Skip to content

สู่วิถีอสุรา 722

ตอนที่ 722 เปิดเผยเบื้องหลัง

สำนักเซียนแห่งสุดท้ายบนแผ่นดินรกร้างบูรพา เวลานี้กลายเป็นหมอกควัน กลายเป็นป่าทึบผืนหนึ่ง ภายในป่าทึบมีหลุมยักษ์อยู่หนึ่งหลุม เหมือนกับว่ามีเพียงมันที่เป็นพยานได้ถึงร่องรอยการทำลายล้างสำนักชุมนุมเซียนได้

เดิมทีที่นี่เป็นจุดที่มีพลังวิญญาณฟ้าดินเข้มข้นอย่างยิ่งบนแดนรกร้างบูรพา ต่อให้กลายเป็นป่าทึบไปแล้ว พลังวิญญาณก็ยังคงแผ่กระจายอย่างเนิบช้า มันอบอวลอยู่โดยรอบ พอมองไปจะเหมือนป่าทึบถูกหมอกขมุกขมัวโอบล้อมไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนความฝัน

จากนี้ไป ที่นี่จะเป็นสำนักบนแดนรกร้างบูรพาของเผ่าชะตาชีวิต เผ่าชะตาชีวิตจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพราะการคงอยู่ของซูหมิง เผ่าชะตาชีวิตจึงกำหนดฐานะให้เขามีตัวตนอยู่เหนือสิ่งอื่นใดบนเผ่าหมาน

เช่นเดียวกับวิหารเทพเชมันในเผ่าเชมัน เผ่าชะตาชีวิตให้ตำแหน่งของวงศ์ตระกูลซูหมิงอยู่เหนือกว่าชนเผ่าอื่นๆ และสำนักของเผ่าหมาน ไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจพวกเขา เพราะพวกเขาคือเผ่าชะตาชีวิตของซูหมิง

“จากนี้ไป ราชวงศ์ต้าอวี๋ไม่มีอีกแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นใหม่จะเป็นซุ้มประตูสำนักที่ก่อตั้งโดยเผ่าชะตาชีวิตกับคนในเผ่าซึ่งกระจายกันอยู่ในแผ่นดินอื่น ให้ใช้สิ่งนี้คงการหมุนโคจรทั้งเผ่าหมานเอาไว้” นี่คือความคิดของซูหมิง ในเมื่อต้าอวี๋ถูกฝังอยู่นาน เช่นนั้นก็ให้มันอยู่อย่างนั้นไปชั่วนิรันดร์ แล้วให้เผ่าชะตาชีวิตมาแทนที่ต้าอวี๋ในอดีต ทำให้เผ่าหมานเกิดใหม่อีกครั้งและแกร่งกว่าเดิม

ซูหมิงจากไปแล้ว เผ่าชะตาชีวิตที่ตามเขามาสำนักชุมนุมเซียนอยู่ในป่าทึบ ภายใต้การนำของหนานกงเหิน พวกเขาบุกเบิกที่นี่ให้มีสภาพพื้นดินพิเศษที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของเผ่าชะตาชีวิต

ผ่านมาไม่นานนักก็มีภูเขาสูงสองลูกรวมกันเป็นหุบเขา ภายในหุบเขาถูกเปลี่ยนให้จุดรวมระลอกพลังมรณะหยิน ทั้งยังมีของวิเศษเฉพาะของเผ่าชะตาชีวิตอีกหลายอย่าง อย่างเช่นคันธนูยักษ์และวิชาอภินิหารเป็นชุด ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ และยังแกร่งยิ่งกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน พวกเขาก็สร้างรูปปั้นของซูหมิงขึ้นมา เป็นเทวรูปที่ชาวเผ่าชะตาชีวิตกราบไหว้ทุกวัน ทั้งยังกลายเป็นเทวรูปเทพหมานบนแผ่นดินหมาน

ซูหมิงจากไป ข้างกายเขามีศิษย์พี่รอง เฉียนเฉิน กระเรียนขนร่วง และยังมีสุนัขที่น้ำลายไหลตลอดเวลาตัวหนึ่ง รวมถึง…เด็กสาวงดงามผู้ฉลาดซุกซนที่ชอบยิ้มตาหยี

นี่คือกลุ่มที่ประหลาดมาก ทุกครั้งที่ซูหมิงหันกลับไปมองจะอดยิ้มเฝื่อนมิได้ หลายปีมานี้ส่วนใหญ่เขาจะอยู่คนเดียว มีช่วงเวลาอย่างตอนนี้น้อยมาก

โดยเฉพาะเด็กสาวนามอวี่เซวียนนั่งอยู่บนตัวสุนัข สุนัขตัวนี้วิ่งมาตลอดทาง น้ำลายไหลไปพลาง วิ่งวนไปมาบนอากาศไปพลาง

ซูหมิงมองออก เดิมทีสุนัขไม่ควรจะ…คึกคักร่าเริงแบบนี้ ที่มันทำแบบนี้ก็เพราะว่าอวี่เซวียนจับขนตรงศีรษะมันอยู่ พอกระชากไปทางซ้าย สุนัขก็จะวิ่งไปทางซ้าย พอกระชากทางขวา มันก็จะวิ่งไปทางขวาทันที

พอสุนัขวิ่งไปวิ่งมา อวี่เซวียนก็ส่งเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงิน น้ำเสียงนางดูมีความสุข เหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไร…..ทว่าพอซูหมิงได้ยิน นี่มันไม่ใช่ไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่คือไม่มีหัวใจเสียมากกว่า

กระเรียนขนร่วงข้างๆ ศิษย์พี่รองไม่ใช้ร่างแปลงชายชราอีก แต่กลายเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กำลังก้มหน้าขอคำแนะนำจากศิษย์พี่รอง หนึ่งคนหนึ่งกระเรียนอยู่ด้วยกัน บ้างก็ส่งเสียงหัวเราะชั่วร้าย และยังทำท่าทางเสียดายที่เพิ่งมาเจอกัน ทั้งยังคุยถูกคอกันอีก นี่จึงทำให้กลิ่นอายความหยาบโลนที่เข้มข้นโชยเข้ามา

ซูหมิงคลึงระหว่างคิ้ว มองเฉียนเฉินที่แทบจะตามติดตนไม่ห่างมาโดยตลอด เห็นได้ว่าเฉียนเฉินถูกทรมานจนหวาดกลัว เขากลัวกระเรียนขนร่วง แต่กลัวสุนัขยิ่งกว่า และกลัวที่สุดคือเด็กสาวคนนั้น

เดิมทีเขาเจอศิษย์พี่รองของซูหมิงเป็นครั้งแรก ทว่าตอนที่เขาเห็นศิษย์พี่รองคุยกับอวี่เซวียน ทั้งยังเห็นท่าทางหงุดหงิดว่าเหตุใดเพิ่งมาเจอกันของกระเรียนขนร่วง มิหนำซ้ำยังขอคำแนะนำอีก เขาจึงตัวสั่นขึ้นมาโดยทันที สายตาที่มองศิษย์พี่รองต่างออกไป ตั้งใจว่าจะตีตัวออกห่างเข้าไว้ เขาคิดว่า….ในกลุ่มนี้ซูหมิงถือว่าปกติอยู่บ้าง

ซูหมิงออกแรงคลึงระหว่างคิ้วจนจุดนั้นเป็นสีแดง ลอบถอนหายใจยาวอยู่ภายใน ก่อนไม่สนใจคนเหล่านี้อีก แต่กลายเป็นสายรุ้งบินไกลออกไป

“เสี่ยวหวง ตามไป” อวี่เซวียนยิ้มตาหยีพลางมองร่างเงาซูหมิงแวบหนึ่ง แล้วเชิดคางขึ้นอย่างลำพองใจ ครั้งนี้นางติดตามซูหมิงโดยไม่ต้องซ่อนตัวอยู่ในเมฆอีก สามารถตามอยู่ข้างๆ ได้อย่างเปิดเผย แม้จะตอบรับเรื่องงานแต่งอะไรนั่นแล้ว ทว่านางก็ไม่สนใจเรื่องนี้

‘หึๆ ก่อนที่ตาแก่สองคนนั้นจะมา ข้าจะปกป้องเขาให้ดีเลย แบบนี้ถึงจะขายได้ราคาดีกว่าเดิม ช่างเถอะ ถึงจะขาดทุนอยู่บ้าง แต่นี่ก็ถือว่าเอาเปรียบซูหมิงแล้ว รอตาแก่สองคนนั้นมาถึงก่อนข้าค่อยไป

หากเจ้าคนโง่คนนี้หลงใหลข้าขึ้นมาจริงๆ นั่นก็ถือเป็นความซวยของเขา….เฮ้อ ข้าดีเลิศขนาดนี้ ก็ต้องมีคนชอบพออยู่แล้ว ช่างน่ากลุ้มใจยิ่งนัก’ เด็กสาวถอนหายใจด้วยความรู้สึกชื่นมื่น นางตบหัวสุนัข ตบจนหัวมันก้มลงไป แต่กลับไม่กล้ามีเพลิงโทสะแม้แต่นิด

มันไม่ได้กลัวอวี่เซวียน แต่กลัวครอบครัวของนาง ในความคิดมัน ครอบครัวอีกฝ่ายล้วนเป็นคนบ้า…

เห็นๆ อยู่ว่าอวี่เซวียนแอบอวดดีอยู่ข้างใน แต่นางกลับถอนหายใจ ออกแรงจับหัวสุนัขทีหนึ่ง มันเจ็บปวดจนแทบน้ำตาไหล สีหน้าซับซ้อนหลอมรวมระหว่างคับอกคับใจกับความอดกลั้น ก่อนผงกหัวเหมือนยอมรับชะตากรรม แล้วตามซูหมิงไป

ศิษย์พี่รองเองก็เผยรอยยิ้มอบอุ่นบางๆ เขาตบบ่าเด็กหนุ่มร่างแปลงกระเรียนขนร่วง ใช้ท่าทางของผู้อาวุโสกล่าวชมเชยว่า

“ไม่เลว ขนร่วงน้อยเจ้าเป็นคนเข้าใจง่ายมาก เรียนวิชาด้านนี้ของข้าได้เลย จากนี้ไปจงตั้งใจเล่าเรียนเถิด จะต้องเชื่อมั่นในตัวเองไว้ กำหนดเป้าหมายให้ตัวเอง สักวันหนึ่งเจ้าจะเป็นบุคคลสำคัญ

แม้คนอื่นจะทุบตีเจ้า เหยียดหยามเจ้า ดูหมิ่นเจ้า เจ้าก็ต้องเดินต่อไปบนเส้นทางของตัวเอง เส้นทางนี้ขรุขระ แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไปได้ไกลกว่าข้า”

เด็กหนุ่มกระเรียนขนร่วงมีสีหน้าตื่นเต้น ออกแรงตบหน้าอกตัวเองแล้วพยักหน้าแรงๆ

“ขนร่วงน้อยรับทราบขอรับ ข้ามีเป้าหมายแล้ว นั่นคือให้เต้าเฉินกลายเป็นสัตว์พาหนะของข้า ย่ามันเถอะ ให้เขาเป็นสัตว์พาหนะของข้า ท่านว่าตอนนั้นข้าจะน่าเกรงขามมากเพียงใด” กระเรียนขนร่วงตาเป็นประกายวาววับ ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น

“ข้าขอเอาใจช่วย ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้แน่นอน” นัยน์ตาศิษย์พี่รองขยับประกาย รอยยิ้มมีการให้กำลังใจเจืออยู่ เขาตบบ่าเด็กหนุ่มกระเรียนอีกครั้ง แล้วเบนสายตาไปมองสุนัขที่บินไกลออกไป มุมปากยกยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม

หลายวันต่อมา

ตรงจุดมาเยือนของเซียนบนแดนรกร้างบูรพา ท้องฟ้าอึมครึม มีเมืองหลวงต้าอวี๋ลอยอยู่บนฟ้า ประดุจรอยปะชุนขนาดยักษ์ปกคลุมผืนฟ้าอยู่

บนฟ้ามีสายลมพัดผ่าน ม้วนเศษดินบนพื้นจนเกิดเสียงซ่าๆ กลางแผ่นดินที่เต็มไปด้วยรอยร้าวมีรูปปั้นไร้หัวอยู่รูปหนึ่ง ในมือรูปปั้นถือขวานสงครามยักษ์ กลิ่นอายชั่วร้ายจนไม่อาจบรรยายมีอยู่ทั้งในและนอกรูปปั้นนั้น พอมองไปจะรู้สึกใจสั่นไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้

ซูหมิงยืนอยู่ข้างรูปปั้น สายตาเหม่อมอง ข้างกายเขาเป็นศิษย์พี่รอง

เฉียนเฉินและกระเรียนขนร่วงอยู่ไกลออกไป เฉียนเฉินถูกกระเรียนขนร่วงจับคอเอาไว้ เขามีสีหน้าอยากจะร้องไห้ กำลังจะอ้อนวอน ทว่ากระเรียนขนร่วงกลับขี่อยู่บนตัวเฉียนเฉินอย่างตื่นเต้น กำลังใช้เฉียนเฉินเป็นตัวทดลองทักษะที่ไม่เป็นไปตามหลักทั่วไป ซึ่งเรียนรู้จากศิษย์พี่รองในช่วงที่ผ่านมา

ส่วนอวี่เซวียนกับสุนัขอยู่กลางอากาศ บินไปบินมาอย่างมีความสุข วนเวียนอยู่หลายรอบ…เหมือนไม่รู้จักคำว่าเวียนหัว

ศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า ตอนนี้นอกจากหู่จื่อแล้ว ในที่สุดสามคนนี้ก็มารวมตัวกัน ทว่าการรวมกันครั้งนี้กลับมีความเศร้าและเงียบ

ซูหมิงมองรูปปั้นของศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองก็มองเช่นกัน พวกเขาสองคนเงียบงัน แต่ค่อยๆ ยกมือขึ้นกดบนตัวรูปปั้นพร้อมกัน เวลาค่อยๆ ผ่านไป ครู่ต่อมาก็พลันมีแสงสีเทาเปล่งมาจากตัวรูปปั้น มันไหลเวียนอยู่บนนั้นแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ตรงไปยังฝ่ามือที่กดอยู่บนตัวรูปปั้นของซูหมิงกับศิษย์พี่รอง

วินาทีที่เข้ามาใกล้ มันก็ไหลเข้าสู่ฝ่ามือทันที นัยน์ตาซูหมิงแวววาว เขาสังเกตเห็นว่าในแสงสีเทามีกลิ่นอายพลังที่ทำให้เลือดเนื้อแข็งชาแล้วกลายเป็นหินอยู่ ทว่าเขากลับไม่ปล่อยมือออก แต่โคจรขั้นพลังเพื่อกำราบกลิ่นอายพลังนั้น

นัยน์ตาศิษย์พี่รองเปล่งแสงหม่น ผิวหนังค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เขาแค่นเสียงหึแล้วกำราบเข้าไป

ผ่านไปพักหนึ่งก็มีแรงสะท้อนกลับรุนแรงส่งมาจากรูปปั้น ผลักมือซูหมิงกับศิษย์พี่รองขึ้น พอถอยออกจากรูปปั้นแล้ว ทั้งสองคนก็มองตากัน

“กลิ่นอายพลังของศิษย์พี่ใหญ่ยังอยู่”

“เราค่อยๆ ขับไล่แสงสีเทาจากรูปปั้นได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักระยะ”

ศิษย์พี่รองเผยรอยยิ้มบาง ตอนที่มองซูหมิง นัยน์ตาเขาฉายแววชื่นชม พอสังเกตเห็นขั้นพลังซูหมิงอีกครั้งก็ชื่นชมอยู่ในใจ เขารู้ว่าศิษย์น้องเล็กเติบโตแล้วจริงๆ

“หากศิษย์พี่ใหญ่ตื่นขึ้น เขาจะต้องเห็นด้วยที่ข้าจัดงานแต่งให้เจ้าอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่รองมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วพลันกล่าวขึ้น เสียงเขาเบามาก มีเพียงซูหมิงได้ยิน มิหนำซ้ำรอบตัวพวกเขายังมีระลอกคลื่นกระจายเพื่อขวางจิตสัมผัสของคนนอกเอาไว้ด้วย

“ศิษย์พี่รองมองเบื้องหลังนางออกหรือไม่?” ซูหมิงหลังเลครู่หนึ่ง ถึงมองยังศิษย์พี่รอง

“แม่นางน้อยคนนี้ไม่ใช่เผ่าหมานและก็ไม่ใช่เผ่าเซียน ในตัวนางมีกลิ่นอายพลังคล้ายความตายอยู่ แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังชีวิต เดิมทีน่าจะเป็นหุ่นเชิดเท่านั้นถึงจะมีพลังแบบนี้ได้ ทว่าเจ้าดูเอา นางจะเป็นหุ่นเชิดไปได้อย่างไร

เดิมทีข้ายังลังเลฐานะของนางอยู่บ้าง แต่พอเห็นสุนัขตัวนั้นแล้ว ข้าก็มั่นใจเบื้องหลังของนาง!” ศิษย์พี่รองไม่ได้เงยหน้ามองเด็กสาวกับสุนัข เขามองรูปปั้นศิษย์พี่ใหญ่พลางกล่าวอย่างอบอุ่น

“ตอนนั้นอาจารย์เคยบอกไว้ อาจารย์ของท่านหรืออาจารย์ปู่เราเคยบอกว่าจุดที่เผ่าเซียนกับเผ่าหมานอยู่เรียกว่าโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่ในจักรวาลกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดแห่งนี้ มีอยู่สี่โลกแท้จริง” ศิษย์พี่รองมองซูหมิง

“ในสี่โลกแท้จริง มีโลกหนึ่งเรียกว่าโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก คนในโลกนี้ฝึกฝนวิชายมโลก กลิ่นอายพลังในร่างกายคล้ายชีวิตแต่ก็ไม่ใช่ คล้ายความตายแต่ก็ไม่เชิง มันคล้ายกับแม่นางน้อยคนนี้มาก”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!