Skip to content

สู่วิถีอสุรา 724

ตอนที่ 724 มาเกาะบึงใต้อีกครั้ง

อวี่เซวียนตะลึงงัน ตลอดทางมานี้นางไม่เคยเห็นซูหมิงอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน ไหนจะยังมีเสียงนุ่มนวลอีก ทุกอย่างกะทันหันอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความพิลึกอย่างบอกไม่ถูก ทำให้นางนึกถึงอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัว ยังไม่ทันที่นางจะถอยไป ซูหมิงก็อาศัยจังหวะที่นางอึ้งงันอยู่เข้ามาข้างๆ แล้วยกมือขวาวางบนศีรษะงามของนางอย่างเป็นธรรมชาติ

ทุกอย่างฟังดูเหมือนนาน แต่ความจริงเกิดขึ้นในพริบตา วินาทีที่อวี่เซวียนหน้าเปลี่ยนสีและถอยไป ซูหมิงก็ดึงเส้นผมสีดำของนางมาเส้นหนึ่ง

ซูหมิงพลิกมือขวา เส้นผมของอวี่เซวียนพลันหายไปในมือเขา

“ในเมื่อเจ้าจะตามติดข้าตลอด คงจะต้องรู้แน่ๆ ว่าหลังจากแซ่ซูมีเส้นผมอยู่ในมือแล้วจะเกิดอะไรขึ้น!” ความอบอุ่นของซูหมิงหายไป คำพูดอ่อนโยนยังกลายเป็นเย็นเยียบ กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง

เฉียนเฉินด้านหลังเบิกตาค้างอ้าปากกว้างกับเหตุการณ์นี้ แล้วพลันนึกไปถึงเหตุการณ์ดวงซวยหลายวันติดต่อกันของตนตอนอยู่บนยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ภายในสายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัว เขารู้แล้วว่าแม้แต่ซูหมิงก็ยังไม่ปกติ ทุกคนรอบตัวเขาล้วนชั่วร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ

ต้องเป็นคนชั่วร้ายแบบใดกันถึงใช้เส้นผมมาผูกเป็นตุ๊กตาแล้วใส่คำสาปเอาไว้ ในความคิดเฉียนเฉินผุดขึ้นมาเป็นภาพซูหมิงนั่งยองอยู่ตรงมุมหนึ่ง ยกยิ้มชั่วร้ายพลางผูกตุ๊กตาจากเส้นผมแล้วลงคำสาป ทันใดนั้นเขาก็ตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม

กระเรียนขนร่วงเบิกตากว้าง มองอวี่เซวียนที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างไม่เข้าใจ มันไม่ค่อยเข้าใจ นึกไม่ออกว่าเส้นผมจะมีอะไรได้

ศิษย์พี่รองก็ตะลึงงัน แต่เขามองออกจากสีหน้าอวี่เซวียนว่าสภาพอารมณ์จะต้องย่ำแย่อย่างแน่นอน จึงอดยิ้มน้อยๆ ขึ้นมาไม่ได้

แม้แต่สุนัขพอเห็นซูหมิงดึงเส้นผมอวี่เซวียนแล้วกลับมีสีหน้าราวกับเห็นผี รีบถอยหลังไปเล็กน้อย มันติดตามมาตลอดทาง จึงได้เห็นซูหมิงใช้วิชาคำสาปด้วยวิธีนี้อยู่หลายครั้ง แม้ไม่รู้ประวัติของวิชานี้ ทว่ามันน่าสะพรึงกลัวและยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของมัน

หลังจากซูหมิงสู้กับตี้เทียนกลางทะเลมรณะก็หายตัวไปหนึ่งปี ตอนที่อวี่เซวียนเจอซูหมิงอีกครั้ง เขาอยู่ในสำนักวิญญาณอสูร คนนอกไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์

อวี่เซวียนถลึงตามองซูหมิง นางเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ปกติจะเอาเปรียบคนอื่น น้อยนักที่จะเสียเปรียบใคร ต่อให้เป็นศิษย์พี่รองของซูหมิงก็ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย

นางมองออกว่าศิษย์พี่รองน่าจะมองออกถึงเงื่อนงำจากตนหรือไม่ก็สุนัขอยู่บ้าง แต่นางเองก็ใช้สิ่งนี้เพื่อจะได้ติดตามอย่างเปิดเผยเช่นกัน ทุกอย่างในสายตานางเป็นเพราะความสนุกเสียส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดอะไรมากนัก

ก่อนหน้านี้ที่ใช้คำถามมาแลกกับเม็ดยา ดูเหมือนล้อเล่นก็จริง ทว่าความจริงนางตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น อาการบาดเจ็บของศิษย์พี่รองภายนอกดูคล้ายไม่มีอะไร แต่ที่จริงบาดเจ็บไปจนถึงแก่นแท้แล้ว หากไม่รีบรักษาก็จะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง

เพียงแค่ศิษย์พี่รองไม่พูดก็เท่านั้น แต่เจ้าทึ่มซูน้อยตรงหน้าช่างสมกับเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ ไม่คิดเลยว่าจะมองไม่ออก บวกกับก่อนหน้านี้ศิษย์พี่รองโคจรพลังเพื่อจะฟื้นคืนชีพรูปปั้น สิ่งเหล่านี้เลยทำให้อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นนางจึงหยอกเย้าซูหมิงจะได้ช่วยรักษาศิษย์พี่รองด้วย ในสายตานางตนช่วยซูหมิงก็ถูกต้องแล้ว หนำซ้ำระหว่างทางนางยังเบิกบานใจอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรนางก็มองออกว่าศิษย์พี่รองไม่มีเจตนาร้ายกับตน เรื่องการวางแผนต่อกันและกันนี้ย่อมต้องอาศัยความสามารถด้วย

ส่วนซูหมิง อวี่เซวียนเพียงรู้สึกว่ามีพรสวรรค์ไม่เลว สิ่งสำคัญคือสถานะของเผ่ายมโลกสามารถขายได้ในราคาดี ฉะนั้นนางจึงไม่ได้สนใจแผนการของอีกฝ่าย เรื่องงานแต่งอะไรนั่นเพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น

แต่ตอนนี้ ขณะถลึงตามองซูหมิงนางกลับจริงจังขึ้นมา และสาเหตุคือนางเสียเปรียบอีกฝ่ายมากถึงเพียงนี้

สิ่งนี้เป็นเรื่องที่นางไม่เคยคาดคิดมาก่อน หากพลาดให้ศิษย์พี่รอง นางยังไม่รู้สึกว่าเสียเปรียบเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรศิษย์พี่รองก็ใช้วิธีที่ไม่ปกติ ทำให้คนยากจะคลำหาร่องรอยเจอ

ทว่า…ตนกลับพลาดให้ซูหมิง จึงทำให้นางโกรธยิ่งนัก

นางถลึงตามองซูหมิง ซูหมิงก็มองนางเรียบๆ สองคนประสานสายตากัน เหมือนมีประกายไฟวูบวาบ เพียงแต่ประกายไฟไม่ใช่ความรัก แต่เป็น…การปะทะกันอย่างดุเดือด

ผ่านไปพักหนึ่ง อวี่เซวียนก็แค่นเสียงหึแล้วหันหน้าไป ไม่สนใจซูหมิงอีก ก่อนขึ้นมานั่งบนหลังสุนัข ภายใต้ความคับอกคับใจและจนปัญญาของสุนัข นางดึงขนตรงหัวมันไม่หยุด ดวงตางามขยับวูบไหว ไม่รู้ว่าในความคิดมีวิธีปราบเขาอีกเท่าไร

ซูหมิงมีสีหน้าเฉยเมย ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะวางแผนจัดการตนอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้ก็ได้ความสงบที่ห่างหายไปนานคืนมา และยังไม่มีเสียงที่ทำให้เขาแทบเสียสติอีก ท่ามกลางความเงียบสงบ กลุ่มคนกลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายมุ่งหน้าไปยังหมู่เกาะที่จื่อเยียนอยู่

