Skip to content

สู่วิถีอสุรา 844

SVTASR
BC

ตอนที่ 844 เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร

การสังหารระหว่างสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันคือการช่วงชิงชีวิตอีกฝ่าย นี่คือการเข่นฆ่า ผู้แข็งแกร่งข่มผู้อ่อนแอ เพียงพลิกมืออานุภาพแปรเปลี่ยน พวกเขาเรียกการสังหารว่าการมอบความตาย

C

แต่…เหนือกว่าระดับสิ่งมีชีวิต เหมือนเจตนารมณ์ของสวรรค์ไปรวมอยู่ที่มดปลวก เช่นนั้นก็ไม่เรียกการสังหารแล้ว และไม่เรียกการมอบความตายด้วย แต่เรียกว่าการลบหายไป

เหมือนกับวาดภาพต่างๆ บนกระดานภาพ ในภาพมีสิ่งชีวิตแต่ละอย่าง หลังจากใช้มือลบบนกระดาน ภาพก็จะถูกลบหายไป สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในนั้นจะหายตามไปด้วย

ยามนี้ทุกคนในแดนแผ่นศิลาแสนอัน ข้างหูยังคงได้ยินเสียงกรีดร้องวนเวียน เมื่อเห็นซูหมิงสะบัดมือสบายๆ ราวกับสายลมเบาสังหารเกือบร้อยคนไปแล้ว ในความคิดพวกเขาทุกคนก็ลอยขึ้นมาเป็นคำว่า ‘ลบหายไป’

ความหวาดกลัว ตัวสั่น ตระหนก และตื่นตะลึง ความรู้สึกต่างๆ กลายเป็นอาการหายใจติดขัด ทำให้โลกแผ่นศิลาแสนอันนี้เงียบสงัดในยามนี้

แทบทุกสายตาล้วนมองซูหมิงโดยจิตใต้สำนึก รวมถึงโจวคังด้วย ในสายตาเหล่านั้นมีความเคารพยำเกรงอยู่ลึกๆ

พวกเขาจะมองออกได้อย่างไรว่ากฎของซุ่ยเฉินจื่อฟังคำสั่งซูหมิง

พวกเขาจะมองออกได้อย่างไรว่ากฎของซุ่ยเฉินจื่อไม่เพียงฟังคำสั่ง กระทั่งกล่าวได้ว่าระหว่างพวกเขามีการเชื่อมประสานอันน่ามหัศจรรย์อยู่

กุมกฎในโลกแผ่นศิลาแสนอัน เช่นนั้นก็จะไม่มีใครกล้าล่วงเขาเกินอย่างเด็ดขาด เพราะเขาตัดสินความเป็นตายของทุกคนได้

กระทั่งหากซูหมิงต้องการ เขายังให้กฎของซุ่ยเฉินจื่อลบทุกคนที่นี่ได้ในพริบตา ทว่าหลังจากทำแบบนั้นแล้ว ก็จะแตกหักกับวิญญาณเอ้อชางเก้าดวงอย่างแท้จริง จากนั้นจะถูกขับไล่อย่างรุนแรง และพวกมันเก้าตัวจะเกิดความระแวงขึ้น ภายภาคหน้าหากเขากินพวกมันก็จะยากยิ่งนัก

อีกอย่าง หากซูหมิงลบทุกคนไป เช่นนั้นวิญญาณเอ้อชางเก้าดวงก็จะร่วมมือกันต่อต้านเขา เรื่องนี้…ได้ไม่คุ้มเสีย ถึงจะน่าเย้ายวนใจมาก แต่เขากลับไม่เลือกวิธีรุนแรงแบบนี้

นอกจากนี้แล้ว กฎของที่นี่คือปกป้องกับลบหาย หากเขาเสนอความต้องการนี้ไป เกรงว่ากฎคงจะนิ่งเงียบ ถึงอย่างไรการที่กฎซุ่ยเฉินจื่อจะฟังคำสั่งเขา ก็ต้องอยู่ในการอนุญาตของกฎด้วย เว้นแต่…ขั้นพลังเขาจะสร้างกฎใหม่ขึ้นมาได้ที่นี่

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง การลบชีวิตเกือบร้อยคนเหมือนเล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงสำหรับเขา เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้จะตายจริงหรือไม่ สำหรับเขาแล้วมันไม่สำคัญ

สำคัญคือคนที่ถูกลบหายไปมาล่าสังหารตนเพื่อรางวัลของสี่มหาโลกแท้จริง สำคัญคือคนเหล่านี้…ด่าประจานตน เพียงเท่านี้พวกเขาก็หมดสิทธิ์จะมีชีวิตต่อแล้ว เพราะพวกเขาได้รับอิสระ ได้รับอิสระจากเขา ไม่ต้องตกอยู่ในแดนแผ่นศิลาแสนอันไปชั่วนิรันดร์

ช่วงที่สายตาของผู้คนโดยรอบมองเขาด้วยความเคารพยำเกรง เขาก็เงยหน้าขึ้นมองคนรอบๆ เช่นกัน ทว่าคนที่สบตากับเขาล้วนจิตใจสั่นไหว ไม่ว่าขั้นพลังใด ขอเพียงอยู่ที่นี่ล้วนก้มหน้าลงโดยจิตใต้สำนึก ไม่กล้าสบตา ไม่กล้ายั่วโทสะ

ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบหนึ่งแล้วหยุดที่โจวคัง ก่อนหน้านี้เขาเห็นแล้วว่าแผ่นศิลาของโจวคังเป็นสีฟ้า

สุดท้ายเขาก็มองชายร่างกำยำที่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายและกำลังชักกระตุกไม่หยุดบนพื้น ถึงจะไม่มีเสียงร้องแล้ว แต่ร่างกายกลับแห้งเหี่ยวเป็นโครงกระดูก

ชายร่างกำยำคนนี้คือคนที่ลงมือกับเขาคนแรก แผ่นศิลาเขาเป็นสีม่วง การลบคนผู้นี้ทิ้งจึงไม่ต้องอธิบายใดๆ กับวิญญาณเอ้อชางเก้าดวง เพราะในวินาทีที่มาถึงที่นี่ ชายร่างกำยำคนนี้ก็กลายเป็นเครื่องบรรณาการของเขาแล้ว

“เห็นแก่ขั้นพลังเจ้าไม่ธรรมดา เห็นแก่ว่าเจ้าเป็นเครื่องบรรณาการของข้า ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ซูหมิงกล่าวราบเรียบแล้วโบกมือขวา ชายร่างกำยำที่ชักกระตุกพลันหยุดนิ่ง หลังกลับมามีสติอีกครั้ง เขาก็ยืนขึ้นอย่างยากลำบาก ในใจหวาดกลัวซูหมิงถึงขีดสุด รีบก้มต่ำประสานมือคารวะ

คำว่าเครื่องบรรณาการเข้าถึงหูเขา และก็เข้าไปในความคิดคนอื่นๆ โดยรอบ ก่อเป็นความสงสัยและตกใจ

“พวกเจ้าหลายร้อยคนคือเครื่องบรรณาการของข้า” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ พลางเดินหน้าไป ตอนที่เดินมาอยู่ข้างชายร่างกำยำ ชายร่างกำยำรีบเดินตามหลังเขาด้วยสีหน้าเคารพยำเกรง

จนกระทั่งซูหมิงเดินมาอยู่หน้าคนมาใหม่หลายร้อยคน เขายังไม่หยุดเดิน แต่กลับมีแรงกดดันที่หลายร้อยคนรู้สึกได้แผ่กระจายมาจากตัวเขา

แรงกดดันนี้ราวกับอานุภาพสวรรค์สำหรับผู้ฝึกฌานหลายร้อยคน ทันทีที่พวกเขาสัมผัสได้ก็ต่างจิตใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่ว่าซูหมิงกุมความเป็นและตายผุดขึ้นมาในใจพวกเขาอย่างเด่นชัด ความรู้สึกนี้สมจริงยิ่งนัก ทำเอาหัวใจพวกเขาเต้นตาม เหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ทำให้ตอนที่ซูหมิงเดินมา หลายร้อยคนต่างถอยไปพร้อมกัน กระทั่งมีหลายสิบคนหน้าซีดขาว เกิดเสียงโครมในความคิด แรงกดดันแห่งวิญญาณจากซูหมิงทำให้จิตใจพวกเขาคล้ายจะระเบิด ในความคิดเหมือนมีดวงจิตเด่นชัดหนึ่งดวงทำให้พวกคุกเข่าคารวะซูหมิง

คล้ายกับว่าหากไม่คุกเข่าก็จะตาย หากไม่คุกเข่าวิญญาณพวกเขาจะไม่ยอมทำตาม ชายหนุ่มหนึ่งคนในนั้นตัวสั่นและคุกเข่าลง ตามด้วยชายร่างกำยำคนนั้น

ต่อจากนั้นก็เป็นคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่…หลายร้อยคนนี้ต่างคุกเข่าลงพร้อมกับที่ซูหมิงเดินมา จนกระทั่งเดินไปอยู่หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าว หลายร้อยคนที่ได้แผ่นศิลาสีม่วงรอบๆ ล้วนคุกเข่าลงหมดแล้ว

บรรพบุรุษตระกูลจ้าวละสายตาจากฟ้านานแล้ว เมื่อครู่นี้ก็มองซูหมิง เมื่อซูหมิงเดินเข้ามาและหลายร้อยคนรอบๆ คุกเข่าลง ในความคิดเขาก็มีดวงจิตแก่กล้าบีบเข้ามาทำให้หายใจกระชั้น ใบหน้ามีเส้นเลือดดำปูดโปน เหงื่อไหลอาบทั่วร่าง

เขากำลังต่อต้านดวงจิต ต่อต้านวิญญาณตัวเอง ตัวเขาเป็นบรรพบุรุษตระกูลจ้าวย่อมไม่มีทางคุกเข่าให้ใคร ทว่าความแกร่งของดวงจิตในร่างกายนั่นไม่ใช่ขั้นพลัง แต่เป็นวิญญาณ เป็นการบีบอัดซึ่งอยู่คนละระดับกัน ทำให้เขาตัวสั่นไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ และยังร้องคำรามเสียงต่ำ

“พวกเรา เจอกันอีกครั้งแล้ว” ซูหมิงยืนอยู่หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวพร้อมกล่าวราบเรียบ

บรรพบุรุษตระกูลจ้าวเงียบ เพราะตอนนี้เขาพูดไม่ได้ พละกำลังทั้งหมดใช้ไปกับการต่อต้านวิญญาณ หากหละหลวมก็เกรงว่าต้องคุกเข่าลงโดยควบคุมตัวเองไม่ได้

นี่ยังเป็นเรื่องรอง เพราะต่อให้อีกฝ่ายทำให้เขาคุกเข่าลงก็เพียงร่างกายเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างแท้จริง กระทั่งยังนึกเสียใจภายหลังว่าไม่ควรหนีการล่าสังหารเข้ามาในแดนประหลาดก็คือ ตอนนี้เขารู้สึกว่าขณะต่อต้านวิญญาณตัวเอง พบว่าในจิตใจไม่เพียงหวาดกลัวต่อซูหมิง แต่ยังเคารพยำเกรง กระทั่งมีความคิดจะปฏิบัติตามโดยไม่อาจต่อต้าน

สิ่งนี้เป็นเพียงสัมผัสของร่างกายเท่านั้น ยังมีวิญญาณอีก ทุกอย่างในใจราวกับว่าหลังเข้ามาในแดนประหลาดแล้ว ในชีวิตเขามีผู้ควบคุมเพิ่มมาคนหนึ่ง มีเจ้านายเพิ่มมาหนึ่งคน

ซูหมิงไม่กล่าวต่อ เขายืนอยู่หน้าบรรพบุรุษตระกูลจ้าวเงียบๆ เช่นนี้ หลายร้อยคนโดยรอบคุกเข่าลง ไกลออกไปอีก หลังจากคนหลายหมื่นเห็นภาพนี้แล้วก็พากันเบิกตากว้างอ้าปากค้าง

ในความคิดพวกเขาตอนนี้มีคำหนึ่งที่ซูหมิงกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ลอยขึ้นมา

‘เครื่องบรรณาการ’

‘เขาได้โชควาสนาใดในโลกแผ่นศิลากันแน่ เหตุใดถึง…แข็งแกร่งขนาดนี้!’

‘แม้แต่กฎยังฟังคำสั่งเขา แดนแผ่นศิลาเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดสองครั้ง จะต้องเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขนาดได้นี้แน่!’

‘เขาทำอะไรลงไปกันแน่ เขาได้รับอะไร เหตุใดหลายร้อยคนนั้นถึงคุกเข่า….หรือว่า เขาจะ…กลายเป็นกฎไปแล้ว?’

‘ต่อให้แผ่นศิลาเขาสูงถึงแสนจั้ง ต่อให้ควบคุมพลังต้นกำเนิดส่วนหนึ่ง ทว่าเท่าที่ข้าจำได้ พวกที่แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งในอดีตล้วนไม่มีใครเทียบเท่าเขา กระทั่งอย่าว่าแต่แสนจั้งเลย ต่อให้เป็นสองแสนจั้ง สามแสนจั้งหรือมากกว่านั้นก็ยังไม่มีใครทำแบบนี้ได้’

เสียงสนทนาไม่ได้ดังอื้ออึง แต่กลับดังกึกก้องปานพายุไร้รูปอยู่ในใจของหลายหมื่นคนโดยรอบที่เกิดการคาดเดานี้ขึ้น และมีสีหน้าเคารพยำเกรง

บรรพบุรุษตระกูลจ้าวเหงื่ออาบทั่วร่าง เขาตัวสั่นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย สีหน้าสิ้นหวัง ค่อยๆ…คุกเข่าลง จนเมื่อเข่าสัมผัสพื้นแล้ว เขาก็คุกเข่าเหมือนกับคนอื่นๆ รอบซูหมิง

แทบเป็นช่วงที่บรรพบุรุษตระกูลจ้าวคุกเข่าลง พลันเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นมาจากด้านบน มีรอยแยกยักษ์เส้นหนึ่งราวกับถูกแหวกออกมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังกึกก้อง มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากในรอยแยกนั้น

“พันปีแล้ว ข้ากลับมาที่นี่อีกครั้ง จ้าวเทียนกังไอ้เดรัจฉานแก่ เจ้าคิดว่าหนีเข้ามาที่นี่แล้วจะหาสาเหตุที่ข้าแข็งแกร่งขึ้นเจออย่างนั้นรึ ความจริงแล้วเป้าหมายของข้าคือบีบให้เจ้าเข้ามาที่นี่ต่างหาก!

เพื่อให้เจ้าตกอยู่ในบ่วงไม่มีวันสิ้นสุด สัมผัสถึงความเจ็บปวดที่เจ้าบีบข้าเข้ามาที่นี่ ตระกูลของเจ้าถูกข้าสังหารไปหลายพันคนแล้ว เจ้าวางใจเถอะ หลังจากที่แผ่นศิลาข้าสูงถึงสองแสนจั้งเมื่อไร ข้าจะได้ออกไปอีกพันปี แล้วก็จะสังหารตระกูลของเจ้าให้สิ้นซาก” ช่วงที่เสียงหัวเราะดังกังวาน ทุกคนที่นี่ล้วนสังเกตเห็นชายชราสวมเสื้อคลุมฟ้าเดินออกมาจากความว่างเปล่า

“ผู้มีแผ่นศิลาแสนจั้ง เขาคือ…กงซุนอิ้น!”

“เป็นเขา กงซุนอิ้นที่ออกไปจากที่นี่เมื่อพันปีก่อน เขากลับมาแล้ว” มีไม่น้อยคนที่จำฐานะชายชราคนนี้ได้

ชายชรามีใบหน้าอัปลักษณ์ เส้นผมยุ่งเหยิง แต่ขั้นพลังกลับบรรลุถึงเจ้าปกครองโลกตอนปลาย สีหน้าดูโอหัง ขณะกำลังเดินมาก็เห็นบรรพบุรุษตระกูลจ้าวคุกเข่าตรงหน้าซูหมิง เขาจึงเงียบไป สีหน้าตะลึงงัน

บรรพบุรุษตระกูลจ้าวเงียบงัน เสียงหัวเราะกับคำพูดที่แว่วมาข้างหูทำให้เขาก้มหน้าลง ความรู้สึกซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูกในใจกลายเป็นความเศร้ารันทดและขมขื่น

เขาไม่เงยหน้ามองศัตรูที่สังหารตระกูลจ้าวไปมากกว่าครึ่งและบีบให้ตนเข้ามาหลบในแดนประหลาด เพราะตอนที่คุกเข่าลง เขาสิ้นหวังไปแล้ว

ทว่า…ซูหมิงตรงหน้าเขากลับเงยหน้าขึ้น

“เครื่องบรรณาการของข้า มีเพียงข้าคนเดียวที่สั่งสอนได้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร” ซูหมิงกล่าวเสียงเย็นชา

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!