Skip to content

สู่วิถีอสุรา 858

ตอนที่ 858 คุ้มดีคุ้มร้าย

จ้าวกว่างโหย่วจำได้แม่นว่าบนดาวสมบัติสวรรค์เมื่อพันปีก่อน ตนไปช้าจึงต้องอยู่นอกทะเลวายุตลอด แต่ก็มองเห็นการสังหารอย่างบ้าคลั่งอยู่ไกลๆ กับตาตัวเอง

ผู้ฝึกฌานระดับฟ้าดับสูญไป ส่วนผู้ฝึกฌานระดับอย่างเขายิ่งมีคนตายจำนวนมาก นอกจากเจ้าปกครองโลกตอนกลางแล้ว เหมือนว่าทุกคนจะเดินสู่ความตายเมื่ออยู่ต่อหน้าโม่ซู

ความรู้สึกที่เปลี่ยนจากผู้ล่ากลายมาเป็นเหยื่อ ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นทำให้จ้าวกว่างโหย่วใจสั่นไหว หากไม่ใช่เพราะเขาตอบสนองไวและเลือกหนีออกจากดาวสมบัติสวรรค์อย่างเด็ดขาด เกรงว่าคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

โดยเฉพาะหลังจากนั้นดาวสมบัติสวรรค์ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทุกสิ่งมีชีวิตกลายเป็นเถ้าธุลี ทว่าภายใต้แรงปะทะอันน่าสะพรึงกลัว หลังจากนั้นไม่นานโม่ซูก็ไปปรากฏตัวยังเขตดาราวงแหวนบูรพา เรื่องนี้สร้างความตื่นตะลึงกับเขาอย่างยิ่ง

บวกกับเขาเห็นคนที่รอดชีวิตหลังจากซูหมิงลงมือน้อยมาก ดังนั้นหลังจากซูหมิงถูกบีบเข้าไปแดนประหลาดวงแหวนบูรพา เขาก็เลือกมายังดาวแดงเพลิง

เขาเคยเห็นพละกำลังแข็งแกร่งของซูหมิง เขาอยากหาสาเหตุความแกร่งของอีกฝ่าย ทั้งยังได้ยินว่าตอนซูหมิงอยู่บนดาวแดงเพลิงได้รวบรวมหินสีฟ้าไว้ด้วย เขาจึงลองทำดูบ้าง แต่กลับล้มเหลวทั้งหมด

แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นผู้แข็งแกร่งคนแรกที่มาถึงดาวแดงเพลิง และก็เป็นคนแรกที่ขังเยวี่ยหงปัง จากนั้นมาก็มีผู้แข็งแกร่งมาหาสาเหตุความแกร่งของซูหมิงที่ดาวแดงเพลิงอีกไม่น้อย ทว่าไม่มีใครได้คำตอบเหมือนกับเขา

เวลาผ่านไปพันปี ผู้มาเยือนก็น้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงหลายร้อยปีมานี้แทบจะไม่มีใครมาเลย ราวกับนามโม่ซูถูกลืมไปแล้ว

จ้าวกว่างโหย่วก็ไม่ได้คาดหวังอะไร ที่พันธนาการเยวี่ยหงปังไว้ก็เพื่อเป็นสิ่งย้ำเตือนตัวเอง ทว่าส่วนลึกในใจกลับไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ให้แค่ศิษย์ของเขาไปเฝ้า อย่างไรเสียเขาก็ได้ทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ

กระทั่งในความคิดเขา ดาวแดงเพลิงนี้ก็ไม่เลว จึงเกิดความคิดจะอยู่ที่นี่ระยะยาว ดังนั้นจึงสร้างสำนักและรับลูกศิษย์

แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้เผชิญหน้ากับโม่ซูคนที่ทำให้เขาหวาดกลัวในตอนนั้นอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดถึงสิ่งนี้เลย เขาคิดว่าแทบทุกคนที่เข้าไปในแดนประหลาดวงแหวนบูรพาล้วนต้องตาย มีน้อยคนนักที่จะรอดชีวิตออกมา อีกอย่างต่อให้ออกมาได้ อย่างน้อยสุดก็ต้องหลายพันปีถึงหมื่นปีให้หลัง

กระทั่งต่อให้อีกฝ่ายออกมาก็ต้องระวังตัวอย่างยิ่ง เพราะสี่มหาโลกแท้จริงยังไม่ได้ยกเลิกรางวัลนำจับ การล่าสังหารมีครั้งแรกได้ เช่นนั้นก็มีครั้งที่สองหรือครั้งที่สามได้

ทว่าตอนนี้…เวลาผ่านไปเพียงพันปี

ทว่าตอนนี้…คนผู้นั้นมาปรากฏตัวอยู่บนดาวแดงเพลิงอย่างห้าวหาญ!

