Skip to content

สู่วิถีอสุรา 817

ตอนที่ 817 ความลับของแดนประหลาด

‘แดนประหลาดนี้มีความลับอะไรกันแน่ คนที่เข้ามาแทบจะไม่มีใครรอด ต่อให้รอดกลับไปก็จะไม่พูดเรื่องนี้เด็ดขาด เป็นเพราะพวกเขาพูดไม่ได้หรือมีสาเหตุอื่นกันแน่’

ซูหมิงมองกลุ่มโจรเข้าใกล้หมู่บ้านมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงเกือกม้าสะเทือนพื้นดิน หนำซ้ำยังทำให้สุนัขบ้านที่ไม่ยอมเห่าในหมู่บ้านพวกนั้นเหมือนรู้สึกถึงอันตราย พวกมันเห่าเสียงเล็กแหลม ทำให้แสงไฟที่มอดดับในหมู่บ้านไปแล้วพากันติดขึ้นมาอีกครั้ง

ขณะเดียวกันมีเสียงร้องตกใจและหวาดกลัวแว่วมาจากในหมู่บ้าน ทั้งยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กทารก เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่

‘ข้าตรวจสอบหมู่บ้านนี้มาครึ่งเดือนแล้ว ไม่มีเงื่อนงำอะไรเลย เป็นหมู่บ้านคนธรรมดาทั้งหมด…ในเมื่อไม่ใช่วิชามายา เช่นนั้นพวกเขาก็เป็นของจริง’

‘หมู่บ้านสร้างอยู่ที่นี่ หากมีกองโจรมาบ่อยๆ พวกเขาจะไม่มีวิธีป้องกันได้อย่างไร แต่ดูจากในและนอกหมู่บ้านแล้วไม่มีรั้วล้อมรอบป้องกันเลย’

‘กองโจรกลุ่มนี้ก็มาแปลกๆ เหตุใดข้าถึงเห็น…’ ซูหมิงหรี่ตาพลางใคร่ครวญอย่างหนัก เขาเห็นกองโจรม้าเข้าไปใกล้หมู่บ้านไม่ถึงร้อยจั้งแล้ว เสียงเห่าสุนัขบ้านดังระงม เด็กน้อยต่างอยู่ในอ้อมกอดของมารดา ยามตัวสั่นนัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวและสิ้นหวัง

ชายในหมู่บ้านยังถืออาวุธต่างๆ ด้วยความกลัว แม้พวกเขาจะกลัวแต่กลับไม่ถอย ร้องคำรามด้วยความบ้าคลั่งในความสิ้นหวัง เพื่อปกป้องครอบครัว เพื่อปกป้องหมู่บ้านแล้ว พวกเขายอมจ่ายชีวิตแลกได้

“สังหาร ทำลายหมู่บ้านนี้ สังหารบุรุษ ชายชรา และเด็กทั้งหมด ปล้นอาหารกับสตรีของพวกมันมา เร็วๆ เข้า หลังทำลายหมู่บ้านนี้แล้ว พวกเราต้องรีบกลับโดยเร็วที่สุด”

ชายสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งที่แกร่งที่สุดในกองโจรม้าหัวเราะเยาะ ชูดาบโค้งในมือแล้วสะบัดไปข้างหน้า ขณะร้องตะโกน ชายร่างกำยำทั้งหมดด้านหลังล้วนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับพุ่งไปยังหมู่บ้าน

ร้อยจั้ง แปดสิบจั้ง หกสิบจั้ง…

ซูหมิงอยู่ห่างไปไกล เขามองภาพนี้ และเห็นอยู่ไกลๆ ว่ากองโจรม้าเข้าใกล้หมู่บ้านไม่ถึงสามสิบจั้งแล้ว เขาเห็นผู้คนในหมู่บ้านมีสีหน้าหวาดกลัวและสิ้นหวัง เห็นว่าในแววตาไร้เดียงสาของเด็กพวกนั้นฉายแววสะพรึงกลัว บุรุษทุกคนไม่มีใครถอยเพราะจะปกป้องครอบครัว สตรีทุกคนน้ำตาไหล กอดบุตรเอาไว้แน่น แววตาแน่วแน่

ซูหมิงพลันเข้าใจแล้ว

“ข้ากำลังลังเล…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา

‘ขณะเดียวกับที่ข้าลังเลก็เข้าสู่การเลือกแล้ว เลือกช่วยคนหมู่บ้านนี้ เลือกช่วยกองโจรสังหารคนธรรมดา เลือกอยู่เงียบๆ ปล่อยให้เรื่องดำเนินไป หรือเลือกสังหารทุกคนที่นี่ บางทีอาจมีทางเลือกอื่นอีก ทว่า…

นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของข้า แต่ข้าถูกโลกใบนี้ ถูกสภาพแวดล้อมรอบๆ กับสถานการณ์บีบให้เข้าสู่การเลือก ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ข้าก็กำลังเลือกอยู่’

‘ที่นี่คือแดนประหลาด โลกภายนอกเล่าลือว่าอันตรายอย่างยิ่ง ข้าเข้าใจแล้ว!’

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขามองกองโจรม้าจะเข้าใกล้หมู่บ้านอีกไม่ถึงสิบจั้ง เข้าใจทุกอย่างก่อนหน้านี้แล้ว เป็นโลกใบนี้ เป็นแดนประหลาดนี้ที่มอบทางเลือกครั้งแรกให้กับตน

‘เหมือนกับต้นไม้แห้งต้นนี้ มันมีเพียงลำต้นเดียว ทว่ายิ่งขึ้นสูงก็จะยิ่งแตกออกเป็นกิ่งก้าน การเลือกก็คือกิ่งไม้หนึ่ง และจะต้องเจอกับการเลือกอีกครั้ง จนกระทั่งถึงตอนจบก็จะพบว่ายังไม่ใช่จุดจบ’ ซูหมิงยืนขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ข้างๆ

‘เลือกอย่างนั้นหรือ….’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายเย็นชา เขายกมือขวาสะบัดไปยังหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ยามนี้กองโจรม้าบุกเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ชายร่างกำยำที่อยู่ด้านหน้าหัวเราะชั่วร้ายพลางชูดาบโค้ง วินาทีที่จะตัดศีรษะชายวัยกลางคนตรงหน้า เขาพลันตัวสั่น ดาบโค้งที่ชูอยู่หยุดนิ่งกลางอากาศ มีสายลมพัดมา ตัวเขารวมถึงม้าใต้ร่างกลายเป็นเถ้าธุลีหายไป

ไม่มีโลหิต ไม่มีเศษเนื้อ ทั้งตัวเป็นเถ้าธุลีหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ช่วงที่ทุกคนในหมู่บ้านกำลังตะลึงงัน กองโจรม้าที่เหลือด้านหลังชายร่างกำยำต่างตกอยู่ในความตื่นกลัว ทั้งหมดแน่นิ่ง….แล้วสลายเป็นเถ้าทั้งหมด

เหตุการณ์ประหลาดทำให้ทุกคนในหมู่บ้านแทบลมหายใจหยุดนิ่ง พวกเขาเหม่อมองเถ้าธุลีสลายไปในสายลมหิมะตรงหน้า มีความรู้สึกว่ามันไม่ใช่ของจริง เหมือนว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน

จนกระทั่งพวกเขาเห็นซูหมิงเดินมาจากลมหิมะทีละก้าว ทุกคนล้วนตัวสั่นและพากันถอยไป ซูหมิงมีเส้นผมเทา สวมอาภรณ์ขาวเดินอยู่ในสายลมหิมะ จนกระทั่งมายืนอยู่ตรงหน้าคนธรรมดาในหมู่บ้านแล้วค่อยกวาดสายตามองคนเหล่านี้

เขาเห็นความหวาดกลัว ชาวบ้านตัวสั่น ความกลัวมากยิ่งกว่าเจอกองโจรม้าเมื่อครู่ ซูหมิงละสายตาอย่างเงียบๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับ ตอนที่เลือกจากไปสายลมพัดเส้นผมเขาปลิวไสว

“ทะ…ทะ…ท่านคือตำนาน!” ทันใดนั้นมีเสียงสั่นเครือแว่วมาจากในกลุ่มคน ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยรอยย่น ลักษณะเหมือนไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ยามนี้มีสีหน้าตื่นเต้น สายตามองซูหมิงทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทิ้ม

“ท่านคือตำนาน เป็นตำนานของหมู่บ้านเรา ไม่ผิด ไม่ผิดแน่…ข้าจำภาพเหมือนของท่านได้ ท่านคือตำนาน!”

