ตอนที่ 718 รอยยิ้มบางที่ไม่เห็นมานาน
เกล็ดหิมะสีแดงตกลงบนใบหน้าเฉินซิน มันไม่ละลาย ทว่ามีความหนาวเย็น คำพูดซูหมิงมาพร้อมกลิ่นอายไม่คุ้นเคยในความนุ่มนวล ลอยเข้าไปในหูเฉินซินแล้วส่งถึงจิตใจ
ตรงมุมปากเฉินซินยังมีโลหิตอยู่ โลหิตนั้นกับสีหิมะบนใบหน้าเหมือนกัน เลยแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือโลหิต สิ่งไหนคือหิมะ
บางทีคำว่าหิมะออกเสียงคล้ายกับคำว่าโลหิต[1] อาจเป็นเพราะมีเหตุผลนี้อยู่
“ไม่มีเหตุผลใด…หากมีจริง ก็เป็นเพราะเจ้าคือซูหมิง…เป็นซูหมิงที่เติบใหญ่มาพร้อมกับข้า” เฉินซินเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากพลางมองซูหมิง ความซับซ้อนในสีหน้าหายไป แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางอันอบอุ่น
ซูหมิงเงียบงัน มือขวาสะบัดกระบี่สังหารที่กำลังสั่นไหวและตื่นเต้นขึ้นฟ้า เห็นเพียงแสงโลหิตขยับวูบวาบ คล้ายมีสายฟ้าสีโลหิตเส้นหนึ่งปรากฏ ก่อนพุ่งไปยังกระบี่ใหญ่ยักษ์ที่กำลังดิ่งลงมาจากบนฟ้า
ระลอกคลื่นสั่นสะเทือนโดยรอบ สร้างเป็นระลอกแรงปะทะกระจายเป็นวงกว้าง ทันใดนั้นเหนือศีรษะซูหมิงเกิดการระเบิดขึ้น กระบี่ใหญ่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อเป็นคลื่นลมวงแหวนเหมือนจะแบ่งกั้นฟ้าดินออกจากกัน
“ขอบคุณ” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ซูหมิง ทุกอย่างในภูเขาทมิฬเป็นของปลอม ทว่า…ก็มีความจริงอยู่ เหลยเฉินในเรื่องนั้นเป็นของจริง ท่านปู่ก็เป็นของจริง…และยังมีไป๋หลิง…นางก็มีด้านความจริงอยู่เช่นกัน” เฉินซินมองซูหมิง นางรู้สึกได้ว่าหากอดีตของคนคนหนึ่งล้วนเป็นของปลอม ความรู้สึกลวงหลอกนั้นจะเหมือนกับน้ำเชี่ยวที่จมบุคคลนั้นจนมิด และเกิดความสงสัยต่อทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว กระทั่งไม่รู้ว่าอะไรคือความจริง
“เจ้าสังหารเป่ยหลิง ดูท่าโอรสสวรรค์ของสำนักอื่นๆ ที่เคยเติบใหญ่มากับเจ้าในภูเขาทมิฬคงจะตายไปแล้ว…ทว่าซูหมิง ผู้ที่ตายไปนั้นเป็นเพียงร่างจิตเท่านั้น
เรื่องภูเขาทมิฬเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ตอนนั้นหลังจากพวกข้าทุกคนตื่นขึ้นจากวัฏจักรนั้น ก็ได้โชควาสนากับการตระหนักรู้ไปไม่น้อย จนกลายเป็นโอรสวรรค์ของแต่ละสำนักอย่างแท้จริง
ตอนนี้พวกที่อยู่บนแผ่นดินหมานและถูกเจ้าสังหารไป คือร่างจิตเพื่อประคองวัฏจักรแต่ละครั้งของเจ้าเอาไว้ เพื่อทำให้เจ้าสับสน พวกเขา…ยังอยู่ในสำนักเผ่าเซียน ไม่ได้ตาย” เฉินซินมองซูหมิงพร้อมบอกความจริง
“เช่นนั้น…เจ้าล่ะ?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ข้าก็เป็นร่างจิตเหมือนกัน ข้ายังรู้สึกถึงจิตสำนึกของร่างจริง เมื่อครู่ที่มองเจ้า ข้ารู้สึกได้ถึงความซับซ้อนและ…ความคิดถึงของตัวเอง” เฉินซินมีสีหน้าขมขื่นพลางส่ายศีรษะ