แทบเป็นช่วงที่ในใจเกิดการตอบสนอง จ้าวกว่างโหย่วสีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ร่างที่กำลังจะบินออกจากวิหารใหญ่หยุดชะงัก ก่อนจะหมุนตัวแล้วเปลี่ยนทิศถอยกลับไปโดยพลัน

เสียงโครมดังขึ้น เขาไม่ได้บินออกจากประตูใหญ่ แต่ขณะถอยกลับพุ่งขึ้นไปยังยอดวิหารใหญ่ แล้วทะลวงวิหารออกไปจากข้างบน

แสงตะวันอึมครึมสาดลงมา ชั่วขณะที่จ้าวกว่างโหย่วปรากฎตัวอยู่บนยอดวิหารนั้น เขาเห็นอยู่ไกลๆ ว่ามีผู้ฝึกฌานหลายพันคนล้อมรอบอย่างแน่นขนัด ต่อมาเขาก็เห็นเยวี่ยหงปังที่ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังมีการพัฒนาขึ้นอีกด้วย

จากนั้นเขาก็เห็นร่างเงาคนที่ทำให้จิตใจเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงและทำลายความรู้สึกโชคดีเสี้ยวสุดท้ายไป

เป็นร่างเงาสวมเสื้อคลุมขาว เส้นผมสีดำยืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้สายลมพัดผ่านอาภรณ์ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงไว้ด้วยกาลเวลาโชกโชน

นั่นคือซูหมิงคนที่จ้าวกว่างโหย่วไม่มีวันลืม มันฝังลึกอยู่ในใจและทำให้เขาหวาดกลัวในตอนนั้น!

“ที่แท้ก็เป็นเจ้าเอง” ซูหมิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาอย่างสงบนิ่ง ข้างหูกึกก้องไปด้วยเสียงระเบิดของยอดวิหารใหญ่ สายตามองคนที่บินออกมาจากยอดวิหาร เขาเคยเจออีกฝ่ายมาก่อน เป็นหนึ่งในผู้ฝึกฌานที่ตกใจกลัวจนหนีไปตอนอยู่บนดาวสมบัติสวรรค์

ทันทีที่ได้ยินซูหมิงกล่าว จ้าวกว่างโหย่วขนหัวลุก วิญญาณแทบจะออกจากร่าง เพราะตอนที่ได้ยินเสียงซูหมิงและสายตามองตามไปนั้น จิตใจเขาเกิดเสียงครึกโครม ในความคิดทุกอย่างขาวโพลนนอกจากดวงตาซูหมิง

นั่นเป็นดวงตาที่ทำให้เขาหวาดกลัว ราวกับว่าสามารถสูบวิญญาณให้เขาเสียจิตใจไป กระทั่งในความรู้สึก เหมือนว่าเพียงหนึ่งความคิดของอีกฝ่าย ตนจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติไม่มีจบสิ้น

มันเป็นความรู้สึกที่เด่นชัด ระดับความชัดของมันไม่เคยเกิดขึ้นกับจ้าวกว่างโหย่วมาก่อน

‘เขาไม่ใช่เจ้าปกครองโลกตอนต้น ขะ….เขาต่างกับเมื่อพันปีก่อน พันปีก่อนเขาไม่มีทางทำให้จิตใจข้าสั่นไหวด้วยเพียงสายตา เขา…..เขาได้รับโชควาสนาใดในแดนประหลาดกันแน่’ จ้าวกว่างโหย่วตัวสั่นงันงก เขาขยับวูบไหวอย่างไม่ลังเล กระทั่งยังไม่เอ่ยสักคำก็พ่นโลหิตออกมา ขณะเดียวกับที่โลหิตกลายเป็นหมอกโลหิต เขาก็หนีไปในทันที

อีกทั้งนี่ไม่ใช่การหนีธรรมดาๆ แต่เป็นการหนีโดยไม่สนสิ่งใด ใช้วิชาโลหิตหลบหลีกโดยไม่สนการบาดเจ็บหนีไปยังขอบฟ้าอย่างบ้าคลั่งในชั่วพริบตา

ตนเป็นจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนต้น การกระทำแบบนี้ของเขาจึงทำให้ผู้ชมหลายพันคนรอบๆ เกิดเสียงฮือฮา เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ถึงอย่างไรในความคิดพวกเขา แม้ซูหมิงจะแกร่ง ทว่าหลายร้อยปีที่จ้าวกว่างโหย่วอยู่บนดาวแดงเพลิงนี้ไร้พ่ายมาโดยตลอด

ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่สงสัยในความแกร่งของจ้าวกว่างโหย่ว ทว่าพอเห็นภาพดังกล่าว ความคิดก็พลิกผันทันที

“จ้าวจวิน (ผู้ยิ่งใหญ่จ้าว)…..กำลังหนี?”

