ตอนที่ 712 เนื้อสุนัขหนึ่งชาม…
“เทพหมานซูหมิงคนนั้นอายุเท่าไรแล้ว?” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ ยิ้มหยีตามองชายชราตรงหน้าพลางกัดเมล็ดแตง
“พูดถึงซูหมิงผู้นี้ คนอื่นอาจจะไม่รู้ ทว่าข้าเข้าใจเขาอย่างยิ่ง เขา…” ขณะชายชราร่างแปลงจากกระเรียนขนร่วงเอ่ยอยู่ สุนัขสีเหลืองใต้เท้าเด็กสาวก็เหลือบตามองชายชราแวบหนึ่งแล้วส่ายศีรษะ นัยน์ตามีความเห็นใจและสงสารเล็กน้อย ก่อนขยับตัวมาอยู่ข้างเฉียนเฉินที่แกล้งตายช้าๆ
สุนัขเหลืองตัวนี้เดินวนรอบเฉียนเฉิน พลางทำจมูกฟุดฟิดดมอย่างละเอียด แล้วแลบลิ้นเลียใบหน้าอีกหลายครั้ง มีน้ำลายจำนวนมากไหลลงมา ทว่าเฉียนเฉินไม่กล้าขยับ
หัวใจเขาเต็นระรัวขึ้นมา หลับตาสนิท แต่กลับรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวจากลิ้นที่เปียกชื้น นี่ยังไม่ใช่จุดสำคัญ สิ่งสำคัญคือเขาเป็นคนมาเยือนเผ่าหมาน แม้ฐานะจะไม่ใช่เผ่าเซียน ทว่ามีอภินิหารพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง
อภินิหารนี้ไม่ใช่การโจมตี แต่คือการมองร่างจริงของวัตถุออกรางๆ ค่อนข้างได้รับความนิยมในศิษย์รุ่นเยาว์ของเผ่าเขา เป็นวิชาที่จำเป็นต้องมีในการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้
อภินิหารนี้จะทำให้พวกเขามองออกถึงสมบัติล้ำค่าที่คนอื่นมากมายมองไม่ออก มันเหมือนกับว่าพวกเขามีตาทิพย์ กระทั่งวิธีการพิเศษที่เฉียนเฉินใช้ลงมาเยือนเผ่าหมาน ยังมีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อมกับอภินิหารนี้เล็กน้อยด้วย
ช่วงแรกที่เขาเจอกับกระเรียนขนร่วง ก็ใช้วิชานี้มองออกว่าอีกฝ่ายเป็นกระเรียน บวกกับอีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าท่านกระเรียน ฉะนั้นตนเลยเรียกว่าท่านกระเรียนผู้ยิ่งใหญ่มาตลอด จนกระเรียนขนร่วงเห็นถึงปฏิภาณไหวพริบ จึงดึงมาเป็นพวกด้วย
ตอนนี้ ชั่วขณะที่สุนัขตัวเหลืองใช้ลิ้นเลียเขาไม่หยุด เฉียนเฉินใจสั่นไหว เขารู้สึกว่าสุนัขตัวนี้มีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย กลิ่นคาวเต็มปากทำให้เฉียนเฉินใช้อภินิหารนั้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนแผ่ขยายจิตออกเล็กน้อย พลางมองสุนัขตัวข้างๆ ตน
พอมองไปเฉียนเฉินพลันตะลึงงันตรงนั้น กระทั่งยังลืมตาขึ้นมองมันด้วยความหวาดกลัว เขาเห็นผ่านวิชาของตนว่าอีกฝ่ายไม่ใช่สุนัข แต่เป็นมังกรเหลืองตัวหนึ่ง!
อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาดุร้ายยิ่งนัก ตอนนี้กำลังมองตนพลางแลบลิ้นใหญ่ออกมาเลียใบหน้า น้ำลายมังกรจำนวนมากไหลยืดลงมา กระทั่งในสายตาเฉียนเฉิน นัยน์ตามังกรเหลืองเหมือนมีนัยว่าอยากจะกินตนอยู่ด้วย
ไม่มีเรื่องใดมอบความสิ้นหวังให้เขามากไปกว่ามีมังกรเหลืองดุร้ายตัวหนึ่งกำลังเลียตนอยู่ข้างๆ อีกแล้ว ภายใต้ความหวาดกลัวอย่างสุดขีด เขาตาเหลือกและหมดสติไป ครั้งนี้หมดสติจริงๆ
เพียงแต่ว่าก่อนหมดสติ เขาได้ยินเสียงแก่ชราของกระเรียนขนร่วงแว่วมาเบาๆ
“แม่นางน้อย เรื่องในอดีตของเทพหมานคนนี้มากมายยิ่งนัก ข้าพูดจนปากแห้งหมดแล้ว อ้อ เหตุใดผู้อาวุโสของเจ้ายังไม่มาอีก? ไหนว่าตอนแรกพวกเราตกลงกันแล้ว หากพวกเจ้าอยากเชิญชวนผู้แข็งแกร่งระดับข้าไป ก็ต้องเอาคนที่มีฐานะใกล้เคียงกับข้ามาคุยกัน…
ช่างเถอะ ข้ารู้สึกหิวหน่อยๆ แล้ว เอาอย่างนี้ ข้าว่าสุนัขตัวนี้อ้วนดี เจ้าว่าเอามันมาตุ๋นเป็นเนื้อสุนัขสักหม้อดีหรือไม่?”
นี่คือเสียงของกระเรียนขนร่วงที่เฉียนเฉินได้ยินก่อนหมดสติไป ฉะนั้นเขาจึงหมดสติไปด้วยความรู้สึกโชคดีเสีย
ขณะเดียวกัน ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล ภายในเขตสำนักเทียนหลัน ยามนี้มีเสียงระเบิดดังสนั่นสะเทือนแก้วหูแผ่กระจาย ส่งผลให้แผ่นดินรอบๆ สำนักเทียนหลันสั่นไหว ท้องฟ้าเกิดรอยร้าวปริแตกหลายเส้น
คนสี่ถึงห้าแสนคนเข้าปิดล้อมสำนักเทียนหลันพร้อมกัน กลิ่นอายชั่วร้ายและความบ้าคลั่งจากในตัวพวกเขาแทบจะรวมขึ้นเป็นรูปธรรม กดทับใส่ยอดเขาสิบแปดลูกที่มีวงแหวนอาคมคุ้มกันอย่างรุนแรง
สำนักเทียนหลันไม่อาจต่อต้านแรงกดดันนี้ ต่อให้ดิ้นรนก็ถูกกดทับจนป่นปี้ทั้งหมด นี่คือความบ้าคลั่งในการทำลายล้างพร้อมกันซึ่งรวมขึ้นจากจิตใจอันแน่วแน่ของคนสี่ห้าแสนคน
ซูหมิงอยู่ตรงหน้าสุด พวกชื่อเหลยเทียนตามอยู่ด้านหลัง ยามนี้แม้ในใจชื่อเหลยเทียนจะซับซ้อน ทว่าไม่มีความคิดจะเอาผลึกหมานอัสนีคืนจากซูหมิงแม้แต่น้อย ความจริงแล้วเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนเห็นซูหมิงครั้งแรกบนจุดมาเยือนของเผ่าเซียน เขาก็รู้แล้วว่าซูหมิงคือคนจากแดนอรุณใต้ที่ตนคิดว่าสมควรตาย จะต้องสังหารให้ได้
เป็นบุคคลนั้นที่แย่งผลึกหมานอัสนีครึ่งหนึ่งจากเขาไป ตอนนั้นเขายังเอ่ยคำพูดเหี้ยมโหดตามมาด้วย…
ทว่าพอรู้ว่าซูหมิงคือบุคคลผู้นั้น ในใจเขามีหลากอารมณ์ซับซ้อน อีกทั้งยังล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างขมขื่น กระทั่งยังรู้สึกเสียใจภายหลังกับคำพูดเหี้ยมโหดของตนในตอนนั้น
เขาผู้มีความซับซ้อนในใจ เวลานี้ได้เห็นกลิ่นอายพลังแก่กล้าจากตัวซูหมิงที่แทบทำให้เขาหายใจติดขัดอีกครั้ง ก็ยิ่งแสดงความสามารถของตนต่อหน้าอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ ในมุมมองของชื่อเหลยเทียน นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่อีกฝ่ายจะไม่สร้างปัญญาให้กับตนในภายภาคหน้า
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ขณะก้าวเดินไปข้างหน้า หมอกจากวงแหวนอาคมชั้นหนึ่งของสำนักเทียนหลันม้วนถอยไป เผยเป็นม่านแสงอาคมชั้นที่สองซึ่งสำนักเทียนหลันเรียกว่าปราการคุ้มกันสูงสุด
ม่านแสงโอบล้อมรอบสำนักเทียนหลัน กระทั่งหากมองเข้าไปจะพบว่าม่านแสงนี้ไม่ใช่บางๆ แค่ชั้นเดียว แต่รวมกันเป็นกำแพงเมืองล้อมสำนักเทียนหลันเอาไว้ภายใน
นอกจากนี้บนกำแพงยังมีพลังวิญญาณนับไม่ถ้วนแผ่กระจายมาจากผืนดิน แล้วผสานรวมเข้าสู่ข้างในเพื่อคงการหมุนโคจรเอาไว้ กระทั่งห่างกันทุกสิบจั้งของกำแพงวงกลม ยังมีร่างศิษย์สำนักเทียนหลันที่ปรากฏกายวูบวาบนั่งขัดสมาธิอยู่หนึ่งคน ทำให้การป้องกันของปราการชั้นสองนี้เหนือกว่าชั้นหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันยังมีกลิ่นอายพลังแก่กล้าอีกเกือบร้อย ทุกกลิ่นอายพลังล้วนไม่อ่อนแอ ทว่ากลับไม่มีความปราดเปรียว เพราะพวกมันเป็นหุ่นเชิดที่คงอยู่ด้วยวงแหวนอาคมนี้
พวกมันออกจากสำนักเทียนหลันไม่ได้ ต้องอาศัยปราการสูงสุดในการดำรงอยู่ แต่พวกมันก็เป็นปราการป้องกันที่ดีที่สุดของสำนักเทียนหลัน
“ทำลายมัน!” หลังจากซูหมิงกวาดตามองปราการสูงสุดแล้ว ก็เอ่ยเสียงราบเรียบ
เอ่ยจบ พวกชื่อเหลยเทียนก็ทะยานตรงไปยังปราการนั้นทันที ขณะเดียวกันชาวเผ่าหมานสี่ห้าแสนคนก็ร้องคำรามและกระจายแรงกดดันออกไป ก่อนจะชกหมัดใส่ปราการสูงสุดพร้อมกัน
ในความคิดซูหมิง การทำลายวงแหวนอาคมของสำนักเทียนหลันไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไร ไม่ต้องเข้าใจการโคจรของวงแหวนอาคม และไม่ต้องตรึกตรองว่าจะหลบหลีกอย่างไร…เพียงแค่ใช้หมัดก็พอ!
ด้วยหนึ่งหมัดพร้อมกันของคนสี่ถึงห้าแสนคนกับท่าทางอันทรงพลัง จึงสร้างเป็นการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้น และนี่ก็คือหนึ่งหมัดอันสง่าผ่าเผย!
หนึ่งหมัดซึ่งรวมพลังและการระเบิดปะทุของหลายแสนคนบุกทะลวงเข้าไปยังสิ่งที่สำนักเทียนหลันเรียกว่าปราการสูงสุด ประดุจมังกรคลั่งป่าเถื่อน บนปราการสูงสุดมีแสงสีทองวูบวาบเกือบร้อยครั้ง ก่อนปรากฏเป็นหุ่นเชิดเกือบร้อยตน แทบเป็นช่วงที่พวกมันเพิ่งปะทะกับพลังจากเผ่าหมานหลายแสนคน ก็เกิดเสียงครึกโครมดังสนั่นหวั่นไหว หุ่นเชิดเกือบร้อยตนถูกลบหายไป กลายเป็นเถ้าธุลีโดยทันที
ด้วยไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย มังกรคลั่งจากการรวมพลังของเผ่าหมานหลายแสนคนจึงพุ่งชนกับปราการสูงสุดอย่างจัง วินาทีนี้ เสียงโครมดังก้องกังวานไปเกือบครึ่งแดนรกร้างบูรพา จากนั้นปราการม่านแสงส่งเสียงราวกับไม่อาจรับไหว ก่อนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ศิษย์สำนักเทียนหลันหลายพันคนที่นั่งขัดสมาธิประจำการอยู่บนปราการล้วนร่างระเบิดกระจุยและกระเด็นไปพร้อมกับปราการ กำแพงปราการพังพินาศลงท่ามกลางเสียงโครมคราม!
“เทพหมานรุ่นสี่ ต่อให้วันนี้เผ่าหมานของเจ้าทำลายสำนักเทียนหลัน ทว่าสักวันหนึ่ง เผ่าเซียนของข้าจะยกทัพมาทำลายสายเลือดเผ่าหมานของเจ้าให้สิ้น!” เสียงคำรามเล็กแหลมแว่วมาจากเศษซากปราการ เขาเป็นชายชราคนหนึ่ง ตอนนี้ร่างกายเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเคียดแค้น
“เผ่าเซียนของพวกเจ้ายังสังหารเผ่าหมานไม่พออีกรึ ตั้งแต่เทพหมานรุ่นหนึ่งจากไป พวกเจ้าก็แยกศพเทพหมานรุ่นสองอย่างโหดเหี้ยม ผนึกเมืองต้าอวี๋ เซียนผู้มาเยือนจำนวนมากสังหารเผ่าหมานจนโลหิตนอง
ตั้งแต่โบราณกาลมา เผ่าหมานตายในมือพวกเจ้ามากเกินกว่าร้อยล้านคนแล้ว!”
“เผ่าเซียนต้องตาย ชนเผ่าของข้า ญาติพี่น้องของข้า ต้องถูกเผ่าเซียนสังหาร เพียงแค่พวกเจ้าต้องการโลหิตหมานหนึ่งหยด…”
“ตอนนี้ชนเผ่าข้าเหลือข้าเพียงคนเดียว เพียงเพราะว่าที่ตั้งชนเผ่าคือเหมืองวิญญาณ….”
เสียงตะโกนดังระงม นี่คือเสียงของชาวเผ่าหมานหลายแสนคนโดยรอบ เป็นความบ้าคลั่งและเกลียดชังต่อเซียน
นี่คือสงครามระหว่างของสองเผ่า ในสงครามนี้บางทีอาจมีคนที่ไม่ได้เปื้อนโลหิตของสองฝ่าย ทว่าต่อให้เป็นอย่างนั้น ด้วยความที่สองเผ่าพันธุ์ใหญ่ต้องการทำลายอีกฝ่ายให้สิ้นซากไป จึงเป็นไปตามเสียงของคนส่วนใหญ่ ไม่นานก็ค่อยๆ เข้าร่วมสงครามกัน
สงครามนี้ไม่มีถูกผิด บางทีอาจมีเพียงเสียงถอนหายใจเท่านั้น
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมอง ชายชราที่เอ่ยด้วยเสียงเคียดแค้นค่อยๆ สลายไป ภายใต้เสียงคำรามของชาวเผ่าหมานโดยรอบ เขายกมือขวาขึ้นแล้ววางไปทางสี่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หรือปราการชั้นที่สาม
วินาทีที่ลดฝ่ามือลง เทวรูปหมานพันจั้งตรงหน้าซูหมิงก็ตบฝ่ามือไปยังปราการชั้นที่สามเช่นเดียวกัน ท่ามกลางเสียงครึกโครมดังกึกก้อง สายลม สายฝน สายฟ้า และฟ้าผ่าพลันแผ่กระจายออกเป็นวงกว้างจากในวงแหวนอาคมสี่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์
ด้วยความที่ขั้นพลังเผ่าหมานไม่เท่ากัน จากการแผ่กระจายของสี่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์นี้ จึงมีเผ่าหมานไม่น้อยกระอักโลหิต กระทั่งร่างระเบิดตายไป แต่ก็มีเผ่าหมานที่มากกว่าตาแดงก่ำ บินผ่านซูหมิงเข้าไปยังวงแหวนอาคมสี่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความคลุ้มคลั่ง
นี่ไม่ใช่สนามรบของซูหมิงคนเดียว นี่คือ…สนามรบของเผ่าหมานทั้งหมด
ภายใต้การคุ้มกันของวงแหวนอาคม เซียนบนยอดเขาสิบแปดลูกในสำนักเทียนหลันล้วนหน้าซีดขาว มองท้องฟ้าอย่างเงียบๆ สีหน้าพวกเขาดูสิ้นหวัง เงามืดมรณะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ หากวงแหวนอาคมพังทลายลง สิ่งที่รอพวกเขาอยู่มีเพียงความตาย