Skip to content

สู่วิถีอสุรา 875

ตอนที่ 875 ช้างมงคล

นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย การปรากฏตัวและคำพูดของหญิงคนนี้เหนือความคาดหมายเล็กน้อย ทว่าพอเขาตรึกตรองด้วยสมาธิแล้วก็มองเห็นเงื่อนงำได้คร่าวๆ

ตระกูลอวี้ที่สตรีคนนี้อยู่ เห็นได้ชัดว่าในสมัยโบราณไม่ได้เป็นผู้ฝึกฌาน แต่เป็น…เผ่าประหลาด!

บางทีเผ่านี้อาจเคยมีชื่อว่าวิถีเต๋า และอาจจะเป็นสายเลือดสาขาของเผ่าประหลาดวิถีเต๋า

เผ่าประหลาดวิถีเต๋าศรัทธาเทพสุริยันจันทรา ในอดีตอาจเคยรุ่งเรือง แต่จากคำพูดของเทพสุริยันและจันทราที่ว่าเหล่าเทพตกต่ำและหลับใหล เผ่าประหลาดวิถีเต๋าจึงค่อยๆ เสื่อมลง

ชาวเผ่าออกจากบ้านเกิดมายังดาวทมิฬ จากนั้นมาก็เกิดเป็นตระกูลอวี้ขึ้น

บรรพบุรุษรุ่นแรกของตระกูลอวี้ ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ไม่ลืมเทพที่พวกเขาศรัทธา ดังนั้นจึงกลับไปยังทะเลดาราต้นกำเนิดจิตหลายครั้ง สุดท้ายก็นำของวิเศษของเผ่าประหลาดวิถีเต๋ากลับมา

หรือก็คือสามวิถีสวรรค์

หลังจากนำสามวิถีสวรรค์กลับมา บางทีอาจเกิดการติดต่อกับเทพสุริยันและจันทราที่ตื่นจากการหลับใหล ดังนั้นจึงมีกฎให้ทุกคนในตระกูลอวี้ต้องบุกสามวิถีสวรรค์ บางทีสิ่งนี้อาจยังไม่พอ หรือไม่ก็เพื่อปิดบังอะไรบางอย่าง จึงรับผู้มาเยือนเข้ามา

พวกเขาปรารถนาจะให้คนในตระกูลบุกสามวิถีสวรรค์เพื่อรับมรดกของเทพ และจากนั้น…ก็ปรากฏอัครทูตขึ้น

การมาเยือนของซูหมิงทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นทูต ดังนั้นจึงเกิดเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้น

‘ดาวทมิฬมีเผ่าเชมัน ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยว่ามีเผ่าประหลาดแปลงโฉมมา ตอนนี้การคาดเดานี้คงจะถูกต้องแล้ว’ ซูหมิงตรึกตรองในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมา

ทว่าทันทีที่หญิงคนนี้กล่าวจบ คนตระกูลอวี้ทั้งหมดต่างหลับตาและค่อยๆ ล้มลง รวมถึงผู้อาวุโสสามคนนั้น ทุกคนต่างหลับใหล

มีเพียงซูหมิงกับหญิงคนนี้ หนึ่งอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง อีกหนึ่งอยู่บนพื้นดินด้วยความเคารพ

ขณะเดียวกัน หลังจากคนตระกูลอวี้หลับใหล ข้างตำแหน่งเทวรูปสุริยันและจันทราที่พังลง ฟ้าดินพลันบิดเบี้ยวและเกิดเสียงดังสนั่น ก่อนจะปรