Skip to content

Swallowed Star 60

ตอนที่ 60 ทะเยอทะยาน

วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม 2056 วันนี้เป็นวันที่สมาชิกทั้ง 5 คนของทีมค้อนอัคคีนัดพบกันที่ตลาดพันธมิตรใต้ดิน

ช่วงสาย

คูเป้คันงามวิ่งเข้ามาในตลาดพันธมิตรใต้ดินอย่างช้าๆ และหยุดอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าล็อบบี้ของตึกระฟ้าพันธมิตรใต้ดิน หลัวเฟิงที่สวมเสื้อเชิ้ตแบบง่ายๆ ก็ออกมาจากรถพร้อมกับเฉินกู่ คนเฝ้าประตูกล่าวทักทายขณะที่พวกเยาเดินเข้าไปข้างใน

“เชิญครับ กรุณารอซักครู่นะครับ”

หลัวเฟิงก้าวเข้าไปในล็อบบี้ ด้วยการชำเลืองมอง เขาก็เห็นสวีซินในเสื้อเชิ้ตสีขาวอยู่ที่บาร์ห่างออกไปกำลังสนทนากับเหล่านักสู้อยู่ เธอเบนสายตามาสังเกตดูเงาหนึ่งที่กำลังเคลื่อนเข้าไป และพอใกล้เข้าไป แววตาของสวีซินก็เปล่งประกายอย่างยินดี

“หลัวเฟิง” สวีซินร้องทักพลางยิ้มให้”

“สวีซิน” หลัวเฟิงยิ้มให้ขณะเดินตรงเข้าไป “ขอชาฝูเอ่อร์ถ้วยนึง ว่าแต่ พอมีเวลาไหม? เราคุยกันหน่อยได้ไหม?”

สวีซินลังเลนิดนึงแล้วก็หัวเราะออกมา เธอบอกให้พนักงานคนอื่นเข้าประจำที่แทน แล้วก็เดินออกมาจากบาร์พลางพูดยิ้มๆ ว่า “วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่ หลัวเฟิง ไปคุยตรงนั้นแล้วกัน”

ในตอนนี้ เฉินกู่ที่นั่งอยู่บนโซฟาไกลๆ ก็หันมายกนิ้วให้หลัวเฟิงช้าๆ

ที่มุมเงียบๆ มุมหนึ่งของบาร์ หลัวเฟิงและสวีซินนั่งหันหน้าเข้าหากัน

“หลัวเฟิง นายกลับมาจากแดนเถื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่? เพิ่งกลับมาเหรอ?” สวีซินยกน้ำชาขึ้นจิบ ชาเขียวในแก้วใสทำให้ดูเป็นแสงสีสว่างออกมา

“ฉันกลับมาได้ซักพักแล้ว” หลัวเฟิงตอบ

สวีซินยิ้มให้และอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นายกลับมานานแล้วแต่ไม่มาหาฉันเลยนะ หรือว่า…ดูถูกเพื่อนนักเรียนซะแล้ว? นายเป็นคนเดียวในห้องที่กลายเป็นนักสู้ ฉันคิดไว้ถ้าวันนึงนายมีชื่อเสียงขึ้นมา ฉันจะได้ไปคุยอวดกับคนอื่นเขาบ้าง”

“ฮ่าๆ สวีซิน ตอนนี้เธอเรียนอยู่ที่ไหนล่ะ?” หลัวเฟิงเอ่ยถาม

หลัวเฟิงและสวีซิน ทั้งสองนั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน พวกเขาคุยกันถึงเรื่องต่างๆ ที่กำลังเป็นไปในชีวิตตอนนี้ ถึงแม้ว่าหลัวเฟิงแอบชอบสวีซินอยู่ ซึ่งสวีซินเองก็รู้ตัว…แต่ว่าทั้งสองก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนั้นเลย พวกเขาแค่นั่งคุยกันเงียบๆ เช่นนั้น

หลัวเฟิงรู้สึกพอใจกับการสนทนาธรรดาๆ แบบนี้

ในขณะนั้น เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีดำกำลังเดินออกมาจากลิฟต์ เขาชำเลืองมาทางมุมที่หลัวเฟิงและสวีซินกำลังนั่งคุยกันอยู่

“เสี่ยวซินกำลังคุยกับใครน่ะ?” เขาเพ่งมองมายังหลัวเฟิง “ดูเหมือนจะเป็น…หลัวเฟิงที่เป็นนักเนียนระดับหัวกะทิเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมของเสี่ยวซิน?”

เขารู้เรื่องในโรงเรียนของสวีซินดี รวมถึงคนโดดเด่นในโรงเรียนอย่างหลัวเฟิงและจางฮ่าวไป๋เขาก็เคยอ่านข้อมูลมา

เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มออกมาเยือกเย็น “เสี่ยวซินพูดถึงหลัวเฟิงตอนกินข้าวที่บ้านก่อนหน้านี้ ที่แท้สองคนนี้ติดต่อกันอยู่สินะ”

เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งลงเงียบๆ อยู่ที่อีกมุมหนึ่งของบาร์

หลัวเฟิงกำลังคุยกับสวีซินอย่างเพลิดเพลิน แต่ดูเหมือนจะมีคนเรียกชื่อเธอมาจากบาร์ สวีซินลุกขึ้นขอตัว “ขอโทษนะหลัวเฟิง ฉันต้องไปทำงานแล้ว”

“ไปเถอะ ไม่ต้องสนฉันหรอก” หลัวเฟิงหัวเราะ

“เสี่ยวซิน คนนี้เพื่อนเธอเหรอ?” ในตอนนั้น มีเสียงผู้ชายถามขึ้นมา

หลัวเฟิงหันไปดูก็เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับสวีซินหลายส่วนยืนอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มยิ้มให้สวีซินแล้วยิ้มให้หลัวเฟิงบางๆ

สวีซินเอ่ยอย่างแปลกใจ “พี่คะ มาด้วยหรือวันนี้ จริงสิ…นี่เพื่อนนักเรียนหนู หลัวเฟิง พี่คะ หนูไปทำงานก่อน พี่นั่งคุยกับหลัวเฟิงไปก็ได้นะ”

“ได้สิ ไปเถอะ” เด็กหนุ่มคนนั้นพยักหน้ายิ้มๆ และหันหน้ามามองหลัวเฟิง “สวัสดีหลัวเฟิง ฉันขอแนะนะตัวละกัน ฉันพี่ชายของสวีซิน ชื่อว่าสวีกัง”

พี่ชาย?

ถ้าเขาได้แต่งงานกับสวีซิน คนๆ นี้ก็จะต้องเป็นพี่เขยเขาไม่ใช่เหรอ?

“สวัสดีครับ” หลัวเฟิงลุกยืนขึ้นและจับมือกับเขา

“สวัสดี หลัวเฟิง” สวีกังหัวเราะขณะที่นั่งลง “ฉันได้ยินชื่อนายมานานแล้ว โรงเรียนที่น้องสาวฉันเรียนมีหัวกะทิอยู่แค่ 3 คน และนายเป็นหนึ่งในนั้น! และก็ได้ยินจากน้องสาวฉันอีกว่านายได้เป็นนักสู้แล้วใช่ไหม?”

หลัวเฟิงหัวเราะและพนักหน้า

“อ้า น่าทึ่งจริงๆ นักสู้อายุ 18 ปี” สวีกังกล่าวชม แล้วก็หัวเราะออกมา “น้องสาวของฉันไม่ได้เด่นดังอะไรในโรงเรียนใช่ไหม?”

“ครับ ไม่มีใครมองออกเลยว่าครอบครัวเธอร่ำรวยแค่ไหน” หลัวเฟิงเองหัวเราะขึ้นมา

สวีซินทำตัวธรรมดาและดูเป็นคนเงียบๆ จริงๆ

สวีกังยิ้มกว้างออกมา “ฮ่าๆ ที่จริงเป็นเพราะคุณปู่ฉันเป็นห่วงว่าคุณหนูของบ้านจะกลายเป็นคนนิสัยเสีย เพราะงั้นเลยให้เธอเข้าโรงเรียนธรรมดาแทนที่จะเรียนโรงเรียนแพงๆ เพื่อเธอจะได้อยู่กับคนธรรมดาๆ ทั่วไปได้! ตอนนี้ดูท่า น้องสาวของฉันก็นิสัยใช้ได้เลยทีเดียว”

หลัวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คุณหนูของบ้าน?

สวีซินเป็นคุณหนูของตระกูลสวี ตัวเขาเองรู้นานแล้ว

“น้องสาวฉันไม่ได้บอกนายเรื่องสถานะของบ้านเราเหรอ?” สวีกังถามอย่างสงสัย

“ไม่ครับ แต่ผมรู้จักตระกูลสวี” หลัวเฟิงยิ้มอย่างราบเรียบ “หนึ่งใน 12 ตระกูลของพันธมิตรใต้ดินประเทศนี้…”

หลัวเฟิงเข้าใจความหมายของคำพูดสวีกัง สวีกังไม่พูดออกมาเอง แต่ใช้เรื่องอื่นเพื่อโยงเข้าหาเรื่องนี้…

สวีซินเป็นคุณหนูของตระกูลสวี!

“โอ้ นายรู้เหรอ” สวีกังเอ่ยอย่างตกใจ “จริงๆ แล้ว ตระกูลใหญ่ๆ อย่างตระกูลเราก็มีปัญหาใหญ่เหมือนกัน อย่างเช่นว่า บางทีเราก็ไม่อาจแต่งงานกับคนที่เราชอบได้ ตอนนี้ ก็มีเด็กหนุ่มมีพรสวรรค์มาตามจีบน้องสาวของฉันอยู่นิดหน่อยนะ อย่างเช่น หวังซิ่งผิงจากนครเกียวโต และก็ยังมีนักสู้ระดับแม่ทัพขั้นกลางอายุ 21 ปีจากนครเจียงหนานของเราที่ชื่อว่า ‘กัวไห่’ ”

หลัวเฟิงอึ้งไป

มีคนอื่นตามจีบสวีซิน?

“กัวไห่คนนั้นเป็นพวกหน้าหนา” สวีกังกล่าวพร้อมส่ายหัว “เป็นแค่นักสู้ระดับแม่ทัพคนนึงไม่ใช่หรือไง? เขาดันคิดว่าตังเองดีเด่อะไรนักหนา ตระกูลเรามีสถานะในระดับโลก แล้วเราจะยกคุณหนูของบ้านให้แต่งงานกับนักสู้นิสัยอย่างนั้นได้ยังไง? และอีกอย่างนักสู้อาจจะตายในแดนเถื่อนวันใดวันหนึ่งก็ได้”

หลัวเฟิงขมวดคิ้ว

“หลัวเฟิง นายว่าไหม? นักสู้ก้าวเดินบนขอบเขตแห่งความเป็นและความตาย เพราะงั้น พวกเขาจึงมีโอกาสตายสูง แล้วจะให้คุณหนูของบ้านเราแต่งงานกับนักสู้ได้ยังไง จริงไหม?” สวีกังหัวเราะขณะที่ถาม หลังจากเห็นท่าทีของหลัวเฟิง เขาก็หัวเราะและเอ่ยว่า “โอ้ นายอย่าคิดมากไป ฉันไม่ได้หมายถึงนาย”

หลัวเฟิงชักอารมณ์ไม่ดี

ไม่ได้หมายถึงตนงั้นเหรอ?

สวีกังคนนี้จงใจพูดถึงเรื่องนี้ ชัดเจนว่าจะบอกตนว่า…คุณหนูของตระกูลสวีไม่มีทางแต่งงานกับนักสู้ซึ่งอาจจะตายได้ทุกขณะ ดังนั้น หลัวเฟิง นายถอนตัวเสียเถอะ”

“อันที่จริง” สวีกังเอ่ยขึ้น “หากเปรียบเทียบกันแล้ว ฉันพอใจหวังซิ่งผิงคนนั้นมากกว่านะ หวังซิ่งผิงเป็นคุณชายจากตระกูลหวังในเกียวโต ตระกูลหวังมีความมั่งคั่งมากทีเดียว เขาแค่อยู่ที่บ้านและออกคำสั่ง ก็มีนักสู้ที่พร้อมทำงานให้เขาทันที เพราะงั้น เขาน่าจะไม่มีอันตรายอะไรในชีวิตอยู่แล้ว ในฐานะพี่ชาย ฉันอยากให้น้องสาวฉันมีชีวิตที่มั่นคง”

สวีกังถอนหายใจ “เทียบกับนักสู้ คุณชายของตระกูลที่มั่งคั่งถึงจะดูเหมาะสมกับน้องสาวของฉัน”

“นักสู้?”

“ตระกูลอย่างตระกูลสวีของเราและตระกูลหวัง ต่างก็มีนักสู้ระดับแม่ทัพไว้ใช้งานอยู่แล้ว ส่วนนักสู้ระดับนักรบยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย” สวีกังหัวเราะพลางส่ายหัว สวีกังแสดงให้เห็นว่าไม่ได้สนใจพวกนักสู้ซักเท่าไร ยิ่งระดับนักรบยิ่งไม่สนเลยด้วยซ้ำ

และเขาก็มีสิทธิ์จะคิดแบบนั้น!

ในฐานะหนึ่งใน 12 ตระกูลแห่งพันธมิตรใต้ดิน พวกเขามีแม่ทัพในสังกัดจำนวนมากและระดับนักรบยิ่งมากกว่านั้นหลายเท่า

“หลัวเฟิง” มีเสียงเรียกจากที่ไกลๆ

หลัวเฟิงหันไปมอง หัวหน้าเกาเฟิงกับ 2 พี่น้องเว่ยมาถึงแล้วและกำลังนั่งอยู่กับเฉินกู่ หลัวเฟิงยิ้มพร้อมร้องทักทาย “หัวหน้า เดี๋ยวไปครับ”

“คุณชายสวีกัง” หลัวเฟิงหัวเราะขณะที่มองสวีกัง

“หือ?” สวีกังเผยรอยยิ้ม

อันที่จริง หลังจากที่พูดไปมากแล้ว สวีกังก็เชื่อว่าเจตนาของเขาส่งไปถึงอีกฝ่ายแล้ว ครอบครัวของเขาดูถูกแม้แต่นักสู้ระดับแม่ทัพขั้นกลางอายุ 21 ปีผู้นั้น แล้วนายล่ะ หลัวเฟิง นักสู้น้องใหม่ควรรู้สถานะตัวเอง และเลิกยุ่งกับน้องสาวของฉันได้แล้ว

“คุณชายสวีกัง ตระกูลของคุณยิ่งใหญ่มากจริงๆ สามารถควบคุมเหล่านักสู้ได้จำนวนมาก” หลัวเฟิงยิ้มออกมา “แต่อย่างไรก็ตาม ผมสงสัยเหลือเกินว่าตระกูลของคุณออกคำสั่งเทพสงครามได้หรือเปล่า?”

สวีกังนิ่งงั้นไป

เทพสงคราม? มีมากแค่ไหนในนครเจียงหนานนี้? ตระกูลสวีของเขามีนักสู้ระดับเทพสงครามก็จริง แต่นั่นก็เพราะว่าตระกูลสวีของเขาต้องจ่ายเงินมหาศาลเพื่อแลกกับการขอให้คนเหล่านั้นทำงานให้

“ผมสงสัยเหลือเกินว่าตระกูลสวีของคุณสามารถเข้าพบผู้ที่อยู่เหนือกว่าเทพสงครามได้หรือเปล่า?” หลัวเฟิงสำทับมาอีก

สีหน้าของสวีกังดูแย่ลง

การมีอยู่ที่เหนือกว่าเทพสงคราม อย่างเช่นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ‘อาจารย์หง’ เป็นการมีอยู่ที่เทียบเท่ากับกองทัพ ถึงแม้ว่าตระกูลของเขาอยากจะพบนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำ และไม่ต้องพูดถึงแม้แต่จะตีเสมอกัน

เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘อาจารย์หง’ และ ‘เทพสายฟ้า’ ตระกูลของเขาก็เป็นแค่มดเท่านั้น!

“คุณชายสวีกัง พวกเราก็นับว่าเป็นเพื่อนกัน เพราะงั้น ผมขอเตือนไว้ว่า…อย่าได้ดูถูกนักสู้” หลัวเฟิงมองหน้าสวีกัง สวีกังไม่ได้ให้เกียรติเขา ดังนั้น เหตุใดเขาถึงต้องให้เกียรติสวีกังด้วยล่ะ?

หลัวเฟิงกล่าวจบก็หันหน้าเดินจากไป

ลมเย็นจากแอร์กำลังพัดเย็นฉ่ำในขณะที่เพลงไพเราะกำลังบรรเลงขึ้นอย่างพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ไฟกลับลุกโชนอยู่ในหัวใจของหลัวเฟิง ‘ตระกูลอย่างตระกูลสวีของเราและตระกูลหวังต่างก็มีนักสู้ระดับขุนศึกแม่ทัพไว้ใช้งานอยู่แล้ว ส่วนนักสู้ระดับนักรบยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย’ คำพูดของสวีกังยังคงวนเวียนไปมาอยู่ในหัวของหลัวเฟิง

“สวีกัง!”

“นายไม่ได้กำลังบอกให้ฉันถอยแล้วเลิกยุ่งกับน้องสายของนายใช่ไหม?” สายตาหลัวเฟิงเยือกเย็น “ไม่ต้องกังวล ฉัน หลัวเฟิงจะต้องเป็นสุดยอดนักสู้ให้ได้! นักสู้ที่เทียบเท่ากับกองทัพทั้งกองทัพ! ในตอนนั้น ฉันจะทำให้ตระกูลของนายยอมสยบแก่ฉันให้ได้!”

แน่นอน เขาต้องจีบสวีซิน…

แต่เขาจะต้องทำให้ครอบครัวของสวีซินยอมรับและยอมสยบให้เขาให้ได้!

“นักสู้ ถึงจะเป็นกำลังที่สูงสุดในโลก! ตระกูล กลุ่มธุรกิจอะไร อยู่ต่อหน้านักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ก็เป็นแค่ขยะเท่านั้น!”

ในขณะนี้!

ช่วงสายของวันที่ 7 ตุลาคม 2056

การได้พบกับสวีกังครั้งแรก ทำให้หลัวเฟิงเริ่มทะเยอทะยานแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!