Skip to content

สู่วิถีอสุรา 665

ตอนที่ 665 วันนี้

ทางเหนือของแผ่นดินรกร้างบูรพา ณ สำนักเวไนยสัตว์หนึ่งในสี่ขุมอำนาจใหญ่ที่รวมขึ้นจากยี่สิบชนเผ่าบนแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพามาร่วมหมื่นปี เวลานี้ชายชราขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์แห่งสำนักเวไนยสัตว์ที่เคยประมือกับซูหมิงตัวสั่น ยืนอยู่บนน่านฟ้าสำนัก เบื้องล่างเป็นชาวเผ่าหมานหลายหมื่นคนกำลังคุกเข่าคารวะ แต่ละคนล้วนมีสีหน้าตื่นเต้นและเฝ้ารอคอยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ชายชรายืนอยู่กลางอากาศมองฟ้าบิดเบี้ยว ก่อนเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง หัวเราะไปหัวเราะมาจู่ๆ น้ำตาก็รินไหลด้วยความตื่นเต้น

“สายเลือดเผาไหม้ เทพหมานถือกำเนิด เผ่าหมานเรา…มีหวังแล้ว! ผู้นำทุกเผ่าแห่งสำนักเวไนยสัตว์ตามข้าเทียนฉี่…ไปเข้าคารวะเทพหมานรุ่นสี่!”

“ถึงเวลาโต้กลับของเผ่าหมานแล้ว!” ชายชรานามเทียนฉี่หัวเราะราวคนเสียสติ เหมือนรอคอยวันนี้มานานยิ่ง จนในที่สุดก็มีวันนี้ตามคำเล่าขาน!

คนจากยี่สิบชนเผ่าแห่งสำนักเวไนยสัตว์เบื้องล่างยามนี้ร้องตะโกนเสียงดังสะเทือนฟ้า เสียงตะโกนนี้คือเสียงแห่งความฮึกเหิม คือเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง และเป็นเสียงหนึ่งเดียวกันของเผ่าหมานข้างล่างที่สายเลือดเผาไหม้

สายรุ้งยาวพลันบินขึ้นจำนวนมาก ภายใต้การนำของชายชราสำนักเวไนยสัตว์ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ สายรุ้งนับไม่ถ้วนเหล่านี้เข้ามาคลุมไปมากกว่าครึ่งฟ้า เสียงลากยาวดังกระหึ่มจากคนเกือบหมื่นบินผ่านฟ้า

ทิศทางของพวกเขามาจากการนำทางของสายเลือด และเป็นความรู้สึกบางอย่างที่บ่งบอกว่าซูหมิงอยู่ไกลจากที่นี่เพียงใด!

ไม่ต้องรู้ทิศทางโดยละเอียด เพียงแค่ไปตามโลหิตเดือดพล่านก็พอ เพราะยิ่งเข้าไปใกล้โลหิตจะเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และจะรู้ทันทีว่า…..นี่คือทางที่ถูกต้องที่สุด

แทบเป็นขณะเดียวกับที่ชายชราพาคนสำนักเวไนยสัตว์ห้อเหยียดเข้าไปไกล้เรื่อยๆ อีกด้านหนึ่งของแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพา บริเวณนี้เป็นป่าทึบกว้างไกลไร้ขอบเขต มีหมอกพิษอบอวลอยู่รอบๆ จึงทำให้ที่นี่เป็นเหมือนแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิต ต่อให้เป็นเซียน ถึงรู้ว่าที่นี่มีสำนักของเผ่าหมานอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะไม่กล้าเข้ามา

เผ่าหมานที่อยู่ที่นี่คือเผ่าเขี้ยวหมานและพันธมิตรรวมจากเผ่าเล็กเกือบร้อยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขุมอำนาจใหญ่เคียงข้างสำนักเวไนยสัตว์ พวกเขาไม่ชอบออกจากป่าทึบ

คล้ายว่าพวกเขาตัดขาดจากโลกภายนอก เผ่าเซียนก็ไม่เข้ามารุกราน พวกเขาเลยไม่ล่วงเกินเผ่าเซียนก่อน อีกอย่างคือป่านี้คือเส้นตายสุดท้ายของพวกเขา

ภายในป่าทึบไม่มีควันดำลอยโชย แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ จ้าวหมานเผ่าเขี้ยวหมานเองก็เป็นที่รู้จักกันดีในแผ่นดินรกร้างบูรพาว่าทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์เมื่อหลายปีก่อน

เวลานี้ภายในหมอกพิษของป่าทึบอันเงียบสงบมีต้นไม้ขยับไปมาจำนวนมาก บนต้นไม้เหล่านั้นมีใบหน้าคนอยู่ ซึ่งใบหน้าเหล่านี้ล้วนมีสภาพอารมณ์เหมือนกันคือตื่นตะลึงและสับสน สับสนที่ว่าคือรู้สึกถึงการแผดเผาของสายเลือด

และยังมีในบึงน้ำนับไม่ถ้วนบนพื้นดิน ตอนนี้มีร่างเงาคนลอยขึ้นจำนวนมาก และมีสีหน้าเหมือนกัน สับสนเหมือนกัน การแผดเผาของสายเลือดสร้างความตื่นตะลึงให้กับชาวเผ่าเขี้ยวหมานทุกคน

ณ ส่วนลึกของป่าทึบ เวลานี้บนพื้นดินกว้างโล่งมีชายชราสวมเสื้อหนังสัตว์ยืนอยู่คนหนึ่ง ด้านหลังชายชรามีคนคุกเข่าอยู่เจ็ดแปดคน ทุกคนล้วนแผ่กลิ่นอายขั้นพลังวิญญาณหมานแก่กล้า กระทั่งหากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าป่าทึบมีกลิ่นอายพลังคล้ายๆ กันอยู่อีกมาก

ทว่าตอนนี้กลิ่นอายพลังล้วนปั่นป่วน ราวกับว่าจิตใจพวกเขาไม่สงบนิ่ง แววตาฮึกเหิมเหล่านั้นขยับวูบไหวพลางมองชายชราเสื้อคลุมหนังที่ยืนอยู่เพียงลำพังเหมือนกำลังการตัดสินใจอยู่

ชายชราสวมหนังสัตว์สีหน้าเปลี่ยนตลอดไม่มั่นคง เขาเงยหน้าจ้องฟ้า นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นเป็นบางครั้ง บ้างก็ลังเล เขารู้สึกถึงการเผาไหม้ของสายเลือดในร่างกาย รู้สึกถึงการเรียกหาจากที่ใดแห่งหนึ่ง

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่…” ผ่านไปพักใหญ่ชายชราก็กล่าวเนิบช้า โดยรอบไม่มีใครกล่าวอะไร มีเพียงลมหายใจหนักหน่วงแฝงไว้ด้วยความปรารถนา

“ข้าเองก็รู้สึกว่าสายเลือดแผดเผาเช่นกัน นี่คือสัญญาณการถือกำเนิดเทพหมาน…ทว่าการเผาสายเลือดนี้…..อ่อนเกินไป” ชายชราสวมเสื้อคลุมหนังถอนหายใจเบาแล้วส่ายศีรษะ

เขาไม่กล้าเดิมพัน

ในเวลาเดียวกัน ณ เผ่าใหญ่ของแดนรกร้างบูรพาซึ่งแบ่งเป็นสองพื้นที่ใหญ่ในภาคตะวันตกและภาคใต้ของดินแดน ตอนนี้ภายใต้การบุกรุกของเผ่าเซียนจึงต้องซ่อนตัว

หนึ่งซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน ใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำภูเขาไฟ ได้แต่คับอกคับใจและโกรธแค้น ไม่กล้าขึ้นมาบนพื้นดิน เพราะหากปรากฏตัวพวกเขาจะต้องถูกเผ่าเซียนล้อมปราบ และยังมีอีกจุดหนึ่งซ่อนอยู่ในเทือกเขาไร้พรมแดน ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน มีเพียงวันพรุ่งนี้ที่หมดหวัง

เสียงคำรามด้วยความฮึกเหิมดังก้องกังวานอยู่ในส่วนลึกของพื้นดินอันเป็นที่อยู่ของเผ่ารกร้างบูรพาทางใต้ พื้นดินในเขตนี้เกิดรอยแยกลึกๆ หลายจุดอย่างเนื่องด้วยเสียงดังสนั่น จากนั้นก็มีแสงหลากสีลอดผ่านรอยแยกออกมา มันคือเทวรูปหมานรูปหนึ่ง….

ด้านหลังเทวรูปหมานเป็นชายชราซูบผอม เขาพลันพุ่งออกไปยืนอยู่กลางอากาศแล้วเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะนี้คลับคล้ายอยากจะระเบิดความแค้นของเขากับชนเผ่าในช่วงหลายปีมานี้ออกมาให้หมด

“ความหวังของเผ่าใหญ่เมฆายักษ์ของข้ามาถึงแล้ว…สายเลือดแผดเผา เทพหมานถือกำเนิด ชาวเผ่าเมฆายักษ์ทุกคน พวกเราจะซ่อนตัวไปจนถึงเมื่อไร….” ชายชราซูบผอมตะโกนไปยังพื้นดินดุจคนเสียสติ

“ข้าเซวี่ยซา จ้าวหมานเผ่าเมฆายักษ์ เดิมทีสิ้นหวังต่อโลก ทว่าตอนนี้…เผ่าหมานของเราปรากฏแสงตะวันแรกอรุณแล้ว ต่อให้เผ่าเราถูกทำลายจนสิ้นมันก็ยังดีกว่าตอนนี้! ชาวเผ่าทุกคน ตามข้าไปเข้าคารวะเทพหมานรุ่นสี่!” ชายชราซูบผอมขยับวูบไหวพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังออกมาจากรอยแยก จากนั้นก็มีสายรุ้งยาวหลายสายบินออกมาอย่างรวดเร็ว ในสายรุ้งยาวเหล่านั้นล้วนเป็นคนรูปร่างซูบผอมดุจโครงกระดูก เห็นได้ชัดว่าหลังซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ชีวิตของพวกเขาลำบากยิ่งนัก

พวกเขาไม่มีอะไรให้เสียแล้ว ฉะนั้นจึงขอเดิมพันเพื่อเกียรติยศ!

เพียงแต่ว่าบางทีการซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาอาจมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีว่าซ่อนอยู่ในส่วนลึกใต้ดิน ฉะนั้นอีกหนึ่งเผ่าหมานใหญ่ของแดนรกร้างบูรพาในเทือกเขาทางตะวันตกของแผ่นดินรกร้างบูรพาจึงตกอยู่ในความเงียบงัน และระงับความตื่นเต้นจากโลหิตแผดเผา บางทีพวกเขาอาจไม่ยอมออกไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปเข้าคารวะเทพหมานรุ่นสี่ที่กระตุ้นให้สายเลือดแผดเผาอย่างในตำนาน

แต่ว่า พวกเขาไม่กล้าจ่ายทุกอย่างเพื่อตำนานนั้น

นอกจากแดนรกร้างบูรพาแล้ว ตอนนี้บนแดนอรุณใต้เกิดปรากฏการณ์สายเลือดเดือดพล่านเช่นกัน สายรุ้งยาวห้อเหยียดเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน บ้างคนเดียว มุ่งหน้าไปยังแดนรกร้างบูรพาตามระลอกคลื่นของสายเลือด

โลหิตเดือนพล่านนี้เหมือนกับการเรียกหา เป็นสัญญาณการผงาดขึ้นของเผ่าหมาน

นอกจากนี้ บนหมู่เกาะจำนวนมากที่แดนอรุณใต้ มีชนเผ่าหนึ่งเงยหน้าขึ้นพร้อมกันอยู่ ชนเผ่านี้เรียกตัวเองว่าเผ่าชะตาชีวิต!

พวกเขาอยู่บนเกาะเล็กจำนวนมากตรงชายแดนอรุณใต้ บ้างกระจัดกระจายกัน บ้างรวมกัน พวกเขาต่างตามหากันและกัน เพียงแต่ว่า….แดนอรุณใต้แตกเป็นเสี่ยงๆ เลยยากจะหากันเจอ

ตอนนี้ชาวเกาะเผ่าชะตาชีวิตกำลังคารวะรูปปั้นเทพประจำเผ่าและตัวสั่น พวกเขารู้สึกถึงสายเลือดแผดเผา การเผาสายเลือดนี้ต่างกับชาวเผ่าหมาน มันคือการเผาแบบโดยตรง

ราวกับว่าตอนที่ซูหมิงกลายเป็นเทพประจำเผ่าของพวกเขา ก็ได้กำหนดถึงสายสัมพันธ์ไม่อาจตัดขาดและทำลายระหว่างชาวเผ่ากับซูหมิงเอาไว้แล้ว

เป็นสายสัมพันธ์นี้เองที่ทำให้ชาวเผ่าชะตาชีวิตล้วนใจสั่นไหว เพราะโลหิตแผดเผาครั้งนี้ส่งผลให้ขั้นพลังพวกเขา…เพิ่มขึ้นอย่างมาก

เหมือนกับธารสายหนึ่ง ระหว่างไหลลงมาก็แตกแขนงออกเห็นหลายร้อยหลายพันสาย แม่น้ำสายเล็กเหล่านั้นมีไม่น้อยที่เหือดแห้ง และมีไม่น้อยที่ไหลต่อไป

แต่หากวันหนึ่งต้นน้ำมีสายน้ำเพิ่มเข้ามาอย่างไร้ขีดจำกัด เช่นนั้นสายน้ำแตกแขนงเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนตามไป เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง การแตกออกเป็นกิ่งและใบไม้เขียวชอุ่มจะขึ้นอยู่กับแสงตะวัน ทว่าที่มากกว่าคือขึ้นอยู่กับน้ำตรงส่วนราก!

นี่คือพลังงานต้นกำเนิด

“โม่จวินกำลังเรียกหา…” ชาวเผ่าชะตาชีวิตบนเกาะเล็กพากันเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้นและเฝ้าปรารถนา ก่อนบินขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ลังเล ออกห่างจากเกาะแล้วมุ่งหน้าไปยังแดนรกร้างบูรพาทั้งชนเผ่าอย่างแน่วแน่

ขณะเดียวกันบนเกาะนอกแดนอรุณใต้ มีสายรุ้งยาวบินขึ้นจำนวนมาก ในสายรุ้งเหล่านั้นก็คือชาวเผ่าชะตาชีวิตที่กระจัดกระจายกัน

ในชาวเผ่าเหล่านี้มีคนเงียบงันมาหลายปี มีคนจืดจางจนไม่เป็นที่สนใจของคนอื่น และก็มีคนอยู่ในขุมอำนาจต่างๆ กลายเป็นผู้โดดเด่น และยังมีฐานะสูงส่ง

ทว่าตอนนี้พวกเขาละทิ้งทุกสิ่งอย่างไม่ลังเล แล้วพากันมุ่งหน้าไปยังแดนรกร้างบูรพาตามการเผาสายเลือด ตามสายสัมพันธ์ของเผ่าชะตาชีวิต เพื่อไปหา…โม่จวินของพวกเขา

“ข้าทำงานให้ไม่ได้แล้ว ต้องขอลาตรงนี้!” บนเกาะเล็กแห่งหนึ่ง ชายร่างกำยำผู้หนึ่งประสานมือคารวะชายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นฟ้าไปอย่างไม่มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ มิหนำซ้ำยังฉีกเกราะนักรบสีเงินบนตัวออก

เหลือไว้เพียงสายตานิ่งๆ ของคนด้านหลัง

บนเกาะเล็กอีกแห่งหนึ่งมีเสียงครึกโครมดังกังวานอย่างต่อเนื่อง และยังมีเสียงตะโกน

“หนานกงเหิน หลายปีมานี้ท่านประมุขปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรเจ้าไม่รู้รึ เหตุใดต้องหักหลัง!”

“ท่านประมุขมีบุญคุณกับข้า หลายปีมานี้ข้าหนานกงเหินถวายชีวิตเพื่อเขา ทว่า…มีการเรียกหาจากโม่จวิน ข้าต้องไป” ท่ามกลางเสียงระเบิดโครมคราม ชายวัยกลายคนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าไป

บนเกาะอีกแห่งหนึ่ง มีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาอย่างเงียบๆ ด้านหลังเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวผู้นั้นกัดริมฝีปากล่างพลางเหม่อมองเขา

“ต้องไปจริงๆ หรือ?” หญิงสาวเงียบอยู่นานก่อนกล่าวเสียงเบา

“ตอนข้าเป็นเด็กหนุ่ม เขาพาข้ากับชาวเผ่าออกมาจากที่นั่น ข้ามองแผ่นหลังเขาแล้วสาบานว่าชีวิตนี้ข้าจะแข็งแกร่งเหมือนกับเขา…ตอนนี้ข้าเติบใหญ่แล้ว มีครอบครัวของตัวเอง มีชีวิตของตัวเอง…ทว่าข้าเป็นเผ่าชะตาชีวิต!” ชายหนุ่มหลับตาอยู่ครู่หนึ่งแล้วลืมตาขึ้น ก่อนเดินเหยียบอากาศขึ้นไป

ทิ้งไว้เพียงหญิงที่หมดเรี่ยวแรงอยู่ข้างหลังและกำลังเหม่อมองตน

“รอข้า สักวันหนึ่งข้าจะกลับมา!”

ภาพเหตุการณ์คล้ายกันปรากฏขึ้นบนเกาะเล็กที่กระจัดกระจายกันอยู่นอกแดนอรุณใต้จำนวนมาก ไม่ว่าพลังขั้นใด ไม่ว่าใคร ก็ไม่อาจขวางชาวเผ่าชะตาชีวิตไม่ให้ไปตาโม่จวินของพวกเขาได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!