Skip to content

Swallowed Star 41

ตอนที่ 41 แดนเถื่อน

มีค่ายทหารอยู่ห่างออกไปประมาณสองสามร้อยไมล์จากตอน เหนือแห่งนครเจียงหนาน

“เอี๊ยดคด..” รถไฟค่อยๆ หยุดลงที่สถานีของกองทัพ

เหล่านักสู้ติดอาวุธทยอยออกมาจากรถไฟทีละคน รวมแล้ว 20 คน ซึ่ง 20 คนนี้มาจาก 4 ทีม

“หลัวเฟิง ปกติแล้วพอนักสู้จะออกไปล่าสัตว์ประหลาด พวก เราจะเข้าไปในค่ายทหารกันก่อนเพื่อเติมเสบียง” เฉินกู่ชี้นิ้วไป ข้างหน้า ที่ที่มีตึกสูงราวๆ 50-60 เมตรเห็นจะได้ “เห็นตึกนั้นไหม? อิสระจากจีน หรือแม้กระทั่งโลกนี้ ทางกองทัพแบ่งเอาเขตแดน เถื่อนออกมาแล้วสร้างฐานขึ้นสำหรับให้นักสู้ใช้พักและเติมเสบียง สถานที่แห่งนี้จะสังเกตเห็นด้วยกระโจมไฟพวกนั้น หรือจะพูดง่ายๆ มันบอกเราว่านั่นแหละทางกลับบ้าน”

หลัวเฟิงพยักหน้า

ในฐานเติมเสบียงภายในค่ายทหาร มีตึกเล็กๆ แต่สร้างไว้อย่างดี และมีบริเวณแวดล้อมเป็นระเบียบสวยงาม

“ทีมค้อนอัคคี พวกนายพักที่ตึก E6 นะ” เจ้าหน้าที่ประจำฐาน ยื่นคีย์การ์ดให้หัวหน้าทีมค้อนอัคคี ‘เกาเฟง’ แล้วหัวเราะพลางตบไหล่เขา “สหายเกา ไปนานหรือเปล่าครั้งนี้? ถ้าได้ของดีๆ ก็เอามา ขายให้ตลาดพันธมิตรใต้ดินของเรานะ รับรองได้ราคางามแน่”

ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะสวมเครื่องแบบกองทัพ…

แต่ที่จริงเจ้าหน้าที่บริการส่วนใหญ่มาจากสำนักขีดสุด สำนักสายฟ้า กองทัพรัฐบาลและพันธมิตรใต้ดินกันทั้งนั้น แม้ว่าพวกเขา จะประจำอยู่ที่นี่เพื่อบริการ แต่พวกเขาก็ยังคอยซื้อวัตถุดิบสำคัญๆ ของพวกสัตว์ประหลาดจากพวกนักสู้อีกด้วย

“ฮ่าๆๆ.. ได้” เกาเฟิงหัวเราะ “เร็วเข้าเถอะให้คนไปทำอาหาร เที่ยงกินได้แล้ว”

………….

ฐานที่ใช้เติมเสบียงไม่ใหญ่โตอะไรนัก

“ตึก E6 อยู่ตรงนั้นเอง” ทีมค้อนอัคคีหาตึกเล็กๆ ขนาด 3 ชั้น ซึ่งเป็นตึก E6 เจออย่างรวดเร็ว กุญแจเป็นแบบคีย์การ์ด หลังจาก รูดคีย์การ์ดตรงประตู มันก็เปิดออก ก่อนที่ทีมค้อนอัคคีจะออกไป จากฐานเติมเสบียงนี้ ตึกนี้เป็นจะเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา

“งีบซักหน่อยดีกว่า เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเลย” เฉินกู่วาง สัมภาระลงและก็กระโดดขึ้นบนโซฟา เขาเหยียดตัวไปบนโซฟา และก็นอนหลับอย่างสบาย

“ถ้านายอยากจะพักก็ให้รีบพัก เราจะต้องออกเดินกันคืนนี้ ถึง ตอนนั้น นายจะต้องมีสมาธิเต็มที่” หัวหน้าเกาเฟิงสั่งการ

“เข้าใจครับ”

‘หอกพิฆาต’ จางเคอและสองพี่น้องดาบพระจันทร์คู่หัวเราะใน คำตอบ เพราะพวกเขารู้เรื่องกฎนี้มานานแล้ว

“ออกเดินทางคืนนี้?” หลัวเฟิงประหลาดใจ

“หลัวเฟิง นายก็ไม่ดูสภาพอากาศเดี๋ยวนี้บ้างเหรอ? นี่มัน ปลายเดือนกันยา เป็นช่วงที่รัอนที่สุดในรอบปีเลยนะ นายจะวิ่งแบก ของกว่าร้อยกิโลตอนกลางวันแสกๆ งั้นเหรอ? ไม่ว่าจะเอานํ้าไป ด้วยเท่าไหร่ มันก็ไม่มีทางพอ แบบนั้นนายคงจะต้องดื่มนํ้าจาก แม่นํ้าแทน” เฉินกู่หัวเราะขณะที่มองดูหลัวเฟิง “ไม่ดีกว่าเหรอถ้า เราจะวิ่งกันตอนกลางคืน? อีกอย่างมันก็ช่วยประหยัดนํ้าด้วย”

หลัวเฟิงหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน

แม้ว่าเขาจะอ่านโพสต์มามาก เขาก็ไม่เคยรู้ในจุดนี้เลย

“หือ?” หลัวเฟิงจ้องผ่านหน้าต่างไปแล้วก็เห็นใครคนหนึ่งที่ ฐานเติมเสบียง “พี่เฉิน ดูสิ ใช่จางเจ๋อหู่หรือเปล่า?” ในตอนนั้น ร่าง ของจางเจ๋อหู่ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าพันแผลและมีจุดเลือดซึมเป็นหย่อมๆ ไปหมด เห็นได้ชัดเจนว่าเขาได้รับบาดเจ็บและกำลังพัก ฟื้นอยู่ที่ฐานเติมเสบียง

เฉินกู่หันไปมอง “ใช่ นั่นคือเจ้าจางเจ๋อหู่”

“เฮ้!” เฉินกู่เดินไปที่ประตูแล้วตะโกนอย่างสะใจ “พยัคฆ์ภูเขา เป็นอะไรไป? ล่าสุดยังดีๆ อยู่นี่นา เผลอแป๊บเดียวไหงเละเป็นโจ๊ก อย่างนั้นล่ะ?”

จางเจ๋อหู่ที่กำลังเดินกับคู่หูอยู่ด้านนอก หันมาแล้วก็เห็นเฉินกู่ กับหลัวเฟิงอยู่ที่ประตู เขาเดือดดาลจนตัวสั่น และด้วยความโกรธ เขาจึงตะโกนสวนกลับมาเสียงดัง “ปีนใหญ่เทพอัคคีเฉิน ทีมค้อน อัคคีของนายเป็นทีมหัวกะทิ แล้วไหงเอาไอ้เด็กใหม่ไปด้วย? ฮ่าๆ พนันได้เลยว่าทีมของนายจะต้องหัวคะมำจากภาระของทีมแน่!”

โดยปกติทีมระดับหัวกะทิจะไม่พาเด็กใหม่ไปด้วย

เพราะว่าถึงแม้สมรรถภาพร่างกายของเด็กใหม่จะดี แต่ก็ไร้ซึ่ง ประสบการณ์ เขาอาจจะทำเรื่องยุ่งในจังหวะสำคัญๆ ได้ สิ่งนี้อาจจะทำให้พวกมีประสบการณ์ในทีมสับสนกันเองได้

……….

จางเจ๋อหู่และเฉินกู่ตอบโต้กันไปมาต่ออีก แต่เพราะหัวหน้า ‘ค้อนคู่วายุ’ เกาเฟิงตะโกนมา จางเจ๋อหู่จึงเงียบไป ถึงแม้เขาจะกล้า เถียงกับเฉินกู่อย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าเถียงกับเกาเฟิง! เพราะว่าเกาเฟิงใช้อาวุธเย็นในขณะที่เฉินกู่ใช้อาวุธร้อน

การใช้อาวุธร้อน แม้ว่าจะเก่งถึงขีดสุด ก็สามารถเป็นได้เพียง ‘ระดับแม่ทัพขั้นต้น’ เพราะว่าอาวุธร้อนอย่างเช่นปืนโดยทั่วไป จัดการสัตว์ประหลาดได้แค่ระดับ ‘บัญชาการขั้นต่ำ’ เท่านั้น

จางเจ๋อหู่ใกล้เข้าระดับ ‘แม่ทัพ’ แล้ว

“บ้าจริง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลัวเฟิงแทรกตัวเข้าไปอยู่ในทีม ค้อนอัคคีได้” จางเจ๋อหู่เดินไปกับคู่หูบนถนน แต่ปากของเขาก็สบถด่าอยู่ “คิดว่ามันจะไปเข้ากับทีมธรรมดาๆ ซะอีก จะได้เปิด โอกาสให้ฉันเข้าไปตื้บสั่งสอนมันที่ริอาจมาแหยมกับฉันซะหน่อย แต่นี่ มันดันได้เข้าร่วมกับทีมค้อนอัคคีซะอย่างงั้น!”

จางเจ๋อหู่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้น

“พยัคฆ์ เจ้าหนูที่ยืนอยู่ข้าง ๆเฉินกู่น่ะเหรอคือหลัวเฟิงที่ทำให้ นายต้องจ่าย 100 ล้าน?” ชายตาเดียววัยกลางคนกล่าว

“ใช่ มันนั่นแหละ”

จางเจ๋อหู่ตาลุกวาวด้วยความโกรธ “เจ้ากระต่ายน้อยนั่น ฉันไม่ คิดว่ามันจะกล้าอวดดี หลังจากที่เจรจาไม่สำเร็จแล้วฉันก็กลับมา จากนั้นหน่วยงานรักษาความปลอดภัยก็ตรงดิ่งไปที่บ้านของหลานฉัน! ไอ้เด็กนั่นมันจะต้องรายงานไปที่หน่วยงานรักษาความปลอดภัยแน่ๆ ฉันเลยต้องจกเงิน 100 ล้านเพื่อให้หลานฉันเป็น ‘พลเมืองระดับ 1 ดาว’ แต่หลังจากนั้น หลานฉันก็ต้องถูกคุมขังอีกสองสามเดือนอยู่ดี”

พอเขาคิดถึงตอนที่พี่ชายของเขาต้องหัวเสียและหลานชาย ของเขาต้องช็อคและหวาดกลัวขณะที่ถูกจับกุมโดยหน่วยงาน รักษาความปลอดภัย จางเจ๋อหู่ก็ยิ่งคับแค้นขึ้นไปอีก

แม้ว่าหลังจากที่เขาจ่ายเงิน 100 ล้านเพื่อช่วยหลานชายของ เขาไปแล้ว จางฮ่าวไป๋ก็ไม่สามารถหลบหนีความเจ็บปวดจากการ ติดคุกได้อยู่ดี

“เอาล่ะ อย่าไปคิดอะไรมาก ปล่อยให้หลานของนายเจอความ ลำบากบ้างมันจะดีต่อเขาเอง” ชายตาเดียววัยกลางคนหัวเราะเบาๆ “นายควรใช้เวลานี้พักฟื้น แผลนายน่าจะดีขึ้นภายใน 3 วัน แล้ว เราจะได้ออกไปจัดการกับไอ้ตัวหนังเหนียวนั่นต่อ หลังจากที่ฆ่าเจ้านั่นได้ ทีมเราก็จะรวยกันแล้ว”

“โอเค” จางเจ่อหู่พยักหน้าหนักๆ แล้วเขาก็ชำเลืองมองไปที่ตึก E6 นั้นพร้อมกับพูดเย้ยหยัน “ฉันพนันได้เลยว่าเจ้าหลัวเฟิงนั่น เข้าไปลุยแดนเถื่อนครั้งแรกหากไม่ตายมันก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนักแน่!”

“ฮ่าๆๆ นายนี่มันเจ้าคิดเจ้าแค้นจริงๆ แต่ก็เอาเถอะ เช้าไปลุย แดนเถื่อนครั้งแรกก็หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บยากอยู่แล้ว” ชายตา เดียววัยกลางคนหัวเราะ

………..

