ตอนที่ 650 เงามืด
หากกลิ่นอายมรณะที่มากพอเซ่นไหว้อยู่กลางผนึกยมโลก จะแลกมาซึ่งพลังมรณะหยินบนโลกนี้หลายเท่า พลังมรณะหยินนี้จะปะทุเป็นอานุภาพที่แกร่งกว่าตอนเซินตงใช้
ตอนที่ซูหมิงศึกษาผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก สิ่งที่ตระหนักรู้มาจะมีแก่นต่างกับที่เซินตงมี ฉะนั้นอภินิหารวิชาที่เซินตงยังไม่อาจเข้าใจอย่างถ่องแท้นี้ เมื่ออยู่ในมือเขามันกลับระเบิดแสงสว่างพร่างพราวออกมา
‘สงครามของคนหนึ่งแสน…ในด้านจำนวนยังเทียบไม่เท่าสงครามหมานกับเชมัน ทว่าพลังของทุกคนที่นี่แข็งแกร่งกว่ามาก…เมื่อเป็นเช่นนั้น ถึงสองฝ่ายจะมีคนไม่มาก แต่ความเข้มข้นของกลิ่นอายมรณะกลับมากขึ้นเพราะพวกเขา!’ ซูหมิงเดินอยู่ในหมอกดำอย่างเนิบช้า ข้างหูได้ยินเสียงเข่นฆ่ากับเสียงตะโกน ทว่าเขาในเวลานี้ไม่ได้เลือดร้อนเหมือนในสงครามหมานและเชมันเมื่อปีนั้น ในใจตอนนี้เย็นเยียบ
เขาไม่มีเหตุผลต้องเลือดร้อน!
นี่คือสงครามภายในของเผ่าเซียน เป็นการต่อสู้แย่งชิงของสำนักอสูรกับสำนักเซียน ทว่าเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ผ่านมายังสนามรบเพราะมีเป้าหมายของตน
เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียวคือสังหารตี้เทียน รองจากเป้าหมายหลักนี้ก็คือสร้างเป้าหมายอื่นๆ เพื่อให้สำเร็จเป้าหมายหลัก เหมือนกับบันไดหอคอย ต้องวางเรียงเป็นชั้นๆ ถึงจะสร้างหอคอยสำเร็จได้!
‘จะใช้ผนึกยมโลกสำเร็จ อย่างน้อยที่นี่ต้องมีคนตายครึ่งหนึ่ง หากมากกว่านั้นจะดีที่สุด…’ นัยน์ตาซูหมิงแวววาว ภายใต้จิตสัมผัส เขาเห็นว่าจากการสั่งการของหญิงสาวอาภรณ์ขาวกับคำสั่งแผ่นหยกแต่ละแผ่น สามสำนักเซียนค่อยๆ กลับมามองเห็นอีกครั้ง แล้วพากันถอยเข้ามาปิดล้อมหญิงสาวอาภรณ์ขาว ค่อยๆ รวมขึ้นเป็นค่ายกลลักษณะสามวงแหวน
หนึ่งหน่วยเล็กจะมีอยู่เก้าคน เก้าหน่วยเล็กจะรวมเป็นหน่วยใหญ่ ทุกเก้าหน่วยใหญ่จะเป็นหนึ่งค่าย ฉะนั้นจึงออกมาเป็นหลายสิบค่ายอย่างเป็นระเบียบ ขณะกำลังถอยร่นไม่หยุดและสร้างขึ้นเป็นค่ายกลนั้น กลุ่มคนสำนักอสูรที่บุกเข้ามาเป็นเหมือนพยัคฆ์เจอกับเม่นหลายตัว ไม่อาจลงมือสังหารครั้งใหญ่เหมือนตอนแรกได้อีก
ในค่ายเหล่านั้นมีสิ่งที่มีบทบาทสำคัญคือหัวหน้าค่าย ตำแหน่งนี้จะเป็นผู้มีหน้าที่รับคำสั่งจากหญิงอาภรณ์ขาว จากนั้นก็ส่งต่อให้กับหน่วยใหญ่ แล้วส่งต่อให้หน่วยเล็กอีกทีหนึ่ง ทำให้สามสำนักแห่งเซียนเหมือนเป็นปึกแผ่นที่ไม่อาจแยกจากกัน แต่ต่อให้แยกกันก็จะแบ่งออกเป็นหลายสิบส่วน!
