Skip to content

สู่วิถีอสุรา 674

ตอนที่ 674 โศกเศร้า

‘ศิษย์น้องเล็ก ข้าจะบอกเจ้าให้ ศิษย์พี่ใหญ่ปิดด่านฝึกฝนตลอดทั้งปี มีแค่ช่วงวันสร้างบรรพกาลเท่านั้นถึงจะออกมา และทุกครั้งจะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ ต่อให้เจ้าดื่มสุราไปมากแค่ไหนก็ต้องตื่นเพราะเขา เจ้าต้องทนฟังคำพูดของเขาว่าในที่สุดข้าก็ออกมาแล้วอะไรพวกนี้ มันจะทรมานเจ้าจนนอนไม่หลับ เจ้าจะมองว่าเขาเป็นเต่าทมิฬก็ได้ วันปกติก็นอน ตื่นมาก็หาว จากนั้นก็กลับไปนอนต่อ’ นี่คือการแนะนำศิษย์พี่ใหญ่จากหู่จื่อ

‘ศิษย์พี่ใหญ่คือพี่ชายของเรา เป็นพี่ชายที่ยืนขวางลมฝนตรงหน้าพวกเราได้…’ นี่คือตอนซูหมิงสนทนากับศิษย์พี่รอง เขามองใต้ยอดเขาแล้วพึมพำเบาๆ

ภาพในความคิดลอยขึ้นมาเป็นฉากๆ สองดวงตาซูหมิงหลั่งโลหิตแดงฉาน โลหิตเหล่านั้นเกิดจากเสียงคำรามบ้าคลั่งในใจ เกิดจากการปะทุของจิตสังหารมหาศาลและความเจ็บปวดถึงขีดสุด

“ศิษย์พี่ใหญ่…..” ซูหมิงมองชายร่างกำยำที่เดินออกมาจากในน้ำวนบนพื้น เหมือนเกิดความสับสนขึ้น

ดวงตาศิษย์พี่ใหญ่แข็งกระด้าง ไม่มีความแวววาวใดๆ ในความกระด้างมีความมัวหมองคล้ายคนตาย ทว่าในตัวเขาตอนนี้ กลิ่นอายพลังที่ปะทุออกมาสูงพอจะต่อกรกับจี๋อั้นได้

เห็นได้ชัดว่านี่คืออุบายที่ตี้เทียนเตรียมเอาไว้เพื่อจี๋อั้น เป็นอาวุธสังหารในการคัดเลือกสิทธิ์หอคอยรกร้างบูรพา

ซูหมิงสบตากับศิษย์พี่ใหญ่ ชั่ววินาทีนี้สองคนเพ่งสายตามอง ซูหมิงมีสีหน้าเศร้าโศก ศิษย์พี่ใหญ่เฉยชา ตอนสองคนสบตากัน ไม่มีความสุขของยอดเขาลำดับเก้าในวันวานอีก มีเพียงความแปลกตาเท่านั้น

“ตี้เทียน…ชาตินี้ข้าซูหมิงจะไปหาเจ้าในแดนเซียน จะทำให้เจ้าต้องรับความเจ็บปวดที่สุดในโลกให้ได้ หากทำไม่ได้ ข้าจะขอตกอยู่ในยมโลก วิญญาณสูญสลายไป!” ซูหมิงหลั่งน้ำตาโลหิต เงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าเสียงดังสนั่น ในเสียงคำรามแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งและเคียดแค้นจนน่าสะพรึงกลัว

วินาทีที่เขาตะโกน ศิษย์พี่ใหญ่บนพื้นดินยังคงมีสีหน้าเฉยชา ทว่าเขาพลันเดินหน้าหนึ่งก้าว ขยับวูบเดียวมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง

ความเร็วของเขาอยู่เหนือกว่าการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ทันทีที่ปรากฏตัว ซูหมิงยกมือขึ้นโดยจิตใต้สำนึก แต่กลิ่นอายที่คุ้นเคยกับความอบอุ่นในวันวาน และยังมีรอยแผลเป็นนับไม่ถ้วนบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ กลับทำให้เขา…ยากจะลงมือได้

เสียงระเบิดดังกึกก้องในทันที

ซูหมิงกระอักโลหิต ร่างโซเซถอยไปติดกันสิบจั้ง เขายกมือขวาขึ้นมา ทว่าสุดท้ายก็ยังไม่โต้กลับไป แต่ป้องกันหมัดของศิษย์พี่ใหญ่ไว้ตรงๆ

หนึ่งหมัดนี้มีความคุ้นเคยที่ทำให้หัวใจเขาราวกับถูกฉีกขาด นั่นคือ…..กลิ่นอายพลังของเผ่าเชมัน

ศิษย์พี่ใหญ่เป็นชนรุ่นหลังของเผ่าเก้าอรุณ

ยามนี้ทั่วร่างแผ่คลื่นพลังเผ่าเชมัน วงคลื่นที่กระจายออกมาสร้างเป็นเทวรูปเชมันยักษ์รูปหนึ่งด้านหลังศิษย์พี่ใหญ่ เทวรูปเชมันเอาสองมือกอดอก หลังจากมันปรากฏออกมาแล้ว ซูหมิงก็เห็นว่าบนตัวมันมีรอยแผลเป็น รอยฉีกแยก และอักขระเหมือนกับศิษย์พี่ใหญ่

เทวรูปเชมันมีบาดแผลเต็มตัวก็จริง แต่กลับไม่มีความรู้สึกว่าบาดเจ็บจนอ่อนแอแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามมันกลับมีพลังชีวิตเปี่ยมล้น เพียงแต่ซูหมิงรู้สึกถึงการเผาไหม้ในพลังชีวิตนี้

มันกำลังเผ่าผลาญพลังชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่เพื่อสนับสนุนเทวรูปเชมัน

ซูหมิงเงยหน้ามองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยความเศร้าเสียใจ ก่อนยกมือขวาที่สั่นเทา และบอกกับตัวเองว่าศิษย์พี่ใหญ่…ไม่อยู่แล้ว

จะต้องลงมือเพื่อขับไล่ดวงจิตของตี้เทียนออกไปเท่านั้น ศิษย์พี่ใหญ่ถึงจะมีโอกาสรอด

แต่ความเป็นไปได้นี้ แม้แต่ซูหมิงยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ตอนที่เขายกมือขวาขึ้นแล้วทำสัญลักษณ์มือด้วยอาการสั่นเทา ทันใดนั้นศิษย์พี่ใหญ่ก็เอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น ดังก้องอยู่ข้างหูซูหมิง

“ศิษย์น้องเล็ก พวกเราไม่ได้เจอกันมานานปี…” เสียงนั้นยังกระด้างอยู่บ้าง ทว่าอบอุ่นยิ่งนัก นี่คือเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ในความทรงจำซูหมิง

ซูหมิงพลันหยุดชะงักมือขวาเมื่อได้ยิน เวลานี้เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ มองไปด้วยน้ำตาโลหิตที่มากขึ้น

เสียงคุ้นเคยนั้นทำให้ซูหมิงเหมือนกลับไปยังยอดเขาลำดับเก้า เขารู้ว่ามันเป็นของปลอม เขารู้

แต่เรื่องแบบนี้ต่อให้รู้ชัดก็ยังมอง ก็ยังฟัง เพราะว่านั่นไม่ใช่การเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่มันเกิดจากจิตใจเนื่องด้วยความผูกพันของครอบครัว

แทบทันทีที่ซูหมิงมองเขา ศิษย์พี่ใหญ่พลันเงยหน้าขึ้น ในนัยน์ตาหม่นหมองพลันเปล่งประกายแสงโลหิต

“มรดกเก้าอรุณ คำสาปต้องห้ามห้วงลึกโลหิต…..” เส้นเลือดดำยิ่งปูดโปนขึ้นทั่วร่างเขา ก่อนที่ทั้งร่างจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นทะเลโลหิตพุ่งไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ หายไป

“เขาไม่ใช่ตี้เทียน…เขาคือศิษย์พี่ใหญ่…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ตรงมุมปากยังมีโลหิตไหล ความเจ็บปวดแล่นอยู่ในร่างกาย นั่นเกิดจากการโจมตีของศิษย์พี่ใหญ่เมื่อครู่

หากอีกฝ่ายใช้อภินิหารของตี้เทียน ซูหมิงก็ยังพอบอกตัวเองได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่ศิษย์พี่ใหญ่ แต่เป็นร่างแยกตี้เทียน แต่ทว่า…..ศิษย์พี่ใหญ่ใช้อภินิหารของเผ่าเชมัน นั่นก็คือวิชาแห่งเก้าอรุณ ทุกอย่างนี้ทำให้เขาลงมือไม่ได้

เขาลงมือกับศิษย์พี่ใหญ่ที่เป็นดั่งพี่ชายไม่ได้

ขณะฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว ทะเลโลหิตรอบกายเขาที่หายไปเมื่อครู่ก็รวมตัวขึ้นมาใหม่

“ศิษย์น้องเล็ก บอกข้าหน่อยว่าหลายปีมานี้เจ้าไปอยู่ที่ใด…” ตอนที่ทะเลโลหิตรวมขึ้นมา เสียงเฉยชาของศิษย์พี่ใหญ่ดังก้องอีกครั้ง ซูหมิงยิ้มด้วยความปวดร้าว ความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้อบอวลอยู่ทั่วตัว

ภายใต้ความโศกเศร้านี้ ซูหมิงไม่หลบ แต่ปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่เข้ามาโอบล้อม ทะเลโลหิตพลันตรงมารวมอยู่บนตัวเขา พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มไว้ทั้งตัว

เสียงระเบิดดังกึกก้องไปรอบทิศยิ่งกว่าเดิม หลังทะเลโลหิตรวมเป็นร่างคนอีกครั้งแล้ว ตอนที่ร่างศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่กลางอากาศ ซูหมิงม้วนกระเด็นออกไปประดุจว่าวสายป่านขาด มิหนำซ้ำยังกระอักโลหิต โลหิตไหลทะลักออกมาจากทุกส่วนของร่างกาย ใบหน้าซีดขาว ร่างถอยไปหลายร้อยจั้งอย่างต่อเนื่องกว่าจะยืนนิ่งได้ เขาฝืนยิ้มเศร้าพลางมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่

อาการบาดเจ็บของซูหมิงหนักขึ้นอีก ทว่าทันใดนั้นเอง ศิษย์พี่ใหญ่ก็ส่งเสียงแว่วมาอีกครั้ง

“ศิษย์น้องเล็ก….ขั้นพลังเจ้าเพียงเท่านี้ จะไปหาอาจารย์กับศิษย์พี่รองของเจ้าได้อย่างไร…” ศิษย์พี่ใหญ่เดินหน้าหนึ่งก้าว เกิดเสียงระเบิดตรงหน้าซูหมิงโดยพลัน

ซูหมิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นถอยไปอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะมีร่างกายแข็งแกร่งมากพอ ป่านนี้คงตายตกไปนานแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ในร่างกายก็ยังส่งความเจ็บปวดมาไม่หยุดหย่อน

ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก ระหว่างเศร้าโศกอยู่นี้ ความเจ็บปวดไม่ใช่ที่ร่างกาย แต่เป็นหัวใจข้างใน เพียงแต่ตอนนี้…วินาทีที่เขาต้องยกมือขึ้นเตรียมจะสวนกลับด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุดนั้น

“ยังจำตอนพวกเรายอดเขาลำดับเก้าบุกเผ่าแดนภูตได้หรือไม่…..” เสียงศิษย์พี่ใหญ่ดังกังวาน

ซูหมิงมือไม้สั่น

“ยังจำวิญญาณเชมันที่ข้ามอบให้เจ้าตอนก่อนเจ้าไปสนามรบได้หรือไม่…” คำพูดศิษย์พี่ใหญ่เหมือนดังอยู่ข้างหูซูหมิง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นฟ้า

ซูหมิงกระเด็นถอยไปอีกครั้ง โลหิตอาบทั่วร่าง ทว่าต่อให้มีโลหิตมากกว่านี้ก็ปกปิดความเจ็บปวดในใจและความเศร้าสลดของเขาไม่มิด

โดยรอบเงียบสงัด เผ่าเซียนทุกคนล้วนมองการต่อสู้ด้วยความสับสน พวกเขาเห็นถึงความผิดปกติของซูหมิง และก็คาดเดาได้ว่าคนในโลงศพจะต้องมีความสัมพันธ์พิเศษอย่างยิ่งกับซูหมิงแน่นอน

อีกอย่างซูหมิงยังเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ และคนในโลงศพก็เรียกซูหมิงว่าศิษย์น้องเล็ก นี่จึงเป็นการยืนยันการคาดเดาของพวกเขาอีก เทียนหลันเมิ่งอึ้งมองศิษย์พี่ใหญ่บนฟ้าและมองซูหมิง นางกัดริมฝีปากล่างด้วยสีหน้าสับสน

ก่อนภัยพิบัติรกร้างบูรพาจะมาถึง นางก็เพิ่งรู้ว่าตนมีสายเลือดเผ่าเซียน มันทำให้นางเงียบนิ่งอยู่นาน ความสลับซับซ้อนและสับสนในใจ ไม่มีใครเข้าใจได้

จนเมื่อนางเริ่มยอมรับฐานะของตนได้แล้ว นางก็ได้รู้ว่าเผ่าเซียนที่เห็นและได้ยินต่างกับเผ่าหมานยิ่ง ถึงเผ่าหมานจะมีการรบราชิงดีชิงเด่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่เมื่อเทียบกับเผ่าเซียนแล้วก็ยังไม่อาจสู้กับกลอุบายมากมายและความเหี้ยมโหดของอีกฝ่ายได้ อย่างเช่น…ในตอนนี้

การต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่กับศิษย์น้องครั้งนี้ เกรงว่าคงอยู่ในการคาดเดาของตี้เทียนด้วย บางทีอาจกำลังมองอย่างมีความสุขอยู่

“ศิษย์พี่ใหญ่…” ซูหมิงเงยหน้าร้องคำรามเสียงดัง เขาบอกตัวเองว่าเสียงนี้เฉยชา และบอกกับตัวเองอีกครั้งว่าขอแค่ทำลายจิตสัมผัสของตี้เทียนไป ศิษย์พี่ใหญ่ก็จะกลับมา

ซูหมิงบอกกับตัวเองแบบนี้หลายครั้ง จากนั้นร้องคำรามพร้อมกับเดินหน้าหนึ่งก้าว ในหนึ่งก้าวนี้ เขาหลั่งน้ำตาพลางทำสัญลักษณ์มือขวา ทันใดนั้นด้านหลังปรากฏสองแขนเทวรูปหมานขึ้นมา ก่อนพุ่งตรงไปหาศิษย์พี่ใหญ่

ครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่หลบ แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างน่าประหลาด ทว่าตอนที่สองแขนเทวรูปหมานของซูหมิงเข้ามาใกล้นั้น…

“ศิษย์น้องเล็ก สังหารข้า!”

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า!”

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าถูกตี้เทียนควบคุมอยู่ ตอนนี้ขัดขืนได้เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น สังหารข้าเสีย แล้วภพหน้าพวกเรามาเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันอีก!”

ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน และยังมีความเศร้าเสียใจ ทำให้สองแขนเทวรูปหมานของซูหมิงถึงกับหยุดชะงักในวินาทีนั้น

ทว่าทันทีที่หยุดชะงัก ศิษย์พี่ใหญ่พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเฉยชาและหมองหม่น รวมถึงคำพูดที่ออกจากปากในตอนนี้ ทำให้ซูหมิงได้เข้าใจว่า…ทุกอย่างเป็นของปลอม

“ศิษย์น้องเล็ก สังหารข้า…” ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยเช่นนี้ แต่กลับก้าวเข้าประชิดตัวซูหมิง แล้วใช้ศีรษะโขกศีรษะเขาจนเกิดเสียงดังโครม ซูหมิงโซเซถอยไป ยิ่งกว่านั้นบนใบหน้ายังปรากฏเงามายารูปกากบาทขึ้น

เงามายากากบาทนั้นเหมือนกับรอยแผลเป็นบนใบหน้าศิษย์พี่ใหญ่ ยามนี้พอปรากฏบนใบหน้าซูหมิงแล้วก็เหมือนฝังลึกเข้าไปในเนื้อ ทั้งยังมีความรู้สึกถูกกัดกร่อนร้อนๆ ตามมาอย่างเร็วรี่

ทว่าซูหมิงไม่สนใจความเจ็บปวด เขามองศิษย์พี่ใหญ่ มองแววตาเฉยชาและมัวหมองก่อนหลับตาลง ชั่วพริบตาเดียวก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความเศร้าเสียใจถูกซ่อนอยู่ในส่วนลึกในใจ สิ่งที่เผยออกมาคือความซับซ้อน ความเข้าใจ และความเจ็บปวดต่อชีวิตมนุษย์

“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว” ซูหมิงพลันยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้าด้วยความเศร้าโศกทั้งกายและใจ

“วิญญาณหมานตอนปลาย…จงเปิด!” ซูหมิงตะโกนด้วยเสียงที่ใกล้แหบแห้ง ระบายความอัดอั้นที่ไม่มีสิ้นสุดในใจเขาตอนนี้ออกไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!