรก็เหมือนมีแสงโลหิตวูบวาบอยู่

ด้านหลังชายวัยกลางคนมีคนยืนอยู่แปดคน ในแปดคนนั้นมีสตรีสามบุรุษห้า ทุกคนมีขั้นพลังไม่ธรรมดา มีปราณเซียนโอบล้อมรอบตัว มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเซียนผู้มาเยือน

กลุ่มคนนี้เป็นใจกลาง ส่วนคนสำนักซ่อนมังกรคนอื่นๆ กระจายตัวกันเป็นลักษณะพัด ทางซ้ายบุรุษสตรีรุ่นเยาว์สิบกว่าคน ทุกคนล้วนมีสีหน้าทะมึน อบอวลไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย

ในคนสำนักซ่อนมังกรทั้งหมด มีอยู่สองคนที่พอซูหมิงเห็นแล้วพลันมีสีหน้าใจลอย

นั่นคือผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างที่เจอคนแรกและสร้างความรู้สึกตื่นตะลึงในความทรงจำเขา กระทั่งจนถึงตอนนี้ยังจำได้อยู่ นั่นก็คือ…จ้าวหมานแห่งเผ่าร่องลม…จิงหนาน!

ทว่าตอนนี้จิงหนานเป็นชายวัยกลางคนไร้เคราตรงกลางสุดในกลุ่มสำนักซ่อนมังกร ดูจากจุดที่คนผู้นี้อยู่และความเคารพของคนโดยรอบที่มีต่อเขา ก็มองออกไม่ยากเลยว่ามีฐานะสูงยิ่งในสำนักซ่อนมังกร!

อีกทั้งขั้นพลัง….ซูหมิงยังเห็นระลอกคลื่นขั้นทรงอำนาจจากตัวเขา

“หนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักซ่อนมังกรจากตระกูลเซียนดั้งเดิม ลงมาเยือนและรับตำแหน่งจ้าวสำนักซ่อนมังกรบนแดนหมาน หลังจากขั้นพลังถูกระงับก็ยังมีพลังของขั้นทรงอำนาจสมบูรณ์อยู่…จิงหนาน!” เฉียนเฉินพลันกล่าวเสียงเบา

ซูหมิงเงียบงัน ผ่านไปพักหนึ่งก็มองคนที่สอง บุคคลในความทรงจำเขาคนนี้คือร่างหนึ่งในกลุ่มบุรุษสตรีรุ่นเยาว์

เฉินชงในความทรงจำ ชายร่างท้วมจากเผ่าร่องลมผู้ดูตลกขบขัน ทว่าพรสวรรค์สูงพอควร เป็นรองเยี่ยวั่ง แต่กลับมีภาพจำสลักลึกในใจซูหมิง

เขายืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน รูปร่างหน้าต่างไม่ต่างอะไรกับในความทรงจำ

“เฉินชงแห่งสำนักซ่อนมังกร….เล่าลือกันว่ามีพรสวรรค์น่าทึ่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของสำนักซ่อนมังกร เล่าขานกันว่าแม้สู้เยี่ยวั่งไม่ได้ ทว่าก็พอรับมือไหวอยู่ เพียงแต่…ได้ยินว่าเขามีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ชอบฝึกฝน….แต่สร้างมิตรสหายไว้เยอะ มีสหายสนิทอยู่ทั่ว” เฉียนเฉินมองตามสายตาซูหมิง แล้วกล่าวเสียงเบาอยู่ข้างๆ

เฉินชงตอนนี้อยู่กลางกลุ่มคน ถึงไม่ได้ยิ้มน้อยๆ เหมือนในความทรงจำ แต่จากความเย็นชาที่มองสำนักวิญญาณอสูรและยังมีสภาพแวดล้อมของคนรอบๆ ต่อตัวเขา จึงดูคล้ายกับเป็นดาวล้อมเดือน ทำให้ซูหมิงนึกถึงภาพตอนอยู่ใต้ภูเขาร่องลมในความทรงจำ ตอนนั้นตนอยู่ในกลุ่มคนเงียบๆ และมองเฉินชงถูกกลุ่มคนตามประจบสอพลอ

เขาในตอนนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ…เหมือนกับเขาในสำนักวิญญาณอสูรตอนนี้ ไม่มีอะไรน่าสนใจเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ ภาพในความทรงจำเหมือนหาจุดซ้อนทับกับภาพในตอนนี้จนพบ

ขณะเดียวกัน ยักษ์เจ็ดตนบนฟ้าก็เข้ามาใกล้ จากนั้นโยนยอดเขาในมือลงไปยังพื้นดิน ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แผ่นดินสั่นสะเทือน ยอดเขาเจ็ดลูกตกลงสู่พื้นโอบล้อมจุดที่ศิษย์สำนักซ่อนมังกรยึดครองเอาไว้ กลายเป็นเหมือนวงแหวนอาคมของภูเขาเจ็ดลูก!