“ข้าฝึกฝนมาแต่เยาว์วัย ตลอดหลายปีมานี้ ความทรงจำที่งดงามที่สุดในชีวิตคือตอนอยู่ภูเขาทมิฬ ข้าหวังไว้มากจริงๆ ว่า…ไม่อยากจะตื่นจากวัฏจักรนั้นไปชั่วนิรันดร์ อยากอยู่ภูเขาทมิฬตลอดไป…” เฉินซินหน้าซีดขาว กล่าวพึมพำด้วยความเศร้า ราวกับไม่ได้พูดกับซูหมิง แต่พูดกับตัวเองด้วยความอัดอั้นที่เก็บมานานเสียมากกว่า
ตอนที่เฉินซินพึมพำเบาๆ ศิษย์สำนักชุมนุมเซียนเกือบหมื่นคนบนฟ้าเปลี่ยนตำแหน่งกันอย่างรวดเร็ว ตัดสลับกันไปมา ให้ความรู้สึกว่าค่ายกลกระบี่เปลี่ยนไปอีกครั้ง จากนั้นมีปราณกระบี่ซึ่งแกร่งกว่าเมื่อครู่ไม่น้อยพุ่งมายังซูหมิงพร้อมกัน
“ซูหมิง…ในพวกเรามีบางคนเลือกลืมเจ้า แต่ก็มีบางคน…ยังคิดถึงเจ้าเสมอมา จดจำภูเขาทมิฬ จดจำตอนเติบใหญ่มาด้วยกันในวัฏจักรนั้นได้
ภูเขาทมิฬกลายเป็นอดีตไปแล้ว ทว่ามัน…อยู่ในใจเจ้า และก็อยู่ในใจพวกเรา” เฉินซินยกมือขวาขึ้น วินาทีที่เอ่ยประโยคนี้ มีโลหิตไหลจากมุมปากเยอะยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นใบหน้านางแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วและเริ่มปริแตก
เสียงเฉินซินดังกังวาน ช่วงที่ซูหมิงมองไป เขาเห็นเฉินซินที่ใกล้จะหายไปแล้ว ร่างกายดุจดั่งเถ้าธุลีปลิดปลิว
“ร่างจิตข้าผิดคำสาบาน บอกความจริงกับเจ้าบนแดนหมานมากเกิน บทลงโทษคือร่างจิตสลายหายไป แต่พวกเขาทำอะไรร่างจริงข้าไม่ได้ ซูหมิง…อย่าโทษเป่ยหลิงเลย…เขา ไม่ใช่เขาอีกแล้ว…” เฉินซินกล่าวเสียงเบาแล้วหลับตาลง ร่างสลายเป็นเถ้าธุลีหายไปกับอากาศ
ซูหมิงนิ่งเงียบ สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย ส่วนกระบี่ใหญ่ด้านบนก็กำลังพุ่งลงมา หากแต่ปราณกระบี่เพิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยกมือซ้ายคว้าไปทางมันอย่างแรง ปราณกระบี่พังทลายลงภายใต้เสียงระเบิด หินภูเขาใต้เท้าซูหมิงแตกออกเป็นวงกว้าง แล้วม้วนตลบเป็นพายุที่สามารถถล่มยอดเขาได้ จนกระทั่งเสียงครึกโครมดังรุนแรงยิ่งขึ้น ยอดเขาครึ่งหนึ่งใต้เท้าเขาก็พังทลายลงหมดแล้ว
ชั่วขณะที่ยอดเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ ซูหมิงก้มหน้ามองกระบี่ในมือ สีกระบี่แดงฉานอาบด้วยโลหิต เขามองอาภรณ์ตัวเอง มองสองมือ กระทั่งยังรู้สึกว่ารอบตัวมีวิญญาณร้ายกรีดร้องอยู่นับไม่ถ้วน
วิญญาณเหล่านั้นล้วนเป็นเผ่าเซียนที่ตายด้วยน้ำมือเขา
ความเหนื่อยล้ารุนแรงปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ ความรู้สึกเหนื่อยล้าไม่ได้เพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก แต่ทุกครั้งที่เหนื่อยล้ามันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ทีละน้อย
เขาอยากหลับตาลง แต่ยังทำไม่ได้ สีหน้าในตอนนี้เกิดการแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ความเหนื่อยล้าในแววตาหายไปในพริบตา ลมหายใจถึงขั้นกระชั้นขึ้น เพราะว่า…
ช่วงที่ยอดเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้สึกถึง…กลิ่นอายพลังของศิษย์พี่รอง!
ซูหมิงยกมือซ้ายทำสัญลักษณ์มือแล้วสะบัดไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล พลันเกิดพายุม้วนเศษหินทั้งหมดรอบตัวให้ถอยออกไป ชั่วพริบตาเดียว ฝุ่นหลังจากยอดเขาถล่มลงก็แผ่กระจายออก แล้วเผยให้เห็นผืนดินอย่างชัดเจน
มันเป็นพื้นดินที่เดิมทีมียอดเขาสำนักชุมนุมเซียนอยู่ เวลานี้ด้านบนมีแสงขนาดหลายจั้งอยู่ลูกหนึ่ง
ลูกแสงนั้นส่องแสงสว่างพร่างพราว ตรงขอบมีหมอกหมุนวนบางๆ ภายในลูกแสงนั้นเป็นร่างคนบิดเบี้ยวสีดำ มองเห็นร่างเงาไม่ชัด เพราะเขาไม่มีใบหน้า เป็นเพียงเงาดำที่รวมขึ้นจากหมอกดำทั้งสิ้น
ภายนอกและภายในม่านแสงนั้นมีโซ่ยักษ์อยู่หกเส้น โซ่หกเส้นนี้ทะลวงผ่านลูกแสงและเชื่อมกับเงาดำ ผสานรวมเข้าสู่จิตใจของเงาดำคล้ายกับผนึก
อีกด้านหนึ่งของโซ่หกเส้นนี้ฝังอยู่ในดิน และบนดินยังมีวงแหวนอาคมใหญ่อยู่อีก วงแหวนอาคมนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ไม่ว่าใช้งานอย่างไร ทว่าซูหมิงก็มองออก การใช้งานมีเพียงอย่างเดียวคือผนึก
ผนึกเงาดำภายในลูกแสงนั้น อีกทั้งยังต้องใช้ทั้งยอดเขาสำนักชุมนุมเซียนมาผนึกด้วย ด้วยใช้วงแหวนอาคม ซ้ำยังถูกทับอยู่ใต้ยอดเขาสำนักชุมนุมเซียน จึงไม่มีกลิ่นอายพลังใดๆ ออกมาจากลูกแสงเลย
แต่พอยอดเขาสำนักชุมนุมเซียนถล่มลง ลูกแสงนี้จึงโผล่ออกมา
ดวงตาซูหมิงแทบจะปริแตก ช่วงที่เห็นลูกแสงกับวงแหวนอาคมยักษ์อย่างชัดเจน เขายังเห็นอีกว่าเงาดำในลูกแสงบิดเบี้ยวคล้ายจะสลายไป หมอกดำมรณะหกสายไหลออกจากร่างเงาดำไปตามโซ่หกเส้น ตรงเข้าสู่วงแหวนอาคม เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เงาดำยินยอม แต่ถูกโซ่หกเส้นสูบไป
หมอกดำหกเส้นผสานรวมเข้าสู่วงแหวนอาคมบนพื้นดิน พอเข้าไปในวงแหวนอาคมแล้วก็กลายเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินมหาศาลแผ่กระจายออก…
ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความบ้าคลั่ง ดวงตาเบิกปริแตกตามไปด้วย มีโลหิตรินไหลเหมือนกับน้ำตาโลหิต เขาควรจะมองออกตั้งนานแล้วว่าเขตที่ตั้งสำนักชุมนุมเซียนมีพลังวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นกว่าสำนักอื่นมาก แต่กลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
เขาไม่นึกเลยว่าสำนักชุมนุมเซียนจะทำเรื่องชวนให้คลุ้มคลั่งขนาดนี้
นั่นคือวงแหวนอาคมที่สามารถเปลี่ยนชีวิตให้เป็นพลังวิญญาณฟ้าดิน โซ่หกเส้นนั้นก็คือท่อสูบชีวิต และชีวิตที่ว่า…ก็คือเงาดำในลูกแสง
ลูกแสงคือผนึก เงาดำในนั้นคือต้นตอของความคุ้นเคย เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาคลุ้มคลั่งอยู่ในตอนนี้
“ศิษย์พี่รอง!” เสียงตะโกนของซูหมิงแหบแห้ง มาพร้อมมกับความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง เดิมทีคำพูดของเฉินซินทำให้ในใจเขาเกิดความเหนื่อยล้า กระทั่งหยุดสังหารสำนักชุมนุมเซียนแล้ว
ทว่าพอซูหมิงเห็นศิษย์พี่รอง เห็นร่างเงาอ่อนแรงคล้ายจะสลายไปได้ทุกเมื่อ จิตสังหารจึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“สำนักชุมนุมเซียน เผ่าเซียน…” ซูหมิงพลันวูบไหวตัวลงมายังแผ่นดิน พอเข้ามาใกล้วงแหวนอาคมบนพื้นในชั่วพริบตา เขาก็ยกกระบี่ในมือขวาขึ้นแล้วฟันลงไป ฟ้าดินส่งเสียงเลื่อนลั่น กระบี่สังหารฟันใส่โซ่เส้นหนึ่งโดยพลัน
แรงสะท้อนกลับรุนแรงไหลย้อนเข้าสู่ร่างกายเขา ทำให้ง่ามมือฉีกขาด โลหิตสาดกระจาย ตัวกระเด็นถอยไปสามก้าว
ทว่าแม้จะกระเด็นถอย แต่โซ่กลับเกิดเสียงดังกึกแล้วขาดสะบั้น โซ่เหล็กนี้ไม่ใช่ธรรมดา หากเขาไม่ใช้กระบี่สังหารก็คงยากจะทำลายมันได้
ขณะเดียวกับที่หนึ่งในหกโซ่ขาดไปหนึ่งเส้น คนสำนักชุมนุมเซียนเกือบหมื่นก็ฟันกระบี่แหวกอากาศลงมายังซูหมิงอีกครั้ง กระทั่งศิษย์เกือบหมื่นยังกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตกันทุกคน โลหิตพวกเขากลายเป็นกระบี่เล็กสีแดงฉานภายใต้วงแหวนอาคมกระบี่ กระบี่เล็กสีโลหิตเกือบหมื่นตามอยู่ด้านหลังปราณกระบี่ใหญ่ คล้ายสายฝนกระบี่แผ่ปกคลุมลงมายังเขา
ในตอนนี้เอง พอโซ่เส้นหนึ่งขาดสะบั้น ก็มีเสียงแผ่วเบาแว่วมาจากในลูกแสง เวลานี้คล้ายน้ำหนักที่กดทับร่างเงาดำบิดเบี้ยวลดน้อยลงไปบ้างแล้ว เงาดำจึงรวมกันขึ้นมา ทำให้เส้นหมอกรวมออกมาเป็นร่างคนรางๆ แม้ยังเป็นภาพมายาอยู่ ทว่าใบหน้าชัดเจนขึ้นมาไม่น้อย เผยเป็น…ใบหน้าซีดขาวพร้อมรอยยิ้มบาง
นั่นคือ…ใบหน้าของศิษย์พี่รอง
เขาเหมือนผ่านความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการมา ซูหมิงเห็นใบหน้าขาวซีดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของศิษย์พี่รอง รอยยิ้มน้อยๆ ของเขายังคงอบอุ่นเหมือนในความทรงจำ เขาพยายามเงยหน้าขึ้น เหมือนจะให้แสงตะวันส่องเสี้ยวใบหน้า แล้วยิ้มพลางมองซูหมิง
“ศิษย์น้องเล็ก”