กลางดึกคืนนั้น สมาชิกอุปกรณ์พร้อมทั้ง 6 คนของทีมค้อน อัคคีก็เดินทางออกจากฐานเติมเสบียงแล้วมุ่งหน้าเข้าสู่แดนเถื่อน

“เฉินกู่ เอากล่องเหล็กมาให้ฉันกล่องหนึ่ง” หัวหน้าเกาเฟิงสั่ง

“ฮ่าๆ รบกวนหัวหน้าแล้ว ให้แบกเจ้ากล่องนี้ซักระยะ ผมพอได้อยู่ แต่จะให้แบกนานๆ คงไม่ไหว” เฉินกู่กล่าวขณะที่ส่งกล่องเหล็ก ขนาดใหญ่กล่องหนึ่งไปให้หัวหน้าเกาเฟิง เกาเฟิงรับไปอย่างสบายๆ ด้วยมือข้างเดียวและแบกไว้ที่หลัง นํ้าหนักอันมากมายนี้ไม่เป็นผลใดๆ กับสมาชิกที่แกร่งที่สุดในทีมค้อนอัคคีอย่างเกาเฟิงอยู่แล้ว

“แกร๊ก!”

เฉินกู่เปิดกล่องอีกกล่องหนึ่ง ข้างในมีปืนกลอยู่กระบอกหนึ่ง ปากกระบอกเป็นเงามัน นอกจากปืนกลกระบอกนั้น ก็มีลูกกระสุน อีกเป็นตันแพ็คอยู่ด้วยกัน บรรจุจนเต็มกล่อง

“พี่เฉิน นี่มันปืนอะไรครับ?” หลัวเฟิงถามอย่างสนใจ

“รุ่น M81 ลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตร ยิงได้ 50-300 นัดต่อนาที” เฉินกู่หัวเราะอย่างพออกพอใจ “ปืนทุกกระบอกทำจาก เหล็กโครห์นเกรด 3 ดังนั้นต่อให้ยิงต่อเนื่อง ความร้อนของปืนก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับวิถีของกระสุนเลย”

หลัวเฟิงถามอย่างสนใจ “พี่เฉินครับ แล้วทำไมพี่ไม่ใช้ปืนใหญ่ เทพอัคคีล่ะ? ปืนกลชุดเทพอัคคีไม่มีพลังมากกว่าหรือครับ?”

“นายนี่อ่อนจริงๆ!”

เฉินกู่จ้องตาเขม็ง

หอกพิฆาต ‘จางเคอ’ หัวเราะออกมาแล้วก็พูดขึ้น “หลัวเฟิง ปืนกลชุดเทพอัคคีมีพลังมากก็จริง แต่ปืนชุดเทพอัคคีมันเขมือบ กระสุนเป็นบ้าเลยล่ะ ยิงกระสุนได้ถึง 7,000 นัดต่อนาที และบางทีก็ เกินนั้นด้วยซ้ำ แล้วนายรู้ไหมมันหมายความว่าไง? ไอ้ 7,000 นัด ต่อนาทีเนี่ย กระสุนที่สามารถยิงสัตว์ประหลาดระดับบัญชาการขั้น ต่ำเข้าได้นะ อย่างต่ำที่สุดก็ต้อง 50 กรัม! แล้วกระสุนหมื่นลูกก็จะหนักถึง 500 กิโลกรัม!

จะให้วิ่งกว่าร้อยไมล์กับน้ำหนักอีก 500 กิโลกรัมแบกอยู่ข้าง หลังไม่ดีแน่ แล้วสุดท้าย ตอนที่นายจะฆ่าสัตว์’ประหลาด ในแค่นา ทีเดียวหรือหลังจากยิงครั้งเดียวกระสุนก็จะเกลี้ยงเลย” จางเคอ หัวเราะแล้วก็มองมาที่หลัวเฟิง “แล้วนายคิดว่ายังไง? ปืนใหญ่เทพ อัคคียังดีอยู่รึเปล่า?”

