Skip to content

สู่วิถีอสุรา 708

ตอนที่ 708 สารทฤดูของข้า

ครึ่งเดือนต่อมา ซูหมิงลืมตาขึ้น แววตาเขาดูเหนื่อยล้า สายตามองภูเขาสูง มองธารสวรรค์ มองทะเลทรายรกร้างบนพื้น เขา…ยังไม่เข้าใจความหมายต่อชะตาชีวิตระหว่างแม่น้ำ ภูเขา และทะเลทราย

เขายืนขึ้นอย่างเงียบๆ แล้วเดินกลับไปอย่างช้าๆ ตอนกลับไปทุกอย่างเป็นปกติ เขาเดินผ่านภูเขา เดินจนมาถึงจุดที่ก้าวออกมาก่อนหน้านี้ ตรงนี้คือใจกลางของชั้นเก้า เป็นจุดที่ใช้ออกไปจากที่นี่

ซูหมิงลอบถอนหายใจตรงใจกลางชั้นเก้า เขาไม่มีเวลามากพอจะตระหนักรู้ที่นี่ เขายังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทำ ต้องกำราบกระบี่สังหารให้เร็วที่สุด ต้องออกจากหอคอยรกร้างบูรพาเพื่อไปดูว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง ทั้งยังต้องไปตามหาศิษย์พี่รอง ตามหาอาจารย์ และยังต้องทำตามคำสาบานของเทพหมาน นำพาชาวเผ่าหมานสังหารเผ่าเซียนบนแผ่นดินหมานให้สิ้นซาก

เวลาเร่งรัดยิ่งนัก บางทีเผ่าเซียนอาจมาเยือนอีกครั้งได้ตลอดเวลา

ขณะลอบถอนหายใจ เขามายืนตรงใจกลางชั้นเก้า ตอนที่ดวงวิญญาณออกจากร่างและผสานรวมกับรอบๆ นั้น ใต้เท้าก็มีแสงทองกระจายขึ้นมาวนเวียนรอบตัว และค่อยๆ เด่นชัดขึ้นทุกที จนกระทั่งตอนที่กำลังจะพาซูหมิงกลับไปยังชั้นหนึ่ง เขาหันหน้าไปมองภูเขาสูงบนชั้นเก้าแวบหนึ่งด้วยความไม่ยินยอม

วินาทีที่ร่างเขาค่อยๆ เลือนรางจวนจะหายไป ในแวบหนึ่งที่เขาหันไปมอง บางทีอาจเป็นเพราะแสงทองวนเวียนรอบตัว เพราะอาคมเคลื่อนย้ายทำให้ทัศนวิสัยบิดเบี้ยว จึงปรากฏภาพที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับเขา เหมือนกับมีสายฟ้าแล่นผ่านความคิด ทำให้เขาเข้าใจในทันที!

รอบแรกที่หันกลับไปเห็นคือยอดเขาสูงตระหง่าน ทว่าตอนมองรอบที่สอง เพราะมีแสงสีทองโอบล้อม ยอดเขาเลยพร่ามัวในสายตาเขา และตอนมองอีกครั้งในรอบที่สาม เพราะอาคมเคลื่อนย้ายทำงาน ยอดเขาที่เห็นเลยบิดเบี้ยว

ส่วนรอบที่สี่ เป็นรอบสุดท้ายก่อนจะออกไป ยอดเขา…กลับหายไป!

ไม่อยากเชื่อว่ามันจะหายไป ราวกับว่าเดิมทีก็ไม่มียอดเขานั้นอยู่ เขามองผ่านหลังยอดเขาสูงไป และเห็นธารสวรรค์ที่ตอนมองอยู่ตรงนี้เห็นไม่สมบูรณ์!

ไม่ผิดแน่ ซูหมิงจำได้ว่าก่อนหน้ายามยืนอยู่ตรงนี้ ธารสวรรค์ถูกภูเขาสูงบดบังไปเกือบครึ่ง แต่ตอนนี้…ธารสวรรค์เผยออกมาอย่างสมบูรณ์ ส่วนภูเขาลูกนั้นก็หายไปในสายตา

เสียงครึกโครมดังในจิตใจ ความเข้าใจเหมือนเกิดขึ้นในใจซูหมิง ตอนนี้ร่างกายเขาหายไปตามการเคลื่อนย้ายแล้ว แต่ชั่วเวลาที่จะหายไปนั้น เขาพลันยกมือขวากดพื้นอย่างแรง แผ่นดินสั่นสะเทือน การเคลื่อนย้ายหยุดไปครู่หนึ่ง

ระหว่างครู่เดียวนี้ ซูหมิงพลันพุ่งออกมา ห้อเหยียดทะยานทั้งๆ ที่ร่างกำลังหายไป ช่วงที่ก้าวออกมาจากอาคมเคลื่อนย้าย ร่างเขาสมจริงขึ้น จนมายืนอยู่บนทะเลทรายรกร้าง

เขาไม่ไปแล้ว แต่ยืนอยู่นอกอาคมเคลื่อนย้าย จ้องแม่น้ำสวรรค์ด้านหลังที่ไม่มีภูเขาตาไม่กะพริบ ในสายตาเขา การหมุนโคจรของแม่น้ำสวรรค์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อชัดเจนอย่างยิ่งแล้ว ก็มีเสียงระเบิดดังในความคิด แม่น้ำสวรรค์…หายไปจากสายตาเช่นกัน

บนฟ้าไม่มีภูเขา ไม่มีแม่น้ำ!

ความเข้าใจผุดขึ้นในความคิดซูหมิง ขั้นพลังเขาพลันหมุนโคจร บรรลุถึงจุดสูงสุดของรูปแบบชะตาตอนต้นทันที กระทั่งห่างจากรูปแบบชะตาตอนกลางอีกไม่ไกลนัก

“ข้าเข้าใจแล้ว…ภูเขายังอยู่ แม่น้ำก็ยังอยู่ อยู่ในสายตาข้า แต่ไม่ได้อยู่ในใจข้า!

หากในใจข้ามีภูเขา ภูเขาก็คงอยู่ หากในใจข้ามีแม่น้ำ มันก็จะคงอยู่….ฉะนั้นภูเขาจึงไม่มียอด แม่น้ำก็ไร้พรมแดน…นั่นเพราะใจข้าส่งผลกระทบถึงดวงตา!”

“รูปแบบชะตาของข้าคือความตายสู่ความเป็น จากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ ใจข้าก็เช่นเดียวกัน เพราะอยู่ในความตาย อยู่ในฤดูหนาว ใจข้าเลยเงียบสงบ

ใจ…ส่งผลกระทบถึงวิญญาณ ส่งผลถึงดวงตา หรือบางทีพวกมันอาจส่งผลถึงกันและกัน ก่อนหน้านี้ข้าจึงมองทุกสิ่งไม่ปรุโปร่ง เพราะใจข้าตาย ทว่า…วินาทีที่จะจากไปเมื่อครู่นี้ การบิดเบี้ยวของวงแหวนอาคมและแสงทองทำให้ข้าเห็นภาพที่ก่อนหน้านี้ไม่เห็น

ข้าเข้าใจแล้ว จากความตายสู่ความเป็น จากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ผลิ อันดับแรกคือในตัวข้าต้องมีความปราดเปรียวเสียก่อน ต้องตื่นขึ้นจากความเงียบสงบ มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะมองเห็นฤดูใบไม้ร่วง!”

“ความปราดเปรียว…ปราดเปรียว…ทำอย่างไรถึงจะให้จิตใจมีความปราดเปรียว…”

ซูหมิงยืนพึมพำกับตัวเองราวกับคนเสียสติ พริบตาเดียวดวงตาก็เต็มไปด้วยเส้นเลือดจำนวนมาก เขาจ้องฟ้าตาไม่กะพริบ แม้มองไม่เห็นภูเขากับแม่น้ำ แต่ก็ยังไม่ยอมกะพริบตา สำหรับเขาแล้วสภาวะแบบนี้ช่างล้ำค่าอย่างยิ่ง หากเขากะพริบตาจะตื่นจากการตระหนักรู้เอาได้

“จิตใจส่งผลถึงดวงตาได้ เช่นนั้น…ดวงตาก็ต้องส่งผลถึงจิตใจได้เช่นกัน หากให้จิตใจกับวิญญาณข้าเกิดความปราดเปรียวในความสงบได้ ดวงตาก็ทำได้เหมือนกัน

จากฤดูหนาวสู่ฤดูใบไม้ร่วง นี่คือหนึ่งขั้นตอน สีของฤดูใบไม้ร่วงคือสีแดง…สีของโลหิตก็เป็นสีแดง…ถ้าให้ฟ้าดินกลายเป็นสีแดง ให้โลกนี้ถูกย้อมด้วยโลหิต

ตอนที่ข้าเห็นทุกอย่างเป็นสีแดง ดวงตาก็จะส่งผลถึงจิตใจ ทำให้ใจกับวิญญาณเกิดความปราดเปรียวขึ้นมา นี่คือฤดูใบไม้ร่วงในชีวิตข้า!” ซูหมิงพลันก้มหน้ามองทะเลทรายบนพื้น ช่วงที่มองเม็ดทรายเหล่านั้น เขาก็หัวเราะเสียงดัง

“แม่น้ำภูเขาอยู่ในใจ ส่วนทะเลทรายรกร้าง….มันรวมขึ้นจากดินทรายนับไม่ถ้วน ทุกหนึ่งเม็ดหมายถึงหนึ่งชีวิต ทุกหนึ่งชีวิตหมายถึงฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว…ฉะนั้นความคิดข้าก็ถูกต้อง การเกิดหมายถึงฤดูใบไม้ผลิ การเติบโตหมายถึงฤดูร้อน โลหิตหมายถึงฤดูใบไม้ร่วงก่อนตาย และความตายก็คือฤดูหนาวของชีวิต!”