กลับกัน ภายใต้การนำของเซียนอสูรสวมเกราะดำสองหมื่นคน ทางฝั่งสำนักอสูรบุกทะลวงเข้าไปราวกับช่วงปลายของลูกธนูออกจากคันศร (ต้นแรงปลายแผ่ว) ด้วยการตั้งรับของสามสำนักเซียน พวกเขาจึงเริ่มเสียโอกาสในการโจมตีก่อนไป
นอกจากนี้แล้ว ผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจอย่างเซินตงและสือไห่ยังถูกผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจของสำนักเซียนปิดล้อมอยู่ในหมอก สองฝ่ายต่อสู้กันจนเกิดเสียงดังกระหึ่มไม่หยุด
แม้แต่เป่าชิวก็กำลังต่อสู้กับผู้ฝึกฌานขั้นเปลี่ยนวิญญาณของสำนักชุมนุมเซียน ไม่ยอมให้ผู้มีพลังสูงส่งเกินไปเข้าร่วมการบุกทะลวงของกองทัพใหญ่
สำนักเซียนก็เช่นเดียวกัน หลังจากถูกสำนักอสูรหมายหัวแล้วก็ถูกตรึงกำลังไว้
‘ตามปกติแล้ว ตอนนี้สองฝ่ายน่าจะเข้าสู่ช่วงไม่มีใครยอมใคร สองฝ่ายจะใช้ของวิเศษทรงพลังของตนบนพื้นฐานระดับเดียวกัน แล้วเริ่มช่วงชิงโอกาสโจมตีก่อนอีกครั้ง!’
ซูหมิงมองหมอกด้านบนเป็นบางครั้ง เมื่อมองออกไปก็ต้องจับตามองโลกภายนอกอย่างตื่นตัว เวลานี้ฟ้าไม่แจ่มใส แต่มีหมอกม่วงอยู่จางๆ หมอกม่วงไม่หนามากนัก ยังพอเห็นรางๆ ว่ามีร่างเงาสามคนตัดสลับกัน เสียงครึกโครมดังสนั่น กึกก้องฟ้าดิน
ด้านบนเหนือไปอีก ร่องรอยของคลื่นวงแหวนอาคมเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ คลับคล้ายว่าอีกไม่นานจะมีผู้มาเยือนรุ่นใหม่จากแดนเซียนมาถึง
‘รอนานขนาดนั้นไม่ไหว หากปล่อยให้สำนักอสูรกับสำนักเซียนลงมือตามแผนตน เช่นนั้นคนตายจะไม่มากพอ เวลาก็จะช้าลงไปอีก อีกทั้งวงแหวนอาคมด้านบนยังมีจุดที่แปลกอยู่’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย มองสำนักอสูรบุกทะลวงไปจนสุดแล้ว ตอนที่สองฝ่ายเหมือนจะถอย เขาพลันเดินหน้าหนึ่งก้าว ขยับวูบไหวอยู่ในหมอกดำดุจวิญญาณ พริบตาเดียวก็มาอยู่ข้างๆ ค่ายทหารที่กำลังวางกำลัง
ค่ายนี้มีคนหนึ่งพัน ปราณโลหิตมหาศาลรวมขึ้นจากคนสำนักเต๋าเทียนหลัน กลิ่นอายของการสังหารอบอวลอยู่โดยรอบ คนสำนักเต๋าเทียนหลันล้วนดวงตาวาววับ หัวหน้าหน่วยใหญ่ทุกคนในกลุ่มพวกเขามีพลังบรรลุถึงขั้นวิญญาณก่อกำเนิด ในนั้นมีหลายคนบรรลุถึงขั้นกล่อมเกลาจิต ส่วนผู้นำที่ถูกโอบล้อมไว้หลายชั้นเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกฌานขั้นเปลี่ยนวิญญาณ
ค่ายสำนักเซียนที่อยู่ใกล้ซูหมิงที่สุดตอนนี้กำลังถอยอย่างต่อเนื่อง ทุกคนพากันถอยไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีจิตใจเชื่อมถึงกัน เพื่อไปรวมตัวตรงจุดรวมค่ายกลทั้งหมด ตรงหน้าพวกเขามีศิษย์สำนักอสูรจำนวนมาก และยังมีคนเกราะดำอีกไม่น้อย ตอนนี้กำลังบุกโจมตีไม่หยุดด้วยความกระหายเลือดและบ้าคลั่ง
ซานเหิ่นอยู่ข้างหน้า ร่างกำยำปล่อยพละกำลังแก่กล้าออกมา คลื่นพลังกระจายออกเป็นวงกว้าง รอบตัวมีดาบสีดำเก้าเล่มวนเวียนอยู่คล้ายพายุหมุน เพียงแต่ว่า…แม้ค่ายกำลังพลหนึ่งพันคนนี้จะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง กลับไม่มีเค้าลางว่าจะแตกพ่ายแม้แต่น้อย ยังคงถอยไปตามหลัก ทำให้คนสำนักอสูรล้วนจนปัญญา เพราะอีกด้านหนึ่งของพวกเขาในตอนนี้ปรากฏอีกค่ายหนึ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้ามาอยู่ในหลุมพรางโดยไม่รู้ตัว
ภายใต้การจำยอม ศิษย์สำนักอสูรเหล่านี้ล้วนเกิดความคิดถอยหนี ซานเหิ่นมีนัยน์ตากระหายโลหิต พอแค่นเสียงหึแล้วก็เริ่มถอยไป
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตอนนี้คนที่ถอยไม่ใช่แค่พวกเขา แต่เป็นทั้งกองทัพใหญ่ของสำนักอสูรที่กำลังถอย ด้วยหมายมั่นจะทิ้งระยะห่างจากสำนักเซียน
เดิมทีเรื่องนี้อยู่ในแผนการของสำนักอสูรอยู่แล้ว พอตอนนี้ถอยจึงไม่ลดความเร็วลงเลย
ทว่าช่วงที่ซานเหิ่นเพิ่งคิดจะถอย กลับมีระลอกคลื่นหมอกพุ่งออกจากจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก ทันทีที่ระลอกคลื่นกระจายไปรอบๆ ในนั้นเหมือนมีร่างเงาคนผู้หนึ่ง ความเร็วของร่างนี้ราวดาวตก ตรงดิ่งไปยังค่ายหนึ่งพันคน
สองฝ่ายเข้าปะทะกันในพริบตา เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้า จิตใจแน่วแน่จากการรวมกันของคนพันคน เวลานี้มีท่าทีจะพินาศลงจากแรงปะทะของร่างเงานั้น ขณะเดียวกันร่างนั้นก็พุ่งเข้าไปในค่ายหนึ่งพันคน จุดที่ผ่านจะมีเสียงร้องโหยหวนดังมา โลหิตสาดกระจายไปรอบๆ ร่างเงานั้นก็คือซูหมิง!
ซูหมิงก้าวเดินสามก้าว แล้วพลันมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหัวหน้าหน่วยใหญ่คนหนึ่ง คนคนนี้เป็นผู้ฝึกฌานขั้นวิญญาณก่อกำเนิด เขาหรี่ตาลง ท่าทางดูหวาดกลัว เขารู้ดีว่าค่ายพันคนที่ตนอยู่นี้ หากไม่ใช่ผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจบุกเข้ามา ผู้ฝึกฌานต่ำกว่าขั้นนั้นก็ไม่มีทางทำได้
ทว่ายามนี้ผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจของสำนักอสูรล้วนกำลังต่อสู้กับคนระดับเดียวกับของสำนักเซียน ถ้าอย่างนั้นเหตุใดสำนักอสูรถึงมีผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจเพิ่มมาอีกหนึ่งคนอย่างกะทันหันเช่นนี้!
นี่คือผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฌานระดับอื่นจะเปรียบได้ การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุคคลนี้ กระทบถึงชีวิตของผู้ฝึกฌานที่มีขั้นพลังต่ำกว่าในสนามรบ!