ซูหมิงอึ้งงัน หันมามองชายชราคนธรรมดา

ชายชราตื่นเต้นจึงพูดไม่ชัด เขาอธิบายไม่แจ่มชัดด้วยความรีบร้อน และยังรีบชี้ไปยังบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้าน

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย สายตามองบ้านหลังนั้นพลางเดินเข้าไป เมื่อผลักประตูเข้าไปในบ้าน เขาก็ยืนใจสั่นสะท้านอยู่ตรงปากประตู ไม่ได้ย่างเท้าเข้าไป แต่ยืนอยู่ตรงนี้นานมาก

บ้านหลังนี้เป็นศาลบรรพชน ข้างในวางป้ายแผ่นไม้ชื่อบรรพชนไว้จำนวนมาก เป็นเหล่าคนที่ตายในหมู่บ้าน นี่เป็นสถานที่เซ่นไหว้บูชาของชนรุ่นหลัง บนกำแพงด้านหลังป้ายแผ่นไม้มีภาพใบหนึ่งแขวนอยู่

ในภาพนั้นเป็นบุรุษคนหนึ่งสวมอาภรณ์ยาวสีขาว เส้นผมยาวสีเทา กำลังยืนหันข้างอยู่กลางสายลมหิมะ เหมือนกำลังหมุนตัวกลับ สายลมพัดผ่านเส้นผมยาว ภาพนี้เหมือนกับตอนที่เขาหมุนตัวจะจากไปแทบทุกประการ!

“นี่คือม้วนภาพที่หมู่บ้านเราบูชาตลอดปี ตอนนั้นท่าน…” เสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นของชายชราดังมาจากด้านหลังซูหมิง ทว่าเขาไม่ได้ฟัง เรื่องนี้ไม่สำคัญแล้ว

สิ่งที่สำคัญคือเขากำลังมองม้วนภาพนี้ มองเส้นผมยาวปลิวไสวของตนในภาพ มองหิมะโปรยปราย เขาเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่ม้วนภาพที่อยู่มานานปี แต่เป็น…ตัวเองเมื่อครู่

“แดนประหลาด…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ยกมือขวาคว้าไปทางม้วนภาพนั้น ม้วนภาพตรงมาหาเขาโดยพลัน วินาทีที่อยู่ในมือ ก็พลันมีแรงมหาศาลส่งมาจากในม้วนภาพ ครั้นหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกาย ในความคิดเขาก็มีเสียงแก่ชราดังขึ้น

เสียงนี้แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายโบราณ ราวกับส่งมาจากอดีตกาลเมื่อไม่รู้กี่ปีมาแล้ว และเพราะความโบราณของมัน ถึงจะได้ยินแต่ก็มอบความรู้สึกล้าสมัยให้ด้วย

“ข้า…..ซุ่ยเฉินจื่อ” เสียงนี้ดังกึกก้องอยู่ในใจซูหมิง ความแก่ชราแฝงไว้ด้วยพลังที่สามารถให้ฟ้าดวงดาวหยุดนิ่ง วินาทีที่เสียงแว่วมา สายลมหิมะรอบๆ ซูหมิงหยุดนิ่ง คนในหมู่บ้านทั้งหมดสูญเสียสัญญาณชีวิตอย่างสมบูรณ์ ล้วนยืนนิ่งกันตรงนั้น

บ้านรอบๆ ทรุดโทรมด้วยความเร็วระดับสายตา รวมถึงผู้คนที่ยืนนิ่งเหล่านั้นก็กำลังเน่าเปื่อย

ไม่ใช่เพียงพวกเขา แม้แต่หิมะบนพื้น สายลม หรือกระทั่งทั้งท้องฟ้ายังค่อยๆ สลายไปเหมือนกับเน่าเปื่อย

แม้แต่ม้วนภาพในมือซูหมิงยังสลายไป ราวกับว่าตอนนี้ตกอยู่ในห้วงการไหลเวียนของเวลา โดยรอบเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างรอบด้านถอดสีเหลือเพียงสีเทา มีเพียงซูหมิงเท่านั้นที่ยังคงมีสีสันมันวาวครบถ้วน กลายเป็นจุดต่างเดียวในโลกนี้

“ตอนข้าเกิดฟ้าดินเปิดแล้ว ฝึกฝนมานาน และก็ลืมไปนานมากแล้ว…สวรรค์เก้าชั้น ข้าครองหนึ่งในนั้นเพียงคนเดียว ฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุด หนึ่งความคิดฟ้าสลาย หนึ่งความคิดกฎสวรรค์บัญญัติ

หนึ่งความคิดทุกชีวิตดับสูญ หนึ่งความคิดสรรพสิ่งกำเนิด…สวรรค์ทั้งเก้าชั้น แรกเริ่มเปิดโลกแบ่งสวรรค์ ข้าก็กลายเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว หากข้าสูญสิ้น ฟ้าดินจะขาดหาย หากข้าสิ้นชีพ จากนี้ฟ้าดินจะไม่สมบูรณ์

เมื่อดวงจิตข้าถึงจุดจบจะถือกำเนิดระดับภัยพิบัติ เมื่อข้าคิดจะกุมชะตาหนึ่งชีวิตแสวงหาการฝึกฝน สิ่งมีชีวิตในโลกของข้าฝึกฝนทุกอย่าง นั่นคือภาระหน้าที่ของข้า

ทว่า…ฟ้าดินมีเสียหาย ไม่อาจหวนคืน ท้องนภาปรารถนาจะทำลายล้าง ไม่มีพลังต่อต้าน…พวกเขาแปดคนล้มเหลวตายตกไปทีละคน กลายเป็นเศษซากปรักหักพัง เหลือเพียงข้าที่ยังต่อสู้ดิ้นรน

สวรรค์เก้าแดน สูญสิ้นไปแปด ข้าดิ้นรนอยู่มันจะมีประโยชน์อะไร!

ข้าปรารถนาจะหวนคืนสวรรค์ หากสำเร็จจะเปิดฟ้าดินอีกครั้ง หากล้มเหลว…หัวใจแห่งฟ้าดินจะมีเถ้ากระดูกข้า มีเศษธุลีของสหายทั้งแปดอยู่เคียงข้าง ข้าตายไปก็ไม่นึกเสียใจภายหลังแล้ว

ตอนนี้ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าจะกำหนดกฎเกณฑ์ ข้าซุ่ยเฉินจื่อกล่าวไว้…หากโลกนี้ดับสูญไปกลายเป็นซากปรักหักพัง เมื่อผู้ต้องชะตามาเยือน ขอจงรับต้นกำเนิดจิตของข้า

ต้นกำเนิดจิต ต้นกำเนิดแห่งเก้าโลกที่ถือกำเนิดขึ้นตอนฟ้าดินเปิด ผู้มีต้นกำเนิดจิตจะกลายเป็นหนึ่งในสวรรค์เก้าโลก สามารถฝึกฝนจนถึงขีดสุด และสร้างหนึ่งโลกขึ้นมา!

ผู้ต้องชะตา สวรรค์ที่เจ้าอยู่ตอนนี้ ข้าไม่รู้ว่าผ่านเวลามากี่ปีแล้ว แต่เจ้าดูมหาโลกแท้จริงเหล่านั้นใต้สวรรค์ก็จะรู้เอง ยุคสมัยนี้มีผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้ากี่คนกัน!

เจ้าดูในหัวใจแห่งฟ้าดิน ซากปรักหักพังเก้าส่วนหายไปแล้วกี่ส่วน เจ้าก็จะรู้ว่ามีกี่คนที่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่!”

ซูหมิงใจสั่นสะท้าน นี่คือเรื่องน่าตื่นตะลึงที่สุดในตอนที่เขายังได้สติมา ในใจดังกังวานไปด้วยเสียงนี้ ทำให้เกิดเสียงอึกทึกที่โค่นล้มความเข้าใจเดิมต่อแดนประหลาดไป

“คนที่ปรารถนาจะรับต้นกำเนิดจิตของข้ามีผลสุดท้ายอยู่เพียงสามอย่าง หนึ่งสูญสิ้น สองมีคุณสมบัติไม่พอแต่จากไปได้ และห้ามพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะต้องตาย และสาม…หลอมรวมกับต้นกำเนิดจิต ก้าวขึ้นมาสู่เส้นทางของผู้ยิ่งใหญ่!”

ในความคิดซูหมิงเหมือนมีสายฟ้าหนึ่งล้านสายระเบิดกัมปนาทพร้อมกัน ร่างเขาสั่นไหว ฟ้าดินรอบๆ ล้วนเสื่อมโทรม บ้านเรือนหายไป ทุกคนกลายเป็นเถ้าธุลี ท้องฟ้ามลายหาย พื้นดินว่างเปล่า เหลือเพียงเขายืนอึ้งงันอยู่เพียงคนเดียว

ม้วนภาพในมือก็หายไปด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!