Skip to content

สู่วิถีอสุรา 868

ตอนที่ 868 ค้างคาว

เพียงสี่วัน ก็ทำให้ภูเขาวิถีเต๋าส่งเสียงคำรามเช่นนี้ เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในตระกูลอวี้ คนที่ผ่านด่านแรกส่วนใหญ่จะยืนหยัดถึงสิบวันก่อน ภูเขานี้ถึงจะเกิดเสียงแห่งวิถีเต๋า

ต่อให้เป็นบรรพบุรุษคนนั้นซึ่งเป็นคนเดียวที่ผ่านทั้งสามวิถีสวรรค์ ก็ต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวันกว่าจะทำให้ภูเขาวิถีเต๋าเกิดเสียงนี้

ยามนี้เสียงดังขึ้นอีกครั้ง พลันสั่นสะเทือนไปทั้งตระกูลอวี้ ครั้นมีร่างเงาคนจำนวนมากบินมาจากรอบๆ ผู้อาวุโสห้าคนนั้นล้วนหน้าเปลี่ยนสี ในใจตื่นตะลึงจนหายใจกระชั้นขึ้นเล็กน้อย

มีเพียงอวี้เฉินไห่ที่กำหมัดแน่นอยู่ไกลๆ ด้วยความตื่นเต้น

“ใครบุกด่านแรกของสามวิถีสวรรค์!” ตอนนี้เองมีเสียงอื้ออึงแว่วมา คนที่เอ่ยคือคนตระกูลอวี้ที่มาถึงเป็นคนแรก

เขาเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าขาวไร้เครา สวมเสื้อคลุมยาวสีเทาทั้งตัว เส้นผมพาดบนไหล่ เขาเดินออกมาจากมวลอากาศ และมายืนอยู่ตรงหน้าชายชราห้าคนนั้น

ห้าคนนี้ยืนขึ้นโดยพลัน แล้วประสานมือคารวะชายวัยกลางคน

“คารวะผู้อาวุโสสาม” ห้าคนนี้กล่าวพร้อมกัน สีหน้าแฝงไว้ด้วยความเคารพ ถึงพวกเขาจะเป็นคนตระกูลอวี้ อีกทั้งชายวัยกลางคนผู้นี้ดูมีอายุน้อยกว่าพวกเขา ทว่าห้าคนนี้รู้ดีว่าอายุของอีกฝ่ายไม่ใช่อย่างที่เห็น

เมื่อหลายพันปีก่อน พวกเขาห้าคนก็เห็นอีกฝ่ายอยู่ในรูปลักษณ์นี้แล้ว ปัจจุบันผ่านไปอีกหลายพันปี อีกฝ่ายก็ยังคงเดิม กระทั่งพวกเขายังรู้ว่าต่อให้เป็นผู้อาวุโสกว่าพวกเขาก็ยังต้องเคารพคนนี้

โดยเฉพาะการเซ่นไหว้บรรพบุรุษในทุกๆ หกสิบปีของตระกูลอวี้ รูปลักษณ์ชายวัยกลางคนผู้นี้แทบจะเหมือนกับบรรพบุรุษบางท่านในศาลบรรพชนตระกูล

ต่อให้ไม่เอ่ยถึงสิ่งนี้ ทว่าเพียงแค่ฐานะของอีกฝ่าย พวกเขาห้าคนก็ล้าหลังอยู่ไกลแล้ว จะต้องให้ความเคารพอย่างสูง ในตระกูลอวี้ อีกฝ่ายจัดอยู่ในอันดับสามของผู้อาวุโส

ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเรียกเขาว่าผู้อาวุโสสาม

“เป็นเฉินไห่คนในตระกูลเราเชิญคนหนึ่งมา อีกทั้งยังยอมมาทดสอบสามวิถีสวรรค์” เมื่อชายวัยกลางคนถามขึ้น ห้าคนนี้จึงคารวะและลังเลใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงเบาไป ไม่กล้าปิดบังใดๆ