หลัวเฟิงอึ้งไป

เรื่องนี้เขาไม่เข้าใจจริงๆ ใช่…น้ำหนักของกระสุนคือปัญหาใหญ่… การยิง 7,000 นัดต่อนาทีอีกล่ะ จะต้องเอากระสุนไปเท่าไหร่ ถึงจะพอสำหรับการเดินทางในครั้งหนึ่ง?

“การจะลากกระสุนจำนวนมากพร้อมกับปืนใหญ่เทพอัคคีไปใช้ ก็จะมีแต่กองทัพเท่านั้นที่ทำอย่างนั้นหรือไม่ก็มีความจำเป็นที่ จะต้องเอาไปจัดการกับสัตว์ชนิดพิเศษ โดยปกติแล้ว อย่างเราๆ จะ ไม่ค่อยใช้ปืนแบบนั้นกันเท่าไหร่หรอก เพราะว่าเราไม่มีกระสุนมาก พอสำหรับมัน” เฉินกู่หัวเราะ “ครั้งนี้ฉันเอากระสุนมา 10,000 นัด แค่นี้ยังต้องขอให้หัวหน้าช่วยถือเลยด้วยซ้ำ”

เฉินกู่ผู้มีสายพานกระสุนคล้องพาดอยู่กับตัวและแบกปืนกล กระบอกโต เดินพร้อมกับหลัวเฟิง ทั้งสองคนอยู่ใจกลางของทีม และถูกคุ้มกันโดยคนอื่นๆ

สองพี่น้องดาบพระจันทร์คู่อยู่ด้านหน้า

หัวหน้าเกาเฟิงและจางเคอคุมอยู่ด้านหลัง

“เราจะตรงไปตามทางหลวงเส้นนี้ หลังจากนั้น 3 วัน เราก็น่าจะถึงเป้าหมาย…เมืองชนบทหมายเลข 0201” หัวหน้าเกาเฟิงกล่าว หลัวเฟิงไม่อาจถามอะไร ได้แต่มุ่งไปตามถนนหลวงตรงหน้าเท่านั้น สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแล้ว ‘ถนนหลวง’ มีอยู่แค่เพียงในตำนานเท่านั้น

ถนนหลวงที่พวกเขากำลังเหยียบย่ำอยู่กลายเป็นซากปรักหักพังหมดแล้วตอนนี้ มีแผ่นถนนที่แตกออกระเกะระกะเต็มไปหมดตลอดทาง

ทัศนะวิสัยด้านหน้า มีรถยนต์รถตู้และรถบรรทุกที่ผุพังและรก ร้างจอดอยู่ตามถนนเป็นระยะๆ มียางรถยนต์ที่ฉีกขาดกระจายอยู่ทั่วไป และสามารถเห็นได้แม้กระทั่งรอยเลือดแห้งเกรอะที่มีอยู่ทั่วไปตามพื้นถนน

“ลุย!”

แสงตะวันสีแดงสาดส่องลงมายังถนนหลวงอันเงียบเหงาและ อ้างว้างเส้นนี้ที่รกร้างมาหลายสิบปีแล้ว สมาชิกของทีมค้อนอัคคีทั้ง 6 คนยังคงมุ่งหน้าต่อไป

“โกรว์…”

“วู้ลลล…”

เสียงโหยหวนจากเหล่าสัตว์ประหลาดดังมาจากทุ่งกว้างและ หมู่บ้านร้างดลอดสองข้างของถนนหลวงเส้นนั้น แม้แต่หลัวเฟิงเอง ก็ยังมองเห็นพวกสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้ สมาชิกอีก 5 คนของ ทีมค้อนอัคคีดูจะผ่อนคลาย แต่หลัวเฟิงกลับตัวเกร็งเพราะตื่นเต้น …เพราะว่าเขารู้สึกถึงสัตว์ประหลาดที่อยู่ทุกหนทุกแห่งได้นั่นเอง

“อืม หลัวเฟิง มีหมูป่าเขาเดียวระดับ G กับ F อยู่ข้างหน้าตัวหนึ่ง นายจัดการละกัน” เสียงหัวหน้าเกาเฟิงสั่งขึ้น “นี่จะเป็นการ ต่อสู้ครั้งแรกของนายในแดนเถื่อน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!