จากนั้นยักษ์เจ็ดตนก็ลงมายังยอดเขาของตน นั่งยองอยู่ตรงนั้นพร้อมกับจ้องสำนักวิญญาณอสูรเขม็ง

ขุมพลังของฝั่งสำนักวิญญาณอสูร มังกรหยินสิบแปดตัวร้องคำราม คนจากสองสำนักเหมือนจะห้ามใจไม่ให้ทำสงครามกันไม่ไหวแล้ว

ทว่าทันใดนั้นเอง บนฟ้าอีกสองทิศทางของสำนักวิญญาณอสูรกับสำนักซ่อนมังกรมีเสียงลากยาวเข้ามาพร้อมกัน พบว่าทางสำนักซ่อนมังกรมีดาวตกสีน้ำเงินยักษ์เก้าลูกลากยาวผ่าอากาศมา ส่งผลให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน

ในเวลาเดียวกันทางสำนักวิญญาณอสูร บนฟ้ามีพายุหมุนเชื่อมติดกันสามลูกม้วนตลบฟ้าดินพร้อมกับตรงเข้ามา แม้สองอย่างนี้จะมาคนละทาง แต่ดาวตกกับพายุหมุนที่เข้าใกล้กันอย่างต่อเนื่องกลับไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม ยิ่งเข้าใกล้กันกลับยิ่งเร็วกว่าเดิม

ชั่วพริบตาเดียว ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่น เศษธุลีลอยฟุ้งกระจาย ท้องฟ้าถอดสี!

พายุหมุนกับดาวตกทำให้คนสำนักวิญญาณอสูรกับสำนักซ่อนมังกรเงยหน้าขึ้นมองทันที แทบจะเป็นช่วงที่คนจากสองฝ่ายมองขึ้นไป ดาวตกเก้าดวงพลันเข้าปะทะกับพายุหมุนสามลูกกลางอากาศตรงจุดมาเยือนของเซียน

เสียงโครมดังสนั่นหวั่นไหว เสียงสั่นสะเทือนแก้วหูของผู้คน บนฟ้าปรากฏระลอกคลื่นจำนวนมาก ทั้งยังระเบิดกระจายออกเป็นวงกว้าง ระลอกคลื่นเหล่านั้นทำให้ทั้งฟ้าบิดเบี้ยวประหนึ่งโลกจะพินาศลง

ท่ามกลางเสียงโครมครามกึกก้อง ดาวตกเก้าดวงกระเด็นถอยไปยังข้างๆ สำนักซ่อนมังกร แล้วตกลงสู่พื้นดินกลายเป็นผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นคน คนเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าเคร่ง ทั้งยังมีไม่น้อยที่พอตกถึงพื้นแล้วกระอักเลือด ผู้นำหน้าคนเหล่านี้ ซูหมิงเห็นว่าเป็นบรรพบุรุษเทียนหลัน!

มีเทียนหลันเมิ่ง เทียนหลันโยว และยังมีใบหน้าคุ้นตาในความทรงจำ อูลา!

ระหว่างที่สองฝ่ายปะทะกัน พายุหมุนสามลูกก็กระเด็นถอยแล้วหายไปกลางอากาศเช่นกัน ตอนที่ตกถึงพื้นก็กลายเป็นผู้ฝึกฌานเกือบหมื่น และก็มีไม่น้อยที่กระอักเลือด ทว่ากลับมีกลิ่นอายชั่วร้ายยิ่งกว่าแผ่มาจากตัวพวกเขา

สำนักธุลีอสูร!

สำนักเต๋าเทียนหลัน!

“ดาราเก้าดวงแห่งเทียนหลัน นี่คือวงแหวนอาคมที่มีชื่อเสียงของสำนักเต๋าเทียนหลัน กระทั่งใช้เก้าคนเป็นวงแหวนอาคม มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนเซียน สำนักนี้กับสำนักธุลีอสูรแห่งสำนักอสูรไม่ถูกกันมากที่สุด ต่อสู้กันอยู่ในแดนเซียนตลอด พอเจอหน้ากันเป็นต้องสังหาร!”

“สำนักธุลีอสูรมีพลังอำนาจโดยรวมเหมือนกับสำนักวิญญาณอสูร ทว่าคนสำนักนี้เชี่ยวชาญพลังของปฐพีมากกว่า ซึ่งต่างกับการใช้วิญญาณร้ายของสำนักวิญญาณอสูรโดยสิ้นเชิง….”

เฉียนเฉินอยู่ข้างซูหมิง แม้ในใจตึงเครียด ทว่ายังคงกล่าวอธิบายเสียงเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!