“เขากำลังจะใช้อภินิหารแก่กล้าบางอย่างบนฟ้าแน่ ไม่มีทางที่จะหนีไปโดยไม่ลงมือเด็ดขาด”

“พูดเหลวไหล นี่มันหนีกันชัดๆ ท่านโม่ซูแข็งแกร่งถึงระดับนี้เชียวหรือ ไม่อยากเชื่อว่าจะทำให้เจ้าปกครองโลกตอนต้นหนีไปโดยไม่สู้ได้”

ไม่ได้มีเพียงผู้ฝึกฌานหลายพันคนรอบๆ ที่ตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้ ยังมีลูกศิษย์ของจ้าวกว่างโหย่วในวิหารอีกแปดคนที่ตาค้างอ้าปากกว้าง มองจ้าวกว่างโหย่วที่เป็นแสงโลหิตหนีไปอย่างรวดเร็วบนฟ้าผ่านโพรงบนยอดวิหารใหญ่ อาจารย์ที่แกร่งอย่างยิ่งในใจพวกเขา เหตุใดถึง…..หนีไปอย่างน่าอนาถเช่นนี้

กระทั่งยังเหมือนไม่กล้าเอ่ยสักคำ ทำให้พวกเขาแปดคนเกิดความตื่นตกใจและยังเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ขังเยวี่ยหงปัง ใบหน้ายังซีดขาวทันที

เห็นจ้าวกว่างโหย่วใกล้จะหนีไปแล้ว ในใจเยวี่ยหงปังก็ร้อนรน ทว่าไม่กล้าตามไป ไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่าย แต่เพราะซูหมิงข้างๆ ยังไม่กล่าวอะไร

“ถือว่าเป็นคนที่มีไหวพริบดี” ซูหมิงกล่าวเสียงเรียบ ตอนนั้นบนดาวสมบัติสวรรค์ คนนี้ก็อาศัยโอกาสหนีรอดจากภัยพิบัติไป ทว่าเขาก็ไม่ควรจะล่าสังหารซูหมิงเลย

ไม่เห็นซูหมิงทำอะไรมาก เพียงแค่ดวงตาขวาขยับแสงวิบวับ สัญลักษณ์ฝ่ามือที่ได้มาจากการตระหนักรู้และรอดชีวิตจากผู้กุมชะตาเป็นตายภายในดวงตาขวาหายไปในทันที

ลมหายใจต่อมา ฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น ท้องนภาอึมครึมหมุนตลบ ภาพที่ปรากฏทำให้ผู้ชมรอบๆ พากันร้องเสียงหลง ศิษย์แปดคนของจ้าวกว่างโหย่วยังมีสีหน้าสิ้นหวังราวกับเสียพละกำลังทุกอย่างไป

แม้แต่เยวี่ยหงปัง พอเห็นภาพนี้แล้วยังหายใจกระชั้น ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง ในใจเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและเหลือเชื่อ

ตอนนี้บนฟ้าชั้นเมฆหมุนตลบ ท้องนภาเกิดระลอกคลื่น ก่อนมีฝ่ามือยักษ์ข้างหนึ่งเข้ามาแทนที่ฟ้าและเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคน

ฝ่ามือนี้กว้างใหญ่ไร้พรมแดน เข้ามาแทนที่ฟ้าทั้งหมด ประหนึ่งว่ามีคนยักษ์ยืนอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ยืนอยู่นอกดาวแดงเพลิงและกำลังตบฝ่ามือลงมายังดาวนี้

ฟ้าดินเกิดเสียงครึกโครม ท้องฟ้าบิดเบี้ยว ฝ่ามือยักษ์นั้นก็คือการตระหนักรู้ของซูหมิง ตอนนี้การตระหนักรู้รวมออกมาเป็นฝ่ามือ เหมือนกับว่าท้องฟ้าตกลงมา และเพราะการเสียดสีจึงเกิดเป็นทะเลเพลิงเผาไหม้ท้องฟ้า

ครั้นฝ่ามือกดทับลง ท้องฟ้าเกิดเสียงโครมโดยพลัน จ้าวกว่างโหย่วที่กำลังหนีรวมร่างขึ้นอยู่ในแสงโลหิต เขามีสีหน้าหวาดกลัว ตื่นตกใจจนเหยเกย ร้องเสียงแหลมแล้วก็บินต่ำลงอย่างเร่งรีบ หมายจะหนีให้รอดจากการคว้าฝ่ามือนั้น ซูหมิงส่ายศีรษะ การตระหนักรู้ยังได้มาไม่พอจริงๆ ฝ่ามือนี้เป็นเพียงเค้าโครงเท่านั้น ไม่ได้มีพลานุภาพสูงมากนัก ยากจะเทียบกับผู้กุมชะตาเป็นตายจริงๆ ทว่ามันก็ทำให้คนตกใจกลัวได้เป็นอย่างดี