ความสงบที่พบเห็นได้ยากในยามนี้อบอวลอยู่รอบๆ กลุ่มคน ศิษย์พี่รองยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นตลอด มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ เจ้าสุนัขก็มีสีหน้าอัดอั้นตันใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังดูเจ็บปวด เพราะเด็กสาวดึงขนตรงหัวมันด้วยสีหน้าไม่พอใจไม่หยุดหย่อน

กระเรียนขนร่วงกะพริบตาปริบๆ มันไม่กล้าหายในแรง เพราะมีความรู้สึกรางๆ เหมือนก่อนพายุจะมาว่าตอนนี้ตนอย่าเสนอหน้าไปจะดีที่สุด มิเช่นนั้นอาจถูกลากเข้าไปพัวพันด้วย

เฉียนเฉินก็เช่นกัน เขาก้มหน้าลงเป็นสัตว์พาหนะของกระเรียนขนร่วง กลัวว่าตนจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้

เดิมทีกลุ่มคนอยู่ห่างจากเกาะอรุณใต้ไม่ไกลอยู่แล้ว ตอนนี้ภายใต้การทะยานอย่างเงียบๆ ไม่นานในสายตาก็ปรากฏหมู่เกาะแห่งหนึ่งบนทะเลมรณะ

หมู่เกาะนี้ดูอ้าวว้าง ไม่มีจุดพิเศษใดๆ แต่พอซูหมิงเข้ามาใกล้และยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือผลักไปทางหมู่เกาะแล้ว หมู่เกาะก็เงียบงันอยู่สิบลมหายใจ ก่อนจะปรากฏม่านแสงสีครามอ่อนขึ้นมา ตอนม่านแสงเพิ่งปรากฏยังเป็นสีครามอ่อน แต่ก็กลายเป็นสีครามเข้มอย่างรวดเร็ว เส้นทางยาวเหยียดเส้นหนึ่งโผล่มาจากม่านแสงนั้น

ฟางชางหลันอยู่ในอาภรณ์ขาว หญิงสาวที่เหมือนค่อนข้างบอบบางผู้นี้ก้าวเดินออกมาเบาๆ นางไม่มองคนอื่นแต่มองซูหมิง มองอยู่อย่างนั้นแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน

ความรู้สึกบริสุทธิ์แผ่กระจายมาจากตัวฟางชางหลัน เมื่อมีม่านแสงสีครามเข้มรอบๆ มาช่วยเสริม นางจึงดูงดงามดั่งความฝันมากกว่าเมื่อก่อน

ด้านหลังนางมีคนตามมาสิบกว่าคน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้คนบนเกาะในตอนนั้น พวกเขารู้จักซูหมิง เวลานี้ต่างพากันประสานมือคารวะเขาด้วยความเคารพ

ในนั้นมีจื่อเยียน และก็มี…หยามู่ ชั่วขณะที่จื่อเยียนผู้แต่งตัวเป็นหญิงผู้ออกเรือนแล้วกำลังจะคารวะตาม นางตัวสั่นรุนแรง แล้วเหม่อมองชายหน้าซีดขาวข้างๆ ซูหมิงที่ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นแบบในความทรงจำ

วินาทีที่เห็นชายคนนั้น ทุกคนในโลกของจื่อเยียนหายไป เหลือเพียงชายผู้ให้แสงตะวันส่องเสี้ยวหน้าและอบอุ่นราวกับดอกไม้

นั่นคือภาพในความทรงจำ คือความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในความคิดนาง คือชายบนยอดเขาลำดับเก้าที่ขวางทางตนเอาไว้แล้วกล่าวแนะนำตัวเองอย่างอบอุ่น ทั้งยังให้แสงอาทิตย์ส่องแถบใบหน้า และคิดว่าท่าทางเช่นนี้ช่างสง่าเผ่าเผยเสียเหลือเกิน

นั่นคือความงดงามในอดีต บางทีอาจไม่เรียกว่างดงาม แต่เป็นเพียงการแตกหน่อเท่านั้น ทว่า…มันก็เคยอยู่ในอดีต

หยามู่เงียบงัน เขามองความผิดปกติของจื่อเยียนออก มองออกว่าคนที่ทำให้นางเป็นอย่างนี้ก็คือชายข้างซูหมิง ขณะเงียบก็เกิดความขมขื่นในใจ เขาค่อยๆ ก้มหน้าลงแล้วถอยห่างจากข้างจื่อเยียนไปหลายก้าว

