ตอนที่ 832 ร่างแยกเอ้อชาง 4
ชั่วขณะที่ซูหมิงครองพื้นที่เส้นใยไปห้าสิบส่วนและเห็นภาพน่าตะลึงนั้น ในจิตใจก็มีเสียงคำพูดครึ่งหลังที่กระเรียนขนร่วงใช้แรงซึ่งเหลืออยู่กล่าวก่อนหมดสติไปดังแว่วมา
“…เจ้าต้องให้หินผลึกข้า…เพราะถึงข้าจะหมดสติ ก็ยังถ่วงเวลาไอ้สารเลวเอ้อชางได้…เวลาเพียงเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่าจะทำให้มันสับสนอีกนานเท่าไร เจ้าจะต้องรีบ…”
ครั้นกระแสจิตจากกระเรียนขนร่วงหายไปหมด เสียงคำรามของเอ้อชางดังกึกก้อง กระแสจิตกระจายไปรอบๆ ทว่ากลับไม่อาจออกจากพื้นที่ระยะหนึ่งไปได้
ในเวลาเดียวกัน ซูหมิงก็เห็นภาพที่ปรากฏกลางวิญญาณ เขาเห็นฟ้ากระจ่างดาว
ในฟ้ากระจ่างดาวมีทะเลสีทองแห่งหนึ่ง กลางทะเลมีดาวแท้จริงสีทองหนึ่งดวง บนดาวมีต้นไม้ใหญ่สีทองอยู่ต้นหนึ่ง…
ไม่มีจุดพิเศษ ไกลเกินกว่าจะให้ซูหมิงไปถึง กระทั่งวิญญาณยังแทบจะหยุดนิ่ง ทว่า…นี่คือแวบแรกที่เขาเห็น
เขาบอกไม่ถูกว่าโลกที่เห็นอยู่ตอนนี้มีอะไรมาเปรียบเทียบได้บ้าง เขารู้สึกเพียงว่าทุกอย่างที่เห็นตอนนี้ทำให้เขานึกไปถึงช่วงวัยเยาว์ของตน และเคยเห็นใยแมงมุมในภูเขาทมิฬ
เส้นใยเชื่อมเข้าด้วยกันสร้างเป็นใยแมงมุมคล้ายตารางเล็กๆ ตอนนี้ในความคิดเกิดภาพคล้ายกันหลังจากเห็นโลกนี้
นอกฟ้ากระจ่างดาวที่มีทะเลสีทอง ดาวสีทอง และต้นไม้สีทอง ยังมีฟ้ากระจ่างดาวเหมือนกันอีกแห่ง ตรงขอบมีฟ้าเหมือนกันอีกจำนวนมาก อีกทั้งด้านนอกก็มีฟ้าไกลออกไปไม่มีสิ้นสุด พอเห็นแล้วก็อดเกิดความรู้สึกตื่นตะลึงมิได้ กระทั่ง….เกิดความรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย
หนึ่งแสนฟ้าดวงดาว ทะเลสีทองหนึ่งแสนแห่ง ดาวสีทองหนึ่งแสนดวง และ….ต้นไม้สีทองหนึ่งแสนต้น!
ภาพเหล่านี้ลอยขึ้นมาในวิญญาณซูหมิง สภาพจิตใจเกิดเสียงโครมคราม กระทั่งยังเห็นอีกว่ากลางฟ้ากระจ่างดาวหนึ่งแสนแห่งมีอยู่เก้าสิบเจ็ดแห่ง มีผู้ฝึกฌานอยู่เก้าสิบเจ็ดคน ผู้ฝึกฌานเหล่านี้บ้างยังอยู่ในทะเลสีทอง บ้างอยู่ใกล้ดาวสีทอง บ้างกำลังดิ้นรนอยู่กลางชั้นบรรยากาศ
คนเหล่านี้ซูหมิงเคยเจอมาก่อน พวกเขา…ก็คือคนส่วนใหญ่ในหนึ่งร้อยยี่สิบสี่คนที่เข้าไปทดสอบในแผ่นศิลาเพื่อให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้ง
ส่วนหลายสิบคนที่หายไป เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้ว
“ข้าพยายามอย่างสุดกำลัง กระทั่งกระเรียนยังบาดเจ็บสาหัสหมดสติไป ช่วยให้การยึดร่างมาถึงครึ่งหนึ่งแล้ว…ทว่า…ครึ่งหนึ่งที่ข้าคิด เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของหนึ่งต้นไม้ใหญ่เอ้อชางในหนึ่งแสนต้น ในดาวแท้จริงแสนดวง ในฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่ง
สิ่งมีชีวิตแบบนี้ ข้า…จะยึดร่างได้อย่างไร…..” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ขณะเดียวกับที่ตื่นตะลึงกับทุกอย่างที่เห็นก็เกิดความสิ้นหวังขึ้น
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้ ถึงกระทั่งกล่าวได้ว่าไม่มีทางถูกยึดร่างได้ เพราะไม่มีใครสามารถยึดร่างหนึ่งแสนร่างได้ หากมีคนใช้พลังแก่กล้าทำได้จริงๆ เช่นนั้น….คนผู้นี้คงไม่ต้องมายึดร่าง เพราะคนที่ทำแบบนี้ได้จะต้องเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดของจักรวาลแล้ว
‘หรือว่าข้าจะไม่สำเร็จจริงๆ!’
‘หรือว่าข้าจะล้มเหลวแบบนี้…..’
‘หรือว่าความพยายามทุกอย่างก่อนหน้านี้ การดิ้นรนเกือบพันปี การเฝ้ารอหลายร้อยปีจะสูญเปล่า เป็นแค่เพียงเรื่องน่าขบขัน!’
‘หรือว่าอาการบาดเจ็บสาหัสของเจ้าขนร่วง ไปจนเวลาเล็กน้อยที่มันถ่วงเพื่อข้า จะแลกมาได้เพียงโชคชะตาอันน่าสิ้นหวัง’
‘หรือว่าข้าจะทิ้งไปแบบนี้ หลายหมื่นปีจากนี้ถึงจะมีโอกาสออกจากที่นี่ กลายเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ มากมาย ชีวิตนี้เป็นได้เพียงมดปลวก เป็นได้เพียงคนที่ถูกคนอื่นควบคุมชะตาชีวิต ได้แต่มองคนที่อยากปกป้องถูกผู้แข็งแกร่งกุมความเป็นตายไปเรื่อยๆ!’ วิญญาณซูหมิงปล่อยระลอกคลื่นรุนแรง หลังจากเห็นดาวแสนดวง เขาก็ถูกโจมตีด้วยความสิ้นหวัง ทำให้เขาที่คิดว่าสำเร็จมาแล้วครึ่งหนึ่งพลันพบความจริงที่รับไม่ได้ว่า ความสำเร็จของตนเล็กจ้อยเสียจนน่าหัวเราะ
‘ข้าจะไม่ยอมแพ้ และก็ไม่ยอมรับด้วย ข้า….คือซูหมิง ข้าคือชาวเผ่ายมโลก ข้าอ้างว้างมาทั้งชีวิต ไม่ได้กุมโชคชะตาตัวเองมาชั่วชีวิต กระทั่งกายเนื้อยังถูกผนึกอยู่ในแดนเซียน ตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณ!
สวรรค์ โชคชะตา เจ้าจะแกล้งแซ่ซูไปจนถึงเมื่อไร!’ วิญญาณซูหมิงแผ่ระลอกคลื่นอย่างบ้าคลั่ง เขายังคำรามเสียงดังสนั่นฟ้าดิน เสียงคำรามมาพร้อมด้วยการต่อต้านโชคชะตาและการขัดขืนต่อโชคชะตาอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในชีวิต
วินาทีที่วิญญาณเขาเกิดระลอกคลื่นรุนแรง ทันใดนั้น ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่ง ทะเลสีทองแสนแห่ง ดาวแสนดวง ในวินาทีนี้เหมือนถูกความบ้าคลั่งจากวิญญาณเขากระตุ้นจนสั่นสะเทือนพร้อมกัน เสียงโครมครามดังไม่หยุดหย่อน กลางฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งสั่นสะเทือนติดต่อกัน ทำให้เก้าสิบเจ็ดคนที่กำลังทดสอบอยู่ต่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาพลันมองไปรอบๆ อย่างสับสน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทะเลสีทองถึงไหลเชี่ยว ฟ้ากระจ่างดาวทั้งหมดที่พวกเขาอยู่ถึงได้สั่นไหวประดุจแผ่นดินภูเขาสะเทือน
“เจ้าให้ข้าเติบโตในภูเขาทมิฬ แล้วเอาภูเขาทมิฬไป จากนั้นก็บอกข้าว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน!” ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยการเย้ยเยาะตัวเอง แฝงไว้ด้วยเสียงคำรามต่อโชคชะตาและสวรรค์
ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้น กระทั่งผืนฟ้าบางแห่งยังเกิดรอยแยก ส่วนเส้นใยต้นไม้ใหญ่ที่ซูหมิงครองพื้นที่อยู่ครึ่งหนึ่ง ยามนี้เกิดหมอกดำขึ้นจำนวนมาก มันหมุนตลบอย่างรุนแรงและขยายออกเป็นวงกว้าง
“เจ้าให้ข้าไปยอดเขาลำดับเก้า ให้ความอบอุ่นแก่ข้า ทว่าสุดท้ายกลับยิ้มเยาะแล้วเอาทุกอย่างกลับไป ให้ทุกอย่างเป็นเพียงภาพลวงตา วางโชคชะตาราวกับข้าแซ่ซูเป็นหุ่นเชิด!” ซูหมิงหัวเราะเสียงแหลม ผืนฟ้าดวงดาวแสนแห่งเกิดเสียงโครมครามพร้อมกัน ผู้กำลังทดสอบเก้าสิบเจ็ดคนหน้าซีดขาว ถึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าในความรู้สึกพวกเขา ฟ้ากระจ่างดาวที่ตนอยู่มีดวงจิตกำลังบ้าคลั่ง
ดวงจิตนี้ไม่ยินยอมต่อโชคชะตาและการต่อต้านสวรรค์ กำลังขยายออกอย่างรุนแรง
“เจ้าให้ข้าเป็นเทพหมาน ทว่าหลังจากเป็นเทพหมานแล้ว เจ้าก็ชิงทุกอย่างไป ให้ข้ามองอวี่เซวียนหลับตา มองไป๋ซู่สลายไป มองทุกคนตาย ให้ข้าออกจากเผ่าหมาน มาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต…
เจ้าให้ข้ามีขั้นพลังแก่กล้า ให้ข้าเข้ามาในแดนประหลาด และขังข้าหนึ่งพันปี!” ตรงเส้นใยครึ่งหนึ่งที่ซูหมิงยึดครองอยู่เกิดหมอกดำม้วนตลบ เส้นใยสีดำเหล่านั้นพลันบิดเบี้ยว ค่อยๆ รวมขึ้นเป็นใบหน้าคน ใบหน้านั้นก็คือซูหมิง
ใบหน้าเขาดุร้าย เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้นอีกเป็นการต่อต้านโชคชะตา
“เจ้าให้ข้ามีโอกาสได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ในแดนประหลาด และยังให้ข้าครอบครองไปครึ่งหนึ่ง ทว่าสุดท้ายกลับบอกข้าว่าทุกอย่าง…เป็นครึ่งหนึ่งของหนึ่งต้นในแสนต้น
โชคชะตา สวรรค์ เจ้าจะแกล้งแซ่ซูไปจนถึงเมื่อไร ในสายตาเจ้า หรือว่าชีวิตนี้แซ่ซูจะไม่อาจต่อต้านเจ้าได้จริงๆ ไม่อาจสังหารเจ้าได้อย่างนั้นรึ!”
ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทุกส่วนล้วนสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแยกขยายออกจากในฟ้าทั้งหมด หมอกดำจำนวนมากขยายออกมาจากรอยแยกเหล่านี้ ขยายไปไม่หยุดหย่อนและมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็รวมเป็นใบหน้าแสนใบหน้าในฟ้ากระจ่างดาวทั้งแสนแห่ง
หนึ่งแสนใบหน้านั้นคือใบหน้าซูหมิง
สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองจากการที่ซูหมิงคำรามด้วยความโกรธ และก็ไม่ใช่เสียงเขาที่ทำให้กฎฟ้าดินเกิดช่องโหว่ ที่ทำได้ถึงขนาดนี้ยิ่งไม่ใช่เพราะเขามีความมหัศจรรย์ใดๆ ถึงใช้เสียงคำรามโกรธแค้นทำให้แปดทิศก้มหัวคารวะ
ที่ทำได้ถึงขนาดนี้ ทำให้เกิดใบหน้าหนึ่งแสนใบหน้า เป็นเพราะอะไรซูหมิงเองก็ยังไม่แน่ใจ เขาครองพื้นที่เส้นใยครึ่งหนึ่งของต้นไม้หนึ่ง กลับเท่ากับว่าครองเส้นใยครึ่งหนึ่งของต้นไม้ทั้งหมด
ต้นไม้หนึ่งแสนต้น แต่จริงๆ…เป็นเพียงต้นเดียว!
ได้หนึ่ง ทว่าได้ทั้งหมด!
แต่หากก่อนหน้านี้ซูหมิงยอมแพ้เพราะความสิ้นหวัง เขาก็คงล้มเหลว นี่เป็นเพราะความยึดมั่น เพราะการยืนหยัด ฉะนั้นเขาถึงมีโอกาสเห็นความจริง มีโอกาส…ยึดร่างต่ออีกครั้ง!
จริงหรือเท็จ ความจริงหรือมายา บางครั้งขอเพียงกลั้นใจเดินหน้าต่อไป บางทีอาจพบว่าระหว่างความจริงกับมายาเป็นเพียงเส้นหนึ่ง!
หลักการง่ายๆ ทว่าคนที่ทำได้ถึงจุดนี้จริงๆ จะมี…เหวลึกหมื่นจั้งขวางอยู่ตรงหน้าไม่รู้เท่าไร คนที่กล้าก้าวเดินออกไปจะมีสักกี่คนเชียว!
เหมือนกับคนกำลังปีนเขา เดิมทีคิดว่าปีนไปถึงครึ่งแล้วเหลืออีกครึ่งเดียว เขาจะใช้พลังอย่างเต็มที่ ทว่า…ตอนที่คิดว่าเหลือเพียงครึ่งเดียวแต่เงยหน้าขึ้นและพบว่า ที่แท้ครึ่งหนึ่งนี้ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงเลย ด้านบนเป็นหน้าผากว้างไกลไม่มีสิ้นสุด พละกำลังของเขาจะหายไปตามความสิ้นหวังและจะเกาะขอบหน้าผาไม่อยู่ สุดท้ายก็ร่วงลงไปตาย คนที่ยืนหยัดปีนขึ้นไปได้จะมีเท่าไรเชียว!
นี่ต่างหากคือสาเหตุแท้จริงที่ซูหมิงทำให้ฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่งเกิดใบหน้าจากหมอกดำแสนใบหน้า!
“ตั้งแต่แซ่ซูจำความได้ยังไม่เคยยอมแพ้สิ่งใด ข้ายังคงเดินหน้าตลอด ยังคงมีความยึดมั่นอยู่ในใจตลอด ถึงความยึดมั่นนั้นจะกลายเป็นความคิดแน่วแน่ ถึงความคิดแน่วแน่นี้จะทำให้ข้าทรมาน ทำให้ข้าบ้าคลั่ง ข้าก็ไม่เคยล้มเลิกความเป็นไปได้ใดๆ
ทุกอย่างนี้เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด…เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรทำให้ข้าเป็นเช่นนี้!
เพราะข้าในวัยเยาว์ตามหาท่านปู่ ข้าในวัยเติบใหญ่รู้ว่าความทรงจำของตนเป็นความฝัน ข้าที่เป็นเทพหมานรู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการของคนอื่น เรื่องทุกอย่างสั่งสมมาในใจข้า บีบข้าจนหายใจไม่ออกหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งทำให้ข้าเคยคิดจะเลิกต่อต้าน…
ทว่าข้าไม่ยอม ข้าไม่อยากเป็นหุ่นเชิด ไม่อยากถูกควบคุมโชคชะตา เพราะข้ารู้ เว้นแต่เจ้าจะกำราบข้าได้อย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งข้าจะยืนหยัดขึ้น ข้าจะเหยียบย่ำโชคชะตาไว้ใต้เท้า จะให้โลหิตศัตรูของข้าทุกคนในโลกย้อมฟ้าดิน ให้พวกมันสิ้นหวัง!”
ในฟ้ากระจ่างดาวแสนแห่ง ใบหน้าซูหมิงจากหมอกดำทั้งแสนใบหน้าเปล่งเสียงต่อต้านโชคชะตาพร้อมกัน ภายใต้เสียงกึกก้อง นอกจากใบหน้าในเส้นใยซูหมิงแล้ว ใบหน้าที่เหลือทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังทะเลสีทอง ตรงไปยังดาวแท้จริงสีทอง และมุ่งหน้าไปยังต้นไม้ใหญ่สีทอง!