“ไปสังหารเถอะ” ซูหมิงละสายตาจากฟ้า ตอนที่กล่าวเสียงเรียบ เยวี่ยหงปังข้างๆ นัยน์ตาเผยจิตสังหาร เขารอคำสั่งซูหมิงมานานแล้ว ตอนนี้จึงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าแล้วบินขึ้น กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาจ้าวกว่างโหย่วที่กำลังหนีจากฝ่ามือยักษ์

“เขาขวัญเสียแล้ว ถึงขั้นพลังจะสูงกว่าเจ้าเล็กน้อย ทว่าก็ใช้พลังได้ไม่ถึงสิบส่วน ให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ หากเขายังไม่ตาย เจ้าต้องตายไปพร้อมกับเขา

ลิ่วล้อของข้าโม่ซูต้องไม่มีคนอ่อนแอ” ซูหมิงกล่าวเรียบนิ่ง ทว่ากลับทำให้เยวี่ยหงปังเกิดความหนาวเยือกในใจ เขาไม่ลังเลว่าคำพูดนี้จะจริงหรือไม่ พอเห็นความแกร่งของซูหมิงแล้ว เขายังเห็นอีกหนึ่งภาพจำที่เคยเห็นจากซูหมิงในตอนนั้นอีกครั้งด้วย

อารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย

ในใจเยวี่ยหงปังสั่นไหว เขากัดฟันแน่น ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาคำรามเสียงต่ำพลางบินไปหาจ้าวกว่างโหย่ว เขาจะสู้สุดชีวิต การต่อสู้ครั้งนี้หากสังหารอีกฝ่ายไม่ได้ในสิบลมหายใจ เขาก็ต้องตายไปพร้อมกับอีกฝ่ายด้วย นี่ทำให้เขาไม่มีทางเลือกและต้องสู้สุดชีวิต ถึงจะบาดเจ็บสาหัสก็ต้องสังหารอีกฝ่ายให้ได้ ขณะกำลังคลุ้มคลั่ง ตรงส่วนลึกในใจนอกจากความเคารพยำเกรงต่อซูหมิงแล้วยังมีความหวาดกลัว ซึ่งมันจะติดตามเขาไปชั่วชีวิต ลบอย่างไรก็ไม่หาย

‘นี่คือผู้อยู่เหนือกว่าอย่างนั้นหรือ…..ในแผนผังตระกูลเยวี่ยของข้ามีผู้อาวุโสคนหนึ่งเคยบันทึกเอาไว้ว่าผู้อยู่เหนือกว่ามีอยู่สี่แบบ หนึ่งคือตรงไปตรงมา สองคือคร่ำเคร่ง บรรพบุรุษตระกูลเยวี่ยของข้าก็เป็นคนคร่ำเคร่ง คนแบบนี้ค่อนข้างปรนนิบัติง่าย แต่ผู้ตรงไปตรงมาจะใกล้ชิดได้มากกว่า สามคือคุ้มดีคุ้มร้าย สี่ก็คือคุ้มดีคุ้มร้ายเหมือนกัน คุ้มดีคุ้มร้ายอันแรกคือแสร้งทำ ส่วนอันที่สอง…..คือเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายแบบใดก็ยากจะรับมือทั้งนั้น’ ในใจเยวี่ยหงปังขมขื่น ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาขบคิด ดวงตาเขาแดงก่ำ ร่างเข้าใกล้จ้าวกว่างโหย่วแล้ว

ซูหมิงหลับตา ไม่ได้สนใจการต่อสู้บนฟ้า

เวลาผ่านไปทีละลมหายใจ เสียงระเบิดดังกึกก้อง ตอนที่เสียงร้องโหยหวนดังเป็นครั้งสุดท้ายคือลมหายใจที่สิบพอดี ซูหมิงลืมตาขึ้นก็เห็นเยวี่ยหงปังหิ้วศีรษะที่มีสีหน้าสิ้นหวังกลับมาอยู่ตรงหน้า ร่างกายเขาเหมือนมีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ และยังมีแผลเหวอะหวะหลายจุด เขาคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับกระอักโลหิตลงพื้น สีหน้ามัวหมองและยังซีดขาว

เขาเผาขั้นพลังตัวเองเพื่อสู้อย่างสุดชีวิต ใช้อภินิหารที่แกร่งที่สุดของตระกูลจนได้ชัยมา

ตอนที่เขาคุกเข่าลง ใจกึกก้องไปด้วยสี่คำนี้

‘คุ้มดีคุ้มร้าย…..’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!