“ชั้นเก้าจงเปิด!” ซูหมิงหัวเราะเสียงลากยาว แล้วสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ทั้งชั้นเก้าพลันสั่นสะเทือน เขาไม่มองแม่น้ำภูเขาและทะเลทรายรกร้างอีก แต่หมุนตัวกลับ เดินไปตรงใจกลางชั้นเก้า ภายใต้แสงทองขยับวิบวับและอาคมเคลื่อนย้าย ร่างเงาค่อยๆ เลือนหายไป

จนกระทั่งซูหมิงหายไปแล้ว แม่น้ำภูเขากับทะเลทรายรกร้างบนชั้นเก้าก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พวกมันไม่ได้พังพินาศลงเหมือนตอนซูหมิงตระหนักรู้บนชั้นแปดสำเร็จ แต่เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง คล้ายกับว่าความเข้าใจของซูหมิง…ไม่ตรงกับความหมายของชั้นเก้า

ภาพเหตุการณ์นี้ ต่อให้เป็นเลี่ยซานซิวเทพหมานรุ่นหนึ่งผู้สร้างหอคอยรกร้างบูรพาก็ยังคาดไม่ถึง เหตุที่เขาวางหนึ่งภูเขา หนึ่งแม่น้ำ และหนึ่งทะเลทรายเอาไว้บนชั้นเก้าตอนสร้างหอคอยนี้ เป็นเพราะหลังจากเขาเข้าใจการฝึกฝนของเผ่าเซียนแล้ว จึงจารึกความเข้าใจนี้เอาไว้ให้ลูกหลานชาวเผ่าของเขา

แม่น้ำ ภูเขา กับทะเลทรายนี้ คำตอบจริงๆ ของเลี่ยซานซิวมีเพียงอย่างเดียว

เห็นภูเขาคือภูเขา เห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา เห็นภูเขาก็ยังเป็นภูเขา

เห็นแม่น้ำคือแม่น้ำ เห็นแม่น้ำไม่ใช่แม่น้ำ เห็นแม่น้ำก็ยังเป็นแม่น้ำ

คำตอบนี้คือเค้าโครงเกี่ยวกับระบบการฝึกฝนของเผ่าเซียน คือกฎเกณฑ์การเปลี่ยนจิตสำนึกของคน ต่อให้เป็นเลี่ยซานซิวก็ยังยอมรับ หลังจากตระหนักรู้ในครั้งนั้นแล้วก็เกิดความเข้าใจอยู่ลึกๆ

ส่วนทะเลทรายรกร้าง ทะเลทรายที่รวมขึ้นจากเม็ดทรายนับไม่ถ้วน สิ่งที่เลี่ยซานซิวอยากให้คนรุ่นหลังเข้าใจคือ หนึ่งเม็ดทรายเท่ากับหนึ่งโลก โลกทั้งใบคือความเข้าใจที่ประกอบกันขึ้นมาแบบนี้

เพียงแต่ว่า…คำตอบและความเข้าใจที่ซูหมิงได้รับจากชั้นเก้าต่างจากที่เลี่ยซานซิวอยากให้เข้าใจโดยสิ้นเชิง ถึงจะไม่ผิดวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ แต่มีต้นตอความเข้าใจต่างกัน

ดังนั้นชั้นเก้าจึงเกิดความลังเล ความลังเลนี้สื่อถึงการปะทะกันของความเข้าใจสองแบบ แบบหนึ่งเป็นของเผ่าเซียน เป็นความคิดของเลี่ยซานซิว อีกหนึ่งกำเนิดจากซูหมิง เป็นความเข้าใจของตัวเขาเอง หากความเข้าใจของซูหมิงแพ้ เช่นนั้นคงถือว่าไม่ผ่านชั้นเก้า ชั้นเก้าจะไม่พังพินาศลง และจะกลับมาเป็นดังเดิม

หากความเข้าใจของซูหมิงชนะ ชั้นเก้าจะพังทลายลง

ความลังเลนี้ดำเนินมาจนถึงลมหายใจที่เก้า ทันใดนั้น ทั้งชั้นเก้าก็ถล่มลงแล้วหายไปเหมือนกับตอนผ่านชั้นแปด หลังจากมันพังทลายลงไป ความเข้าใจของซูหมิงก็เข้ามาแทนที่ความหมายแฝงในตัวชั้นเก้า ขณะเดียวกัน ทั้งหอคอยรกร้างบูรพาสั่นสะเทือนอีกหลายที วงแสงที่โลกภายนอกเพิ่มมาอีกหนึ่งวง ก่อนแผ่กระจายออกไปจากหอคอยรกร้างบูรพา

วงแสงวงที่เก้านี้…เป็นสีโลหิต!

เดิมทีมันควรจะเป็นสีขาว ซึ่งหมายถึงการชะล้างจิตใจกับการตระหนักรู้ หมายถึงไม่แยแสต่อการมองทุกอย่างแบบทะลุปรุโปร่ง รวมทั้งความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทว่าตอนนี้สีโลหิตจากวงแสงมาพร้อมกับจิตสังหารมหาศาล วินาทีที่กระจายไปทั้งผืนฟ้าแดนรกร้างบูรพา ชาวเผ่าหมานทั้งหมดที่กำลังมองวงแสงวงที่เก้า จิตสังหารในสายเลือดล้วนถูกปลุกขึ้นมา

สายรุ้งจำนวนมากกำลังบินมุ่งหน้าไปทางหอคอยรกร้างบูรพา มีชาวเผ่าที่อยู่ค่อนข้างใกล้ไม่น้อยไปถึงแล้ว พวกเขาพากันคุกเข่าคารวะอยู่นอกม่านแสงโลหิตของหอคอยรกร้างบูรพา สีหน้าฮึกเหิมและเลื่อมใส รอคอยเทพหมานของพวกเขาออกมาจากหอคอย แล้วนำพวกเขา…เอาโลหิตไปย้อมเผ่าเซียน!

โดยเฉพาะเผ่าชะตาชีวิต พวกเขาเข้ามาใกล้นานแล้ว แต่ละคนคุกเข่าคารวะอยู่ข้างๆ หอคอยรกร้างบูรพาด้วยสีหน้าตื่นเต้นมากกว่าชาวเผ่าหมานคนอื่นๆ ชาวเผ่าหมานคนอื่นตื่นเต้นเพราะสายเลือดและเทพหมาน ทว่าพวกเขา…ตื่นเต้นเพราะท่านโม่ เพราะตัวซูหมิงเอง

นั่นคือความแตกต่าง ต่างกันโดยสิ้นเชิง!

หนานกงเหินอยู่หน้าสุด เขามองหอคอยรกร้างบูรพาด้วยแววตาสงบนิ่ง ทว่าภายใต้ความสงบนิ่งกลับซ่อนภูเขาไฟระเบิดเอาไว้ เขากำลังรอคอย รอซูหมิงเดินออกมา รอซูหมิงนำพาชาวเผ่าชะตาชีวิตไปเขย่าฟ้ากระจ่างดาวนับต่อจากนี้ไป

ช่วงที่ชาวเผ่าหมานห้อเหยียดเข้ามา สำนักเซียนบนแผ่นดินรกร้างบูรพาล้วนปิดประตู เผ่าเซียนในนั้นก็รู้สึกถึงวงแสงบนฟ้าเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะวงแสงโลหิตวงที่เก้า ภายในนั้นมีกลิ่นอายชั่วร้ายและความบ้าคลั่งแฝงอยู่ เพียงพอจะทำให้เผ่าเซียนทุกคนต้องใจสั่นไหว

หลังจากวงแสงเก้าวงกระจายออกเป็นวงกว้างจากหอคอยรกร้างบูรพา พวกมันก็ปกคลุมแผ่นดินรกร้างบูรพา ปกคลุมทะเลมรณะ ทั้งยังแผ่ไปถึงแดนพันธมิตรตะวันตกและแดนทวีปเหนือ

สำนักเซียนไม่ได้อยู่เพียงแดนรกร้างบูรพาเท่านั้น บนแผ่นดินพันธมิตรตะวันตกและทวีปเหนือที่นับถือหมานชั่วร้ายก็มีสำนักเซียนเช่นเดียวกัน ขณะเดียวกับที่วงแสงเก้าวงนี้กระจายไปทั้งแผ่นดินหมาน แดนพันธมิตรตะวันตกก็ดี ทวีปเหนือก็ดี เผ่าเซียนทั้งหมดล้วนตื่นตระหนก และรับรู้ถึงความบ้าคลั่งที่หมายจะย้อมโลกด้วยโลหิตจากในวงแสงวงที่เก้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!