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสใคร่ครวญถึงคำถามข้อนี้อีก ซูหมิงเข้าประชิดตัวคนผู้นี้อย่างไม่ลังเลแล้วยกมือขวาผ่านข้างกาย ตรงเข้าบีบคออีกฝ่าย หลังจากพาถอยไปสิบกว่าก้าวก็บีบคอหอยและบดขยี้วิญญาณแรก
ขณะเดียวกับที่คลายมือออก ซูหมิงขยับวูบไหวเดินหน้าไปยังหัวหน้าค่ายนี้ หรือก็คือชายชราขั้นเปลี่ยนวิญญาณ
ชายชราสวมเสื้อคลุมดำ เวลานี้เบิกตากว้างและฉายแววหวาดกลัวเช่นเดียวกัน เขาถอยหลังอย่างไม่ลังเล ความรู้สึกถึงภยันตรายเข้มข้นประดุจหนามปักลงกลางใจ ทำให้เขาตึงเครียดและมีอยู่ความคิดเดียวคือหนีให้เร็ว
ทว่าด้วยขั้นพลังและความเร็วของซูหมิง การหนีแบบนี้ช้าเกินไปจริงๆ ชายชราเสื้อคลุมดำเพิ่งถอยไปไม่ถึงสามก้าว ซูหมิงก็กลายเป็นสายรุ้งยาววูบผ่านข้างกายเขาไป โลหิตสดพุ่งฉีดดุจน้ำพุ ในมือซูหมิงถือศีรษะชายชราที่ลืมตาค้างเอาไว้
ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงครวญคราง มีเพียงความเงียบตะลึงงัน หัวหน้าค่ายถูกซูหมิงสังหารภายในเวลาอันสั้น และยังสังหารหัวหน้าหน่วยไปอีกหลายคน หลังจากเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ในหนึ่งพันคนก็มีผู้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
พร้อมกันนั้น พวกซานเหิ่นที่กำลังถอยอยู่ไม่ไกลก็อึ้งงันเช่นเดียวกัน ทว่าต่อมาพวกเขาก็ร้องคำรามด้วยความตื่นเต้น ทุกคนไม่ถอยอีก แต่บุกทะลวงเข้าไปกลางค่ายพันคนที่เกือบจะแตกพ่ายดุจดั่งเทพปีศาจชั่วร้าย
“ผู้เยาว์ซานเหิ่น ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ช่วย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นคนสำนักใดของสำนักอสูร?” ซานเหิ่นเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่งพลางเอ่ยประโยคนี้ออกไป แต่กลับไม่ได้รับคำตอบเพราะซูหมิงห่างไปไกลแล้ว
แผ่นดินถูกอบอวลไปด้วยหมอกดำ ร่างเงาซูหมิงคล้ายกับเทพเจ้าแห่งความตาย เขาห้อเหยียดบุกเข้าไปกลางค่ายจำนวนมากอย่างเด็ดเดี่ยว ใช้ความเร็วและพละกำลังสูงสุดสังหารหัวหน้าค่ายกับหัวหน้าหน่วยในค่ายจำนวนมากติดต่อกันเจ็ดถึงแปดค่าย
แม้เจ็ดแปดค่ายนี้ไม่ใช่ค่ายทั้งหมด แต่ก็ยังมีผลในสนามรบอย่างเด่นชัด ส่งผลให้สำนักอสูรที่กำลังร่นถอยหยุดชะงักแล้วพากันบุกทะลวงเข้ามาอีกครั้ง ค่ายที่แตกพ่ายเจ็ดแปดค่ายเหมือนกับช่องโหว่ของค่ายกลแห่งสำนักเซียน และตอนนี้ก็กำลังถูกฉีกแยกออกไม่หยุดหย่อน!
ซูหมิงไม่ได้เปิดช่องโหว่ของสำนักเซียนมากนัก เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ แต่เขาต้องการให้สองฝ่ายฆ่าฟันกันเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วถึงจะปรากฏกลิ่นอายมรณะจำนวนมากในเวลาอันสั้น และส่งผลให้ผนึกยมโลกบรรลุถึงระดับน่าสะพรึงกลัว!
มือซ้ายเขาในตอนนี้มีแสงดำโอบล้อม กลิ่นอายมรณะเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
“ฆ่ากันเถอะ….ยิ่งฆ่ากันมากเท่าไรยิ่งดี!” ซูหมิงพึมพำเสียงเบาแล้วพลันเงยหน้ามองไปทางสำนักเซียน เขาเห็นสายตาหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังมองตนด้วยความเย็นชา คนคนนี้ก็คือหญิงสาวอาภรณ์ขาวที่วางค่ายกลให้สำนักเซียน
“นางเห็นตำแหน่งข้าหรือ?” นัยน์ตาซูหมิงวาววับ