Skip to content

สู่วิถีอสุรา 651

ตอนที่ 651 อย่าล่วงเกินข้า!

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้!”

“ผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจของสำนักอสูร นอกจากสามอันดับสูงสุดแห่งสามสำนักชั้นล่างแล้วก็ยังมีอีกแปดคน…แต่แปดคนนั้นเป็นผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจตอนต้นเท่านั้น…ตามเบาะแสที่ได้มา ในนั้นมีคนหนึ่งตายในหุบเขาพันวารี ฉะนั้นผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจของสำนักอสูรจึงเหลือเพียงสิบคน!”

“สิบคนนี้พวกเราก็ส่งคนไปรับมือแล้ว อีกทั้งตอนนี้สิบคนนั้นยังอยู่ในแผนการ แล้วคนที่ปรากฏมาใหม่ผู้นี้เป็นใคร!”

ภายในปราการหลายชั้นทางสำนักเซียน ข้างกายหญิงอาภรณ์ขาวมีชายชรายืนอยู่หลายคน ชายชราเหล่านี้ล้วนมีสีหน้าตื่นตกใจ ทยอยกันเอ่ยขึ้น ถึงพวกเขาจะยืนอยู่ตรงนี้แต่กลับไม่มีใครเป็นผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจ อย่างมากสุดก็เป็นเพียงเปลี่ยนวิญญาณ ทว่าทุกคนล้วนมีจิตสัมผัสอยู่เหนือกว่าขีดจำกัดระดับพลังตัวเอง

ชายชราทั้งหมดสี่คนนี้เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่ แผ่ขยายจิตสัมผัสรวมไปยังหญิงสาวตรงกลาง ทว่าเวลานี้เพราะสนามรบเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งสี่คนจึงมีสีหน้าจริงจัง

“หรือว่าข่าวจะเป็นเท็จ ขั้นทรงอำนาจที่ว่าตายไปยังไม่ตาย!”

“มีเพียงคำอธิบายเดียว…”

“เขาเห็นข้าแล้ว…..” หญิงอาภรณ์ขาวมีสีหน้าเรียบนิ่ง มองหมอกดำที่ม้วนตลบอยู่ไกลๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงมีชีวิตชีวาราวกับไม่ใช่ของโลกใบนี้

“แจ้งสำนักซ่อนมังกร ส่งเซียนนับรบไปสังหารบุคคลนี้จะดีที่สุด หากสังหารไม่ได้ก็ต้องคุมขังเอาไว้!” หญิงอาภรณ์ขาวมีสีหน้าสงบนิ่ง

กล่าวจบก็ไม่รู้ว่าชายชราสี่คนแจ้งสำนักซ่อนมังกรอย่างไร หนึ่งในเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเจ็ดตนที่นั่งยองอยู่บนยอดเขาทางสำนักซ่อนมังกรดวงตาแวววาว ลุกขึ้นเดินหน้าหนึ่งก้าว พร้อมใช้มือขวาจับยอดเขาเอาไว้ ก่อนพุ่งทะยานเข้าไปในหมอกดำพร้อมกัน

หญิงอาภรณ์ขาวคลึงตรงระหว่างคิ้ว ไม่สนใจเรื่องนี้อีก ในสายตานางเป็นเพียงเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น ตอนนี้ส่งเซียนนักรบไปแล้วก็คงจะจัดการกับเหตุไม่คาดคิดนี้ได้

นางมองสนามรบ ปมคิ้วงามคลายออกเล็กน้อยแล้วสะบัดมือขวา ฉับพลันนั้นตรงหน้านางมีแผ่นหยกหลายสิบชิ้น หลังตีตราคำสั่งของนางลงไปแล้วก็ส่งกระจายออกไป

ซูหมิงกำลังถอยร่นอยู่ในหมอก ระหว่างทางก็หลบร่างศิษย์สำนักอสูรไปด้วย เขาหรี่ตาลงเพื่อปกปิดประกายวาวเย็นชาในดวงตา

‘หญิงสาวผู้นี้เห็นตำแหน่งข้า….เรื่องนี้ไม่ตรงตามแผนเล็กน้อย…ดูแล้วน่าจะเป็นหลังจากผสานรวมกับจิตสัมผัสของชายชรารอบตัวนาง ให้นางเป็นจุดรวม ฉะนั้นเลยเห็นข้า….’ นัยน์ตาซูหมิงมีจิตสังหารวูบผ่าน ตอนที่เอียงศีรษะมอง เขาเห็นเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวกระโดดลอยขึ้น แล้วเหยียบลงบนพื้นห่างจากไปหลายร้อยจั้งคล้อยหลังเสียงแผ่นดินระเบิดดังสนั่นกับแผ่นดินไหว

ขณะเดียวกันมีเสียงแหลมลากยาวตรงเข้ามา พบว่าช่วงที่เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวยักษ์กระโดดลงมา มันเอายอดเขาในมือขว้างใส่เขา

ยอดเขานี้ใหญ่หลายพันจั้ง เมื่อถูกโยนมาจึงเกิดเสียงน่าตะลึง ทำให้คนสำนักอสูรรอบๆ หน้าขาวซีด ก่อนพากันหลบอย่างร้อนรน ยอดเขาลูกนั้นทะลวงผ่านอยู่ในหมอก ทำให้หมอกกระจายออกรอบๆ เผยให้เห็นเป็นพื้นที่กว้างโล่ง!

ยอดเขามาพร้อมกับเสียงลากยาวแสบแก้วหูและแรงกดดันพิลึก วินาทีที่ปาใส่ซูหมิง ยักษ์ฟ้ากระจ่าวดาวเงยหน้าคำราม เสียงกึกๆ ทั่วตัวมันดังถี่ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ประหนึ่งว่าในร่างกายมีฟันเฟืองกำลังหมุนอยู่ ทำให้มันพลันก้าวเดินและพุ่งเข้าไปหาซูหมิง

ทุกก้าวของมัน แผ่นดินจะสั่นสะเทือน หมอกกระจายออกเป็นวงกว้าง กลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาลโชยเข้าไปหาเขา

ข้างบนมียอดเขาตกลงมา ตรงหน้ามีเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเข้ามาใกล้ ทว่าซูหมิงไม่หลบ เพียงยิ้มเยาะมุมปาก

กับแค่เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเล็กจ้อย อีกทั้งยังหลอมสร้างขึ้นบนแดนหมาน มีพลังเพียงขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ ตอนซูหมิงฟื้นพลังมาแปดส่วนก็สู้กับขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ที่อยู่ครึ่งก้าวขั้นวิญญาณหมาน ภายใต้การโคจรพลังทั้งหมด การจะสังหารขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์คนหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา!

เขาไม่เพียงแต่จะทำลายเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเท่านั้น แต่จะทำลายพลังที่หญิงอาภรณ์ขาวใช้ระบุตำแหน่งเขาด้วย มีแต่แบบนี้เท่านั้นเขาถึงจะอยู่ในเงามืด ไม่มีใครมองเห็นร่าง คลำหาไม่เจอร่องรอย

มีแต่แบบนี้ถึงจะตรงตามแผนการ!

แทบเป็นช่วงที่เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวเดินก้าวแรกและแผ่นดินสะเทือน ซูหมิงยกเท้าขวากระทืบพื้นอย่างแรง ทั้งตัวห้อเหยียดจากพื้นดินดุจดั่งสายรุ้งระเบิดจากพื้น พุ่งไปยังยอดเขาที่กำลังตกลงมาจากด้านบน

ด้วยความเร็วของเขา แทบชั่วพริบตาก็อยู่ห่างจากยอดเขาพันจั้งมหึมาไม่ถึงหลายสิบจั้ง แรงบีบอัดมหาศาลถาโถมใส่ตัวเขา ทว่าภายใต้การโคจรพลังทั่วร่าง แรงบีบอัดจึงสลายหายไปในทันใด

เขามีสีหน้าสงบนิ่ง พุ่งทะยานขึ้นไปพลางใช้มือซ้ายกดบนฟ้าทีหนึ่ง วินาทีที่กดมือลงไป ยอดเขาพันจั้งกดทับลงมาปะทะกับมือซ้ายเขา!

จังหวะที่ยอดเขาปะทะกับมือซ้าย ทั้งตัวเขาส่งเสียงโครมคราม ร่างพลันลดระดับลง แต่ก็ลดมาเพียงสามชุ่นเท่านั้น ก่อนจะแค่นเสียงหึเย็นชา แล้วส่งพลังบรรพบุรุษหมานโบราณออกจากมือซ้าย!

มรดกการฝึกฝนของเผ่าหมานมาจากเทพหมานรุ่นหนึ่ง ทว่าต้นกำเนิดหลังจากนั้นกลับมาจากสายเลือดบรรพบุรุษหมานโดยกำเนิดในยุคบรรพกาล! เทพหมานรุ่นหนึ่งช่วยให้เผ่าหมานหาวิธีปลุกสายเลือดในร่างกาย ให้เผ่าหมานไม่ตกต่ำและไม่ป่าเถื่อนอีก แต่มีการฝึกฝนเหมือนกับผู้ฝึกฌาน ด้วยเหตุนี้เผ่าหมานจึงรุ่งเรือง!

เผ่าหมานธรรมดาจะมีสายเลือดในร่างกายน้อยมาก หลังจากฝึกฝนถึงเซ่นไหว้กระดูกแล้วจะรวมออกมาเป็นกระดูกสันหลังของบรรพบุรุษหมาน นี่ก็มีความแกร่งและไม่ธรรมดาแล้ว

ทว่าซูหมิง กระดูกทั้งหมดในร่างกายหรือกระทั่งเลือดเนื้อยังพัฒนาเป็นหมาน กล่าวได้ว่าร่างกายเหมือนกับบรรพบุรุษหมานแห่งยุคบรรพกาล!

แม้แต่เทพหมานรุ่นหนึ่งตอนฝึกฝนถึงจุดนี้ยังทำไม่ได้ ตอนนี้เพียงยอดเขาเล็กๆ จะเอาอะไรมาบดขยี้ร่างเขา!

หลังจากซูหมิงปล่อยพลังบรรพบุรุษหมานผ่านมือซ้าย ยอดเขาลูกนั้นก็ถูกเขาจับเอาไว้ด้วยมือเดียว ซูหมิงที่อยู่ใต้ยอดเขาพันจั้งดูไม่เตะตาแม้แต่น้อย ทว่าเขาผู้ไม่เตะตาคนนี้ หลังจากยันยอดเขาด้วยมือซ้ายแล้วก็หมุนตัวเล็กน้อย ให้ยอดเขาเคลื่อนไปอยู่บนมือขวา จากนั้นก็โยนมันไปตรงหญิงอาภรณ์ขาวที่ถูกโอบล้อมเอาไว้หลายชั้น!

การโยนครั้งนี้สร้างเสียงลากยาวเล็กแหลมสะเทือนฟ้าดิน ยอดเขาตรงไปยังจุดที่หญิงอาภรณ์ขาวอยู่!

ภาพนี้น่าตะลึงอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ทันที่หญิงอาภรณ์ขาวจะได้ตั้งตัว ซูหมิงพลันก้มหน้าแล้วยิ้มเยาะมุมปาก นัยน์ตามีจิตสังหารวูบวาบ ก่อนลงมายังพื้นดิน

ด้วยความเร็วของเขาจึงลงมายังพื้นดินโดยที่คนอื่นมองเห็นไม่ชัดได้ แล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวที่กำลังก้าวเดินพร้อมกับร้องคำราม

หนึ่งหมัด!

การปรากฏตัวของซูหมิงประหนึ่งบีบเข้าไปอยู่ในอากาศตรงหน้าเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาว ครั้นปรากฏตัวขึ้น ช่วงที่ร่างกายยังเลือนรางก็ชกหมัดเข้าใส่ร่างเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวแล้ว

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในหมอกยังพากันอกสั่นขวัญหาย แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจ เพราะการต่อสู้ของสองฝ่ายจะแบ่งความสนใจไปไม่ได้

หนึ่งหมัดนี้ ประกายแววตาเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวพลันหายไป รอยร้าวปรากฏขึ้น แล้วลามไปอย่างรวดเร็วเริ่มจากหน้าอกตรงจุดที่ซูหมิงชก เพียงหนึ่งลมหายใจ เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวร่างใหญ่ยักษ์ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเลือดเนื้อกับฟันเฟืองจำนวนมากกระเด็นไปด้านหลัง

ระหว่างที่ร่างมันกระเด็นไป ร่างซูหมิงเพิ่งเผยตัวจากมวลอากาศอย่างสมบูรณ์ แล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว ภายใต้เสียงเล็กแหลมฉีกมวลอากาศ เขาทะลวงผ่านเศษเนื้อเซียนนักรบ ตรงขึ้นฟ้าไป

ซูหมิงรวดเร็วยิ่งนัก ทุกอย่างเมื่อครู่นี้กระทั่งยอดเขาที่ขว้างออกไปยังอยู่ในวงโคจรยังไม่ทันตกถึงพื้นด้วยซ้ำ!

เขาขยับวูบไหวไล่ตามยอดเขาพันจั้งไป ก่อนมายืนอยู่ตรงปลายยอดเขา ร่างเงาเขาในชั่ววินาทีนี้ทำให้คนมองมีสีหน้าอึ้งงัน

ร่างเงาอยู่ตรงกลางภูเขา อาภรณ์ยาวสะบัด เส้นผมยาวปลิวไสวตามแรงลม ทำให้เขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกล่องลอยอย่างบอกไม่ถูก!

น่าเสียดายในสนามรบกว้างใหญ่แห่งนี้ คนที่สังเกตเห็นซูหมิงมีไม่มาก โดยเฉพาะเมื่อที่นี่เต็มไปด้วยหมอก จิตสัมผัสยังติดขัดเล็กน้อย อีกทั้งยังเหมือนบดบังสายตาของผู้คน ทว่า…..ยังมีคนเห็นภาพนี้อยู่

หญิงอาภรณ์ขาวหรี่ม่านตา สีหน้าดูจริงจังอย่างพบเห็นได้ยาก กระทั่งลมหายใจยังหยุดค้างไปชั่ววินาที ชายชราสี่คนรอบตัวนางไม่อาจนั่งขัดสมาธิต่อได้อีก ต่างพากันยืนขึ้นมองฟ้าพลางสูดลมหายใจเข้า สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตระหนก

“หนึ่งหมัดสังหารเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาว!”

“บุคคลผู้นี้เป็นใคร!”

“สำนักอสูรมีผู้แข็งแกร่งระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน พวกเราไม่เห็นจะได้ข่าวเลย!”

นัยน์ตางามหญิงอาภรณ์ขาวเป็นประกาย ทันทีที่ยกมือขวาขึ้น ชายชราสี่คนข้างกายนางพลันใช้สองมือประสานสัญลักษณ์ จิตสัมผัสของสี่คนเชื่อมเข้าหากันก่อนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายหญิงสาว นางพลันลืมตา จิตสัมผัสขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าในทันใดและยังดูสมจริง จากนั้นตรงไปยังยอดเขากับซูหมิงที่ยืนอยู่ตรงปลายยอดเขา

เสียงระเบิดดังสนั่นกลายเป็นวงคลื่นเสียงนับไม่ถ้วน หลังจากยอดเขาปะทะกับจิตสัมผัสแก่กล้าของหญิงสาว ยอดเขาพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษหินจำนวนมากกระจายออก ชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้คนตาลายเห็นคล้ายกับธิดาสวรรค์โปรยดอกไม้

หลังจากขวางซูหมิงแล้ว หญิงอาภรณ์ขาวมีสีหน้าเหนื่อยล้า ทว่าต่อมาก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

“ไม่ถูกต้อง!” ยอดเขาพังง่ายเกินไป ในใจหญิงสาวสั่นไหวก่อนหันหลังไปมอง นางเห็นว่ายามนี้ด้านหลังสองในสี่ชายชรามีร่างเงาขยับวูบไหวเข้ามา จากนั้นศีรษะกับร่างกายชายชราสองคนแยกจากกัน ในแววตาศีรษะที่ลอยขึ้นยังคงสับสนอยู่

เดิมทีร่างเงานั้นจะหายไป แต่เวลานี้กลับหยุดชะงัก เขาหันมองหญิงอาภรณ์ขาวแล้วอ้าปาก ริมฝีปากขยับ แต่กลับไม่มีเสียงหรือจิตสื่อสารออกมา

“เขาไม่ได้มาสังหารข้า แต่จะทำลายกำลังเสริมอภินิหารที่ใช้ระบุตัวเขา….”

หญิงสาวอาภรณ์ขาวหน้าซีด ร่างซวนเซถอยไปหลายก้าว เห็นๆ อยู่ว่ารอบตัวนางมีผู้ฝึกฌานสำนักเซียนโอบล้อมอยู่หลายชั้น แต่พวกเขากลับไม่สังเกตเห็นอะไรเลย นี่ทำให้นางเกิดความรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วร่างทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคน

“อย่าล่วงเกินข้าอย่างนั้นรึ…” หญิงสาวกัดริมฝีปาก ช่วงที่ซูหมิงจากไป นางอ่านคำพูดไร้เสียงจากริมฝีปากออก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!