“อืม? ตั้งแต่เมื่อไรกันที่คนตระกูลอวี้ของเราเชิญผู้มาเยือนชั่วคราวมาแล้วต้องบุกสามวิถีสวรรค์?” ชายวัยกลางคนกล่าวเสียงราบเรียบ สายตามองอวี้เฉินไห่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลตั้งนานแล้วและยังมีสีหน้าเคารพยำเกรง

“คารวะผู้อาวุโสสาม” ในใจอวี้เฉินไห่กังวลเล็กน้อย รุ่นเยาว์ในตระกูลอย่างเขาปกติแล้วจะไม่มีทางพบชายวัยกลางคนเลย มีแต่ตอนเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่จะเห็นอยู่ไกลๆ เท่านั้น ตอนนี้จึงรีบคุกเข่าลงกับพื้น

“กดขี่คนอื่น แบ่งพรรคแบ่งพวกแก่งแย่งกัน นี่เป็นเรื่องระหว่างรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้า ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ทว่า…เรื่องใช้สามวิถีสวรรค์…พวกเจ้าห้าคนไปปิดด่านนั่งฌานเถอะ ในพันปีนี้ห้ามให้ข้าเห็นพวกเจ้า” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนหันมากล่าวกับอวี้เฉินไห่อย่างเนิบช้า

“เจ้าคงจะเป็นคนในตระกูลที่มีสายเลือดของอวี้ไหม?”

“เรียนผู้อาวุโสสาม ผู้เยาว์เป็นคนสายเลือดของบรรพบุรุษอวี้ไหมจริงๆ” อวี้เฉินไห่ไม่กล้ายืนขึ้น ปากว่าเสียงเบา

“เล่าเรื่องก่อนหน้านี้ให้ข้าฟัง” ชายวัยกลางคนเอาสองมือไพล่หลัง สายตามองภูเขาวิถีเต๋าพลางรออวี้เฉินไห่ตอบ

อวี้เฉินไห่รีบเล่าเรื่องระหว่างตนกับซูหมิงให้ฟัง ตั้งแต่เริ่มจนจบออกมาทั้งหมด ระหว่างที่กล่าวอยู่นี้ ก็มีร่างเงาคนบินเข้ามาจากรอบๆ อยู่ตลอด แต่ละคนพอเห็นชายวัยกลางคนแล้วต่างมีสีหน้าเคารพยำเกรงและโค้งคำนับ

เมื่ออวี้เฉินไห่กล่าวจบ คนในตระกูลรอบๆ มีเกือบร้อยคนแล้ว พวกเขาล้อมรอบอยู่ และก็ได้ยินคำพูดอวี้เฉินไห่

“ผู้มาเยือนชั่วคราวที่เจ้าเชิญมามีนามว่าอะไร” ชายวัยกลางคนฟังจบแล้วก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าปกติ

“เขามีนามว่าซูหมิง” อวี้เฉินไห่พลันกล่าวเสียงต่ำออกไป

“ซูหมิง…” ชายวัยกลางคนไม่เอ่ยอีก แต่มองภูเขาวิถีเต๋าอยู่ตลอด

“แค่สี่วันก็เกิดเสียงแห่งวิถีเต๋าแล้ว เจ้าทำได้อย่างไร…ไม่รู้ว่าเจ้าจะล้มเหลวตรงนี้หรือไม่ หรือบางทีอีกหลายวันอาจทำให้ค้างคาววิญญาณบินขึ้น และปรากฏด่านที่สองดวงตะวันจันทราสว่างพร้อมเพรียง” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเฉยเมย กล่าวเสียงเบาเหมือนพึมพำกับตัวเอง และก็เหมือนกว่าวให้คนอื่นฟัง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป เขาอยู่ที่นี่ทำให้อวี้เฉินไห่ตึงเครียดอย่างยิ่ง คนในตระกูลรอบๆ ก็เช่นกัน แม้แต่เสียงสนทนายังหายไป สุดท้ายที่นี่ก็เงียบสงัด

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเทือกเขายาวเหยียดไม่มีสิ้นสุด สายตามองไปรอบๆ เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ เทือกเขาขึ้นลง มีหุบเขาอยู่ทุกที่ และยังมีที่ราบไร้พรมแดน

อยู่ที่นี่เขาลืมเวลาไปแล้ว ดวงตามองฟ้าอย่างสงบนิ่ง ดวงตะวันจันทราและดาราในแววตากำลังหมุนโคจร ตอนนี้เขาใช้อภินิหารวิชาภาพลวงตาที่ตระหนักรู้ด้วยตัวเองถึงขีดจำกัดในตลอดช่วงที่ผ่านมาแล้ว

ทว่า….เขายังหยุดร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อยไม่ได้ หยุดร่างกายที่ค่อยๆ สูญสลายไปไม่ได้ ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตอนนี้มีมากกว่าครึ่งเน่าเปื่อยเหลือแต่กระดูก

ตั้งแต่เริ่มเข้ามายังเขาวิถีเต๋าเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้ตลอด แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว เขาไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ จากโลกกว้างใหญ่นี้ ราวกับว่าที่นี่ไม่มีภยันตรายใดๆ เลย

แต่เขาก็ยังไม่กล้าขยับ เพราะว่า…พื้นดินของที่นี่ เทือกเขา ที่ราบและหุบเขาทุกอย่างเหล่านี้ หลังจากมาถึงและมองไปแวบแรกแล้ว ในใจพลันสั่นสะท้าน

เขาคือผู้ฝึกฌานคนแรกในผู้คนนับไม่ถ้วนที่บุกด่านแรกภูเขาวิถีเต๋าที่มองแผ่นดินนี้ออก

เขารู้ว่าแผ่นดินนี้คืออะไร เพราะหลายปีก่อนในขุมอำนาจรักษาการณ์ของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ เขาเห็นวัตถุเหมือนกับแบบนี้กับตาตัวเองมาแล้ว และยังถูกวัตถุแบบนี้ล่าสังหาร จนกระทั่งเขาไปอยู่ตรงแดนประหลาดวงแหวนบูรพาก่อนระเบิดวิญญาณเอ้อชางสิบดวงมาต่อสู้กับมัน

ผู้กุมชะตาเกิดดับ!

แผ่นดินใต้ร่างเขาคือฝ่ามือของผู้กุมชะตาเกิดดับ เทือกเขานี้คือเส้นลายมือ ที่ราบคือพื้นที่กว้างระหว่างเส้นลายมือ ส่วนหุบเขาคือซอกของเส้นลายมือ

เพียงแต่ว่าแผ่นดินฝ่ามือนี้ใหญ่กว่าที่เขาเคยเจอมาตอนนั้น!

นี่ทำให้เขานึกถึงรูปปั้นภูเขายักษ์ตอนที่มองจากนอกภูเขาวิถีเต๋า และยังมีบางสิ่งคล้ายกับผีร้าย รวมถึงค้างคาวยักษ์ที่บินไม่ขึ้นตรงกลางฝ่ามือ

ค้างคาวมีสีดำ เหมือนกับสีที่เกิดขึ้นจากการเน่าเปื่อยบนร่างกายตอนนี้

“ขอเพียงเจ้าเชื่อมัน มันก็จะอยู่” ซูหมิงกล่าวพึมพำเบาๆ นี่คือคำพูดของอวี้เฉินไห่ เป็นประสบการณ์ที่สรุปมาจากไม่รู้กี่ไปในตระกูลอวี้ ทว่าต่อให้รู้ประโยคนี้ล่วงหน้าก่อน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก ยังคงทำให้คนตระกูลอวี้ผู้บุกด่านแรกผ่านมีน้อยอย่างยิ่งเหมือนเดิม

“ที่นี่มีพลังที่ข้าไม่เคยสัมผัสมาก่อนวนเวียนอยู่ ความแกร่งของมันมากพอจะคงอยู่พร้อมกับฟ้า……” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบา ร่างกายยังคงเน่าเปื่อยอยู่ เมื่อสิ้นเสียง กระดูกตรงจุดที่เคยเน่าเปื่อยก็หายไป ร่างกายเขา หากมองไกลๆ จะเหมือนเปลี่ยนเป็นค้างคาว

เป็นค้างคาวที่บินออกจากฝ่ามือไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!