‘จื่อเยียน ขอเพียงเจ้ามีความสุข ข้ายอมทุกอย่าง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบข้า ข้ารู้…’ หยามู่ก้มหน้าลง และยอมหลีกทางให้

ในกลุ่มคนยังมีจงเจ๋อที่แก่ชราอย่างเห็นได้ชัดอยู่ ในตัวเขามีกลิ่นอายพลังที่เสื่อมสภาพเข้มข้น เขาเหมือนชายชราธรรมดาคนหนึ่ง กำลังอมยิ้มมองซูหมิงโดยมีหญิงสาวผู้งดงามคนหนึ่งประคองอยู่

ซูหมิงรู้จักหญิงสาวที่ประคองอยู่นี้ นางคือหวั่นชิว…สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าทะเลใบไม้ร่วงในอดีต

หลังจากซูหมิงจากไปในตอนนั้น นางก็มาถึงเกาะบึงใต้แห่งนี้แล้วก็มาเจอจงเจ๋อ

เกาะบึงใต้ภายในม่านแสงสีครามเข้มเป็นเมืองรุ่งเรืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และมีร่มไม้เป็นปึกแผ่น นอกจากนี้ยังมีสิ่งก่อสร้างเป็นหอบนเทือกเขารอบๆ ทุกอย่างทำให้เกาะบึงใต้กลายเป็นดินแดนในอุดมคติ

กฤษณาและกลิ่นหอมของพืชดอกฟุ้งอยู่ในม่านแสง พอได้กลิ่นแล้วจะสุขสบาย ซูหมิงยืนอยู่บนหน้าผาแห่งหนึ่ง มองไกลออกไปจะเห็นฟ้าสีคราม เห็นเมฆสีขาว นั่นคือสิ่งที่เป็นของจริง

เดิมทีท้องฟ้าของแดนอรุณใต้เต็มไปด้วยเมฆหนา ทว่าจากการต่อสู้ระหว่างซูหมิงกับตี้เทียน ณ จุดมาเยือนของเซียน การเหนี่ยวนำพลังฟ้าดินในครั้งนั้นจึงส่งผลถึงฟ้าของแดนอรุณใต้ด้วย มันเลยกลับมามีสีดังเดิม

ทะเลมรณะกระทบหินด้านล่าง เกิดเป็นระลอกคลื่นและฟองอากาศสีดำ

ฟางชางหลันยืนอยู่ข้างซูหมิง นางสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม ภายในสีหน้าอบอุ่นมีความสุภาพและมีความหมายลึกซึ้งอยู่

นางยืนอยู่ข้างซูหมิง จัดรอยยับบนอาภรณ์ให้เขา สีหน้าท่าทางสง่างดงาม ในความเงียบสงบมีความอบอุ่นแฝงอยู่

หวั่นชิวยืนอยู่ไกลออกไป กำลังมองภาพนี้อย่างเงียบๆ

ห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกล จะเห็นว่าบนยอดเขาอีกลูกหนึ่งก็มีคนยืนอยู่สองคนเช่นกัน นั่นคือ…ศิษย์พี่รองกับจื่อเยียน

นอกจากนี้ยังมีอีกยอดเขาหนึ่ง อวี่เซวียนกำลังจ้องซูหมิงด้วยความโกรธกริ้ว ทว่าสายตาจะมองฟางชางหลันเสียมากกว่า

สุนัขเหลืองนอนหมอบอยู่ข้างๆ มองอวี่เซวียนแล้วมองซูหมิงที่อยู่ไกลออกไป สุดท้ายก็มองฟางชางหลันข้างๆ เขา มันพลันตัวสั่นขึ้นมา รู้สึกถึงความหนาวเยือกจากตัวอวี่เซวียน จังหวะที่เหลือบตามองไป มันเห็นชัดเลยว่าอวี่เซวียนมีแววตาคล้ายกับตอนพิจารณาเหล่าสนมมังกรยมโลกจำนวนมากของตน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!