Skip to content

สู่วิถีอสุรา 667

ตอนที่ 667 พลังแห่งวิญญาณหมาน

ซูหมิงในยามนี้เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองของทุกคน แขนใหญ่ที่ยื่นลงมาจากมวลอากาศบิดเบี้ยวมีความยาวหลายร้อยจั้ง ในกลิ่นอายพลังมหาศาลมีแรงกดดันและสร้างความตื่นตะลึงต่อจิตใจผู้มองทุกคน

ทว่าซูหมิงยืนอยู่บนฝ่ามือแขนยักษ์ เส้นผมยาวปลิวไสว ดวงตาดุจดารา ด้านหลังอัดแน่นไปด้วยสายรุ้ง มีกลิ่นอายพลังวิญญาณหมานบริสุทธิ์แท้จริงแผ่มาจากบนร่าง

เขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดที่ชวนให้คนแสบตา

คำพูดเย็นชาผสานรวมกับความรู้สึกประหลาด ราวกับสร้างออกมาเป็นม้วนภาพสืบทอดมาแต่บรรพกาล คล้ายกับว่าโลกนี้มีจิตรกรวาดมันออกมา และภาพนี้จะต้องสั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้าอย่างแน่นอน

มีเพียงฝ่ามือของแขนยักษ์เท่านั้นที่ไม่มีลายมือ…

เซียนหลายหมื่นคนโดยรอบมองซูหมิงด้วยสีหน้าซับซ้อนและตะลึงโดยไม่อาจปกปิด การดำรงอยู่ของซูหมิง ฐานะของเผ่าหมานและปรากฏการณ์ฟ้าดิน รวมถึงระลอกคลื่นแก่กล้าเหล่านี้ ทุกอย่างสร้างออกมาเป็นบุคคลที่กำลังก้าวสู่จุดสูงสุดของเผ่าหมาน

“ซูหมิง…” ตี้เทียนชุดคลุมทองมองซูหมิงพลางกล่าวเนิบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชื่อซูหมิงต่อหน้าทุกคน

ทันทีที่ตี้เทียนกล่าวชื่อซูหมิงก็ลิขิตไว้แล้วว่า นามนี้ไม่ว่าศึกครั้งนี้จะเป็นอย่างไร มันจะเล่าลือต่อๆ กันไปทั้งเผ่าเซียน กระทั่งไปทั่วแดนรกร้างบูรพา

ทุกคนจะจดจำนามนี้และไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วชีวิต

โดยเฉพาะปรากฏการณ์พิลึกจากเทวรูปหมานของซูหมิง มันมากพอจะสร้างคลื่นอารมณ์และความหวาดกลัวให้กับผู้มองทุกคน ไม่อยากเชื่อเลยว่ากลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่นี้จะรวมอยู่ในแขนข้างเดียว

หากปรากฏการณ์บนฟ้าหายไป ก็ยังพออธิบายได้ว่าเทวรูปหมานซูหมิงมีเพียงแขนขวา ทว่าปรากฏการณ์ฟ้าดินยังอยู่ สายรุ้งยังอยู่และยังมากขึ้นด้วยซ้ำ ทุกอย่างนี้อธิบายได้อย่างเดียว

การทะลวงขั้นวิญญาณหมานยังไม่จบ!

การทะลวงขั้นวิญญาณหมาน…เพียงแค่เพิ่งเริ่มต้น!

หลังจากซูหมิงยืนอยู่บนแขนขวาเทวรูปหมานแล้วมองลงมาด้านล่าง พร้อมกับเอ่ยท้าสู้ศัตรูระดับสูงเป็นครั้งแรกในชีวิต จุดสำคัญของสนามรบก็เหมือนจะไม่ใช่การคัดเลือกเข้าหอคอยรกร้างบูรพาอีก แต่เป็น…การผงาดขึ้นของซูหมิงกับการเสื่อมถอยของตี้เทียน!

บางทีการผงาดขึ้นของผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เดิมทีควรจะข้ามศพของผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในอดีตไป มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะสร้างแรงจู่โจมจากจิตใจให้กับผู้พบเห็น แรงจู่โจมที่ว่านี้เป็นเหมือนกับตราประทับฝังลึกไปชั่วชีวิต!

หลายหมื่นคนรอบๆ หายใจกระชั้น นัยน์ตาไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีความฮึกเหิม มีเพียงความซับซ้อน เป็นความซับซ้อนที่เห็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าอื่น นอกจากนี้แล้วก็มีความเคารพอย่างเงียบๆ

แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงข้ามผ่านขั้นเซ่นไหว้กระดูกสมบูรณ์ก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนต้น นอกจากจะสร้างความตื่นตกใจกับคนหลายหมื่นคนแล้ว ที่สำคัญกว่าคือเขาทำให้เหตุการณ์สายเลือดแผดเผาของเผ่าหมานรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

หากเปรียบการแผดเผาของสายเลือดหมานก่อนหน้านี้เป็นเดือดพล่าน เช่นนั้นเวลานี้ เมื่อซูหมิงก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานแล้ว สายเลือดของชาวเผ่าหมานทุกคนคงใช้คำว่าเดือดพล่านมาบรรยายไม่ได้อีก แต่ต้องใช้คำว่าปะทุ การปะทุเหมือนกับโลหิตทั่วร่างจะระเบิดออกจากร่างกายโดยไม่ฟังคำสั่ง และจะส่งเสียงดังสนั่นดุจจุดเพลิง

บนฟ้าห่างจากที่นี่ไปไกลยิ่งนัก ยามนี้คนเกือบหมื่นโดยมีชายชราเป็นผู้นำจากสำนักเวไนยสัตว์อดใจไม่ไหว พากันร้องคำรามสะเทือนนภา ในเสียงคำรามมีความฮึกเหิมยากจะบรรยาย เสียงแห่งความฮึกเหิมเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกหมานมานานแสนนานแล้ว

ชายชราขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์แห่งสำนักเวไนยสัตว์ตัวสั่น ขณะเดินหน้าพลันหัวเราะเสียงดัง เสียงหัวเราะเขาแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทั้งยังมีความตื่นเต้นจากใจจริง

เสียงหัวเราะมาพร้อมกับน้ำตา มาพร้อมกับจิตใจฮึกเหิม เขารู้ว่าตนเลือกไม่ผิด เขารู้ว่าตำนานของเผ่าหมานเป็นจริง

เขารู้ว่าเกิดสัญญาณเทพหมานรุ่นสี่ขึ้นจริงๆ สัญญาณนี้กำลังปะทุมาอย่างบ้าคลั่ง อีกไม่นานก็จะปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์

“อนาคตของเผ่าหมานเรา มุ่งหน้าไปตามสายเลือดแผดเผา! วันนี้ทั้งเผ่าหมานจะต้องจดจำ นี่คือวันที่เผ่าหมานของเรารุ่งเรืองที่สุดนับตั้งแต่ยุคบรรพกาลมา! เผ่าเซียน….อีกไม่นานแล้ว พวกมันจะต้องถูกขับไล่ออกจากแผ่นดินของเรา!

ชาวเผ่าทุกคน จงใช้ความเร็วทั้งหมดของพวกเจ้า จงใช้พลังมากที่สุดของพวกเจ้า รีบไปเข้าคารวะเทพหมาน!” เมื่อชายชรากล่าวจบ ศิษย์สำนักเวไนยสัตว์เกือบหมื่นคนด้านหลังต่างร้องตะโกนด้วยความฮึกเหิมพร้อมกัน

“ไปเข้าคารวะเทพหมาน!” เสียงตะโกนดังกึกก้องฟ้าดิน ท้องฟ้าคล้ายสั่นไหว มิหนำซ้ำบนพื้นดินที่เดิมทีเสื่อมโทรมกลับมีสีเขียวงอกเงยขึ้น เหมือนมีหญ้าลุกลามออกไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน

อีกด้านหนึ่งของแดนรกร้างบูรพา บนฟ้าก็มีสายรุ้งหลายหมื่นสายกำลังห้อเหยียดไป แม้คนเหล่านี้จะเป็นเผ่าหมาน ทว่าส่วนใหญ่มีร่างกายซูบผอม แต่ถึงกระนั้นเปลวเพลิงในแววตากลับเหนือกว่าสำนักเวไนยสัตว์ พวกเขาไม่กล่าว แต่ความตื่นเต้นและการปะทุของสายเลือดกลับเพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนบนพื้นดินที่มองร่างพวกเขาข้ามผ่านฟ้า

กลุ่มคนเหล่านี้เหมือนกับหมาป่าร้ายคลุ้มคลั่ง เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังล่าเหยื่อ แต่กำลังไปหาราชาของพวกเขา!

ชายชราร่างซูบผอมตรงหน้าสุดดวงตาแดงก่ำ การแผดเผาและปะทุของสายเลือดกระตุ้นขั้นพลังเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาเลยยิ่งมั่นใจว่าการเลือกของตนไม่มีทางผิดพลาด

“เร็ว ช่วยเร็วหน่อย พวกเราเผ่าเมฆายักษ์จะเป็นเผ่าแรกที่ไปเข้าคารวะเทพหมานรุ่นสี่ จะต้องให้เทพหมานรุ่นสี่เห็นนักรบเผ่าเมฆายักษ์ของพวกเราก่อน!”

คนเกือบหมื่นร้องตะโกนพร้อมกัน เสียงนี้มากพอจะสั่นไหวแม่น้ำดาราและสะเทือนแผ่นดิน ความเร็วของพวกเขา…เพิ่มขึ้นอีก!

นอกจากพวกเขาแล้วบนฟ้าแผ่นดินรกร้างบูรพายังมีร่างเงากระจัดกระจายนับไม่ถ้วนกำลังบินอยู่ คนเหล่านี้ล้วนตรงไปตามจุดที่สายเลือดแผดเผารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

พวกเขารู้สึกชัดเจนว่าสายเลือดพลันปะทุขึ้นเมื่อครู่นี้ การปะทุครั้งนี้ไม่เพียงให้ขั้นพลังพวกเขาสูงขึ้นอีกเล็กน้อยเท่านั้น ความรู้สึกเรียกหาในใจก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ชัดเจนเสียจนทำให้พวกเขาคลุ้มคลั่ง

ความหวังของเผ่าหมาน อนาคตของเผ่าหมาน เผ่าหมานจะยังเป็นเผ่าหมานหรือไม่ ทุกอย่างมีคำตอบในตอนนี้!

และยังมีชาวเผ่าชะตาชีวิต ยามนี้ศักยภาพพลังปะทุออกมาอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้พวกเขารีบบินไปหาโม่จวินโดยไม่สนสิ่งใด

ทั้งแผ่นดินรกร้างบูรพาสั่นสะเทือน ชาวเผ่าเล็กนับไม่ถ้วนล้วนตกอยู่ในความสับสน อยู่กลางสายเลือดแผดเผาและเสียงเรียกหา ก่อนพากันลอยขึ้นแล้วบินไปตามจุดที่สายเลือดเรียกหาอย่างบ้าคลั่ง

ส่วนเผ่าหมานที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขา อารมณ์ชั่ววูบที่กว่าจะระงับเอาไว้ได้เมื่อครู่เกิดระลอกคลื่นอีกครั้ง อีกทั้งยังรุนแรงกว่าครั้งก่อน ทว่าผ่านไปพักหนึ่งกลับสงบนิ่งลงอีก แต่ก็มีชายวัยหนุ่มแน่นอายุไม่น้อยหลายพันคนบินออกจากเทือกเขาพร้อมกับความยึดมั่นและตื่นเต้น พวกเขาคือกลุ่มคนที่เหลืออยู่ไม่มากในเผ่านี้ เส้นทางที่พวกเขาเลือกต่างจากรุ่นอาวุโสในเผ่า พวกเขาไม่อยากซ่อนตัวอีก ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ใต้เงามืดของเผ่าเซียนอีก พวกเขา…..จะสู้เพื่ออนาคต

ฉะนั้นพวกเขาจึงบินออกมาเอง แล้วมุ่งหน้าไปหาซูหมิงตามการเรียกหาของสายเลือด

ชนเผ่าพวกเขาไม่ห้าม แต่มองตามอย่างเงียบๆ

และยังมีชาวเผ่าที่ชื่อเหลยเทียนอยู่ เวลานี้ท่ามกลางเสียงดังเกรียวกราวจากการปะทุของสายเลือดอีกครั้ง ชื่อเหลยเทียนกัดฟันสะบัดแขนเสื้อพาชาวเผ่าเกือบหมื่นคนมุ่งหน้าไปด้วยความฮึกเหิม

“เป็นก็ดี ตายก็ดี ข้าชื่อเหลยเทียนเชื่อตำนานนี้แล้วมันอย่างไร ชาวเผ่าทุกคนตามข้าไปเข้าคารวะเทพหมาน!”

เสียงอึกทึกก้องฟ้าดิน ทว่าชาวเผ่าเขี้ยวหมานที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าทึบกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแค่พื้นดินกว้างโล่งตรงส่วนลึกของป่าทึบ คนที่คุกเข่าด้านหลังชายชราสวมหนังสัตว์ตอนนี้ไม่ใช่เจ็ดแปดคนอีก แต่มีเกือบสามสิบคน พวกเขาคุกเข่าอย่างเงียบๆ ความดื้อรั้นทางสีหน้าเผยความในใจอย่างเด่นชัด

ชั่วขณะที่บนฟ้าแดนรกร้างบูรพามีสายรุ้งนับไม่ถ้วนบินไปหาซูหมิง

ตี้เทียนชุดคลุมทองพลันหัวเราะเสียงดัง สีหน้าเขาเริ่มไม่ถมึงทึงอีก แต่เดินไปหาซูหมิงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“เจ้า…..เป็นคนตาย มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้าเช่นนี้” ตี้เทียนชุดคลุมทองในตอนนี้ แม้มีควันดำแห่งคำสาปวนเวียนอยู่ทั่วร่าง แต่พอเปล่งแสงทองวูบวาบทั่วตัวพร้อมกับเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแล้ว กลิ่นอายพลังที่ระเบิดมาจากในร่างกายก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้ในตัวเขายังมีกลิ่นอายพลังยากจะรุกรานจากสามราชันห้าจักรพรรดิที่ผู้ฝึกเซียนหลายหมื่นรอบๆ คุ้นเคย

“ก็ใช้สิทธิ์……ที่ข้าเคยสังหารร่างแยกของเจ้าเมื่อหลายปีก่อนนอกภูเขาศักดิ์สิทธิ์เผ่าเชมันในแดนอรุณใต้อย่างไรเล่า! ก่อนหน้าไม่นานมานี้ ข้าก็เพิ่งสังหารหนึ่งร่างแยกของเจ้าไปอีกคน!” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง จังหวะที่ตี้เทียนเดินมา เขาก็ก้าวเดินเช่นกัน แม้สองคนจะห่างกันร้อยจั้ง แต่เมื่อเดินเข้าหากันกลับมีแรงปะทะไร้รูประเบิดมาจากสองคู่ ก่อนปะทะเข้าใส่กัน

หากมองไกลๆ ภาพนี้จะเหมือนกับภาพมายา ร่างตี้เทียนอาบด้วยแสงทองจึงเหมือนย้อมครึ่งฟ้าดินให้เป็นสีทอง กลางสีทองนั้นปรากฏร่างมายาของมังกรทองห้ากรงเล็บตัวหนึ่งขึ้น มันร้องคำรามและตรงไปหาซูหมิงตามแสงทอง

ทางด้านซูหมิง ครั้นสะบัดแขนเสื้อ มือขวาเทวรูปหมานใต้เท้าพลันปล่อยควันดำจำนวนมาก ควันดำอบอวลอยู่รอบๆ ราวกับคำสาป เมื่อซูหมิงเดินออกจากฝ่ามือ มือขวาเทวรูปหมานก็ยกขึ้นก่อนกำหมัดชกใส่มังกรทองพร้อมด้วยความรู้สึกป่าเถื่อน

สองฝ่ายปะทะกันในพริบตา เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปรอบๆ ทันใดนั้นซูหมิงก็เดินหน้าอีกหนึ่งก้าว

“ข้าซูหมิงทำลายร่างแยกของเจ้าไปสองคนแล้ว…” ชั่วขณะที่ซูหมิงเอ่ยขึ้น หนึ่งก้าวที่เดินทำให้มวลอากาศระเบิด ตี้เทียนรู้สึกชัดว่าพอซูหมิงเดินหนึ่งก้าวนั้น พลังฟ้าดินรอบๆ ม้วนตรงเข้ามา ประหนึ่งว่าอีกฝ่ายสามารถควบคุมฟ้าดิน

นี่ก็คือความแกร่งของขั้นวิญญาณหมาน ควบคุมพลังฟ้าดินได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!