Skip to content

สู่วิถีอสุรา 653

ตอนที่ 653 ร่องรอยของศิษย์พี่ใหญ่

เมื่อพลังคำสาปแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง รอบๆ มีศิษย์สำนักอสูรไม่น้อยต่างมีจุดดำปรากฏบนตัว ชั่วขณะที่อยู่ในความตื่นตระหนก ซูหมิงก็ออกห่างไปไกลแล้ว

ในมือเขามีร่างคนซึ่งกำลังเปลี่ยนเป็นสีดำทึบอย่างรวดเร็วเพิ่มมาสองคน จุดที่ผ่านล้วนเงียบเชียบ ทว่าครู่ต่อมามีเสียงระเบิดตัวเองสองเสียงดังสนั่น กลิ่นอายคำสาปตรงนี้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

คำสาปนี้ส่งผลไม่เร็วนัก แต่กลับน่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าใครก็ตาม หลังจากมีจุดดำปรากฏบนตัวจำนวนมาก อีกทั้งยังได้กลิ่นหอมกับกลิ่นชวนอาเจียนอยู่ด้วยกัน ก็จะรู้สึกว่าจุดดำลุกลามไปอย่างต่อเนื่องและเน่าเปื่อย ทั้งยังสร้างความหวาดกลัวตรงส่วนลึกของจิตใจ

ความหวาดกลัวนี้แผ่ขยายออกไป จนผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงบุกทะลวงอยู่ในกองทัพสำนักอสูรและปั่นป่วนอยู่ในนั้น ทำให้กองกำลังบุกโจมตีของสำนักอสูรเกิดความวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ

ความปั่นป่วนนี้เป็นที่สังเกตเห็นของสำนักเซียนทันที กระทั่งผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจที่กำลังต่อสู้กันอยู่ยังสัมผัสได้ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่มีเวลาปลีกตัวออกมา เพราะตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นตาย จึงสนใจได้ไม่มากนัก

หญิงอาภรณ์ขาวในสำนักเซียนตาเป็นประกาย นางมองออกทันทีว่าความวุ่นวายนี้คือโอกาสอันดีงาม จึงยกมือขวาขึ้นเตรียมจะออกคำสั่งแต่กลับหยุดชะงักทันใด

นางลังเลอย่างยิ่ง ความปั่นป่วนนี้สร้างขึ้นจากฝีมือมนุษย์ ทว่าเป็นใครกันแน่ที่สร้างโอกาสนี้ให้กับสำนักเซียน…คนแรกที่ปรากฏขึ้นในความคิดคือร่างของซูหมิง เพียงแต่เดิมทีหญิงอาภรณ์ขาวเข้าใจว่าซูหมิงเป็นคนสำนักอสูร แต่เพราะตนมีชีวิตอยู่ นางจึงเกิดการคาดเดาอื่นๆ เกี่ยวกับซูหมิง

เวลานี้เห็นความวุ่นวายของสำนักอสูร ด้วยความฉลาดด้านบัญชาการของนาง เหตุใดจะมองไม่ออก

นางถอนหายใจเบาๆ ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจสร้างเรื่องขึ้น ทว่าก็ยังคว้าโอกาสเอาไว้ นางในตอนนี้ไม่ลังเลอีก สะบัดมือปล่อยแผ่นหยกสิบกว่าแผ่นลอยออกไป

“เซียนนับรบฟ้ากระจ่างดาวหกตนของสำนักซ่อนมังกรจงเคลื่อนพล อาศัยความวุ่นวายนี้พลิกสภานการณ์!” แผ่นหยกแผ่นหนึ่งจากหญิงอาภรณ์ขาวลอยไปทางสำนักซ่อนมังกร เฉินชงที่ยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่คว้าเอาไว้ ดวงตาเขาแวววาวก่อนยกมือซ้ายทำสัญลักษณ์มือ พลันมีเสียงครึกโครมดังก้อง เซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวหกตนของสำนักซ่อนมังกรล้วนเงยหน้าอยู่บนยอดเขาของตนแล้วเปล่งเสียงคำราม

จากนั้นยักษ์หกตนพากันบินขึ้น ยอดเขายักษ์หกลูกก็ลอยขึ้นเช่นกัน แล้วตามอยู่ด้านหลังเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวหกตนนั้น

เสียงระเบิดดังต่อเนื่องกันหกครั้ง แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ยอดเขาหกลูกตรงเข้าใส่กองกำลังสำนักอสูร แรงบีบอัดจากยอดเขาทำให้คนที่ถูกพวกมันปกคลุมล้วนเหมือนถูกมัดร่างเอาไว้ ไม่อาจหลบหลีก ทำได้เพียงกรีดร้องก่อนร่างจะแหลกเป็นเศษเนื้อ

แผ่นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง ยักษ์ฟ้ากระจ่างดาวหกตนลดระดับลงมาจากบนฟ้า พร้อมกันนั้นกลิ่นอายคาวเลือดชั่วร้ายแผ่กระจายมาจากตัวพวกมันในทันที ยักษ์ฟ้ากระจ่างดาวหกตนดวงตาแดงก่ำ ร้องคำรามพร้อมกับพุ่งออกไปคนละทาง จุดที่ผ่านไปศิษย์สำนักอสูรจะไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ภายใต้ความบ้าคลั่งของพวกมัน ศิษย์เหล่านี้ไม่ได้ถูกชนจนร่างแหลกละเอียด แต่ถูกพวกมันใช้มือใหญ่จับแล้วฉีกร่างออก บ้างก็ปาไปข้างหน้าอย่างแรง

“สังหารเถอะ ยิ่งฆ่ามากเท่าไร ผนึกยมโลกของข้าจะยิ่งแกร่งมากเท่านั้น…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขามองผนึกสีดำตรงมือซ้ายตนแวบหนึ่ง ผนึกในยามนี้เปล่งแสงพิลึกดูแล้วประหลาดยิ่งนัก จากนั้นก็มองในมือขวาของตน

ตรงนั้นปรากฏสีดำอยู่กลุ่มหนึ่ง ส่งกลิ่นหอมหวน มันก็คือวิชาคำสาป

วิชาคำสาปนี้ซูหมิงคิดค้นขึ้นเฉพาะหน้า คือการอาศัยร่างกายจากเลือดเนื้อเกือบแสนมาบ่มเพาะให้คำสาปน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ

ภายในหมอกบนพื้นดิน เซียนนักรบฟ้ากระจ่าวดาวหกตนอาศัยจังหวะที่สำนักอสูรเกิดความวุ่นวายโจมตีสวนกลับ หลังจากสำนักเซียนกระจายคำสั่งออกไป ค่ายของสำนักเซียนก็ไม่ถอยอีก แต่ร้องตะโกนพร้อมกับกลายเป็นสายรุ้งยาวในหมอก ใช้อภินิหารและของวิเศษต่างๆ บุกโจมตีสำนักอสูรที่สถานการณ์เลวร้ายลง

เวลานี้ เสียงอึกทึกจากวิชาและอภินิหารดังสนั่นอยู่ในหมอกควัน ระลอกคลื่นพลังวิญญาณฟ้าดินกระจายออกไม่หยุดหย่อน ทว่ากลับยังไม่อาจทำให้หมอกเกิดเค้าลางจะหายไป

ซูหมิงไม่สนใจสนามรบอีก เขาบินไปตรงริมของหมอก ยืนอยู่กลางอากาศแล้วเงยหน้ามองข้างบน บนฟ้าเวลานี้มีเมฆหมอกหมุนตลบ ร่างเงาสามคนในนั้นกำลังใช้อภินิหารเป็นชุดๆ ระลอกคลื่นกระจายออกรอบฟ้าประหนึ่งจะถล่มทลาย มองไปให้ความรู้สึกน่าตะลึงยิ่งนัก

แต่ทั้งท้องฟ้ากลับมีอยู่สองจุดที่พอระลอกคลื่นกับแรงปะทะเข้าใกล้กันแล้วจะสลายไปเองทันที ตรงนั้นคือน้ำวนสองจุดที่มีร่องรอยปรากฏให้เห็นรางๆ!

น้ำวนสองจุดนี้กำลังหมุนวนอย่างช้าๆ ชั่ววินาทีที่มองน้ำวนพวกนั้น ซูหมิงมีความรู้สึกเด่นชัดว่าน้ำวนสองจุดนี้มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นจุดมาเยือนของเซียน!

ช่วงที่เบนสายตาจากน้ำวนไปมองร่างสามคนซึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ในหมอกอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าร่างแยกสองตนของตี้เทียน หนึ่งกำลังใช้วิชาเสริมท้องฟ้า อีกหนึ่งใช้หยางแห่งการอาบน้ำตะวัน อภินิหารสองอย่างนี้ใช้จากสองร่างแยก ส่งผลให้ฟ้าดินถอดสี เขาจึงหรี่ตาลง

ซูหมิงมองเด็กหนุ่มเสื้อคลุมดำหรือร่างอาคมของจี๋อั้นอีกครั้ง บุคคลนี้ยังคงถือพัดในมือ มองไม่เห็นอารมณ์สีหน้า เห็นเพียงสะบัดแขนเสื้อ ตรงหน้าก็เหมือนปรากฏใบหน้าภูตผียักษ์ในทันที ใบหน้าภูตผีนั้นใหญ่พันจั้ง ดูดุร้ายอย่างยิ่ง มันอ้าปากกว้างเขมือบเหมือนจะกินโลกได้ทั้งใบ

ทำให้เวลานี้ซูหมิงหรี่ตาลงมอง

ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงจึงหลับตาลงระงับอารมณ์ชั่ววูบในการลงมือไป จนกระทั่งลืมตาอีกครั้ง เขามองร่างแยกสองตนของตี้เทียนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เขารู้ดีว่าเรื่องนี้ตนจะรีบร้อนไม่ได้ ต้องรอให้ผนึกยมโลกกับวิชาคำสาปแข็งแกร่งขึ้นจากการเข่นฆ่ากันของสองฝ่ายก่อน เมื่อนั้นถึงจะเป็นช่วงเวลาลงมืออย่างแท้จริง

อีกทั้งตอนนี้ยังไม่เหมาะจะซุ่มโจมตี เพียงแค่เขาออกจากหมอกบนพื้นดิน จี๋อั้นกับตี้เทียนบนฟ้าก็จะสังเกตเห็น และที่สำคัญที่สุดคือ…

‘พวกเขาเพิ่งเริ่มสู้กัน สองฝ่ายยังไม่มีเพลิงโทสะ…..และยังไม่บาดเจ็บ!’ ซูหมิงระงับอารมณ์ชั่ววูบในใจไว้ เขารู้ว่าครั้งนี้จะเผยตัวง่ายๆ มิได้ ต้องอำพรางตัวตลอด จนถึงช่วงระเบิดค่อยลงมือสังหาร!

“ผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก วิชาคำสาปนี้คือของขวัญมรณะชิ้นแรกที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าตี้เทียน….” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ส่วนลึกในใจเขายังมีของขวัญมรณะอีกหลายชิ้น จนกระทั่งสุดท้ายจะพรากชีวิตของตี้เทียน ใช้มันฝังร่างจักรพรรดิ!

เวลานี้มีเสียงกระหึ่มดังแว่วผ่านหมอกมาจากพื้นดิน เข้ามาขัดความคิดซูหมิงจนเขาต้องมองตามไป

เห็นเพียงว่าในหมอกบนพื้นดิน ยักษ์ฟ้ากระจ่างดาวหกตนตอนนี้เหลือเพียงสาม!

ยอดเขายักษ์หกลูกพินาศย่อยยับไปทีละลูก เสียงอึกทึกที่ดังแว่วมาเมื่อครู่นี้ก็คือเสียงยอดเขายักษ์หกลูกระเบิด มิหนำซ้ำสิ่งที่ทำลายยอดเขาหกลูกและสังหารยักษ์ฟ้ากระจ่างดาวสามตนนั้นก็คือมังกรหยินสิบแปดตัวในหมอกจากฝั่งสำนักวิญญาณอสูร!

เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกมันไม่ใช่สิบแปดตัวอีก แต่เหลือเพียงเก้าตัวเท่านั้น

มังกรหยินเก้าตัวร้องคำรามพร้อมกับสะบัดไปมาในหมอก ตอนนี้กำลังพุ่งไปหาเซียนนักรบฟ้ากระจ่างดาวสามตนที่เหลือ

นอกจากนี้ ศิษย์สำนักอสูรส่วนใหญ่ฟื้นสติกลับจากความวุ่นวายแล้ว คนที่บาดเจ็บเหล่านั้นถูกส่งไปด้านหลังโดยมีเซียนอสูรเกราะดำเปิดทางให้ สำนักกระหายอสูรอยู่ตรงกลาง สำนักธุลีอสูรอยู่ทางซ้าย และสำนักวิญญาณอสูรอยู่ทางขวา

เปิดฉากสังหารกับคนสำนักเซียนบนแผ่นดินจุดมาเยือนของเซียน

ซูหมิงเห็นเฉินชง ซานเหิ่น ปี้ซู่ เป่ยหลิง และเฉินซินกำลังต่อสู้อยู่ตรงจุดต่างกันในหมอก! ยังมีสองพี่น้องเทียนหลันเมิ่งและโยว รวมถึงหญิงสาวนามอูลาหรืออู่เล่อก็อยู่ในหมอกด้วยเช่นกัน หลังมีเสียงระเบิดดังมาจากสองฝ่าย ทุกคนก็ต่างแสดงความสามารถอันโดดเด่นของตน

พวกเขาคือโอรสสวรรค์ เป็นโอรสสวรรค์ของแต่ละสำนัก ยามนี้ทุกคนมีประกายแสงเหมือนกันในกลุ่มคน เพียงมองแวบเดียวก็รู้ถึงความโดดเด่นได้

บ้างเชี่ยวชาญวงแหวนอาคม บ้างเชี่ยวชาญอภินิหาร บ้างเชี่ยวชาญผนึก บ้างเชี่ยวชาญวิชาน่าตะลึง ทั้งยังมีบางคนเชี่ยวชาญการป้องกัน พวกเขามีหลากหลายความสามารถ สิ่งที่ซูหมิงเห็นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น!

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ซูหมิงยังเห็นว่าบนฟ้าตรงจุดที่ใกล้กับด้านหน้าในกลุ่มผู้ฝึกฌานเกราะดำแห่งสำนักเซียนอสูร มีคนสวมเกราะดำอยู่คนหนึ่งชกหมัดลงพื้นทำให้ผิวดินสั่นสะเทือน เศษดินระเบิดออกแล้วรวมกันเป็นกระบี่ดินหลายเล่มกลางอากาศ จากนั้นตรงไปทางสำนักเซียน

ผู้ฝึกฌานเกราะดำคนนี้เงยหน้าคำรามอย่างดุร้าย ทั้งยังดึงหมวกของตนออก เผยเส้นผมยาวสีดำพลิ้วไหว เขาเป็นบุรุษคนหนึ่งที่คล้ายกับปี้ซู่แห่งสำนักกระหายอสูรยิ่งนัก ทว่าเค้าโครงใบหน้ากลับเป็นชายหนุ่ม เขาก็คือ….ปี้ซู่พี่ชายนางที่มีหน้าตาเหมือนกับในความทรงจำของซูหมิง!

หรือก็คือปี้ซู่แห่งสำนักเซียนอสูรที่เฉียนเฉินเอ่ยถึงก่อนหน้านี้!

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะสิ่งที่สร้างความขมฝาดให้กับซูหมิงขณะเงียบงันคือในกลุ่มผู้ฝึกฌานเกราะดำ เขาเห็นชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ทางซ้ายของปี้ซู่หนุ่ม ลักษณะหน้าตาของชายชราคนนั้น ซูหมิงไม่มีวันลืมได้…เขาคือหนานซง

และยังมีหญิงชราทางขวาของปี้ซู่ ซูหมิงจำได้ว่า…เป็นยายของไป๋หลิงหรือจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬ เล่อสั่ว!

‘จริงก็ดี…..ปลอมก็ดี…’ ซูหมิงหลับตาสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนที่ลืมตาอีกครั้งเขาระงับคลื่นอารมณ์ในใจเอาไว้ ทันใดนั้นเอง ทางสำนักเซียนบนพื้นดินก็ส่งเสียงลั่นก้องสนามรบ

“เชิญศพนักรบเทียนหลัน!” วินาทีที่เสียงนั้นดังก้องสนามรบ ทางสำนักเต๋าเทียนหลันฝ่ายสำนักเซียนมีดาวตกเก้าดวงตกลงมาสู่สนามรบพร้อมกับเสียงกัมปนาท ด้วยความเร็วของมัน พริบตาเดียวก็เข้าใกล้สนามรบบนพื้นดิน ภายใต้เสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลังจากดาวตกเก้าดวงหายไปก็ปรากฏเป็น…

ร่างเกือบร้อยบนพื้นดิน!

ร่างเก้าสิบเก้าคนล้วนมีกลิ่นอายพลังเชมันเด่นชัด ในนั้นมีอยู่คนหนึ่ง ตอนที่ซูหมิงเห็นก็มีเสียงสายฟ้าเก้าสวรรค์ระเบิดดังขึ้นในความคิด!

ร่างนั้น…คือชายร่างกำยำหัวโล้น ทาสของศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยร่วมรบกับซูหมิงตอนบุกเผ่าแดนภูตนอกสำนักเหมันต์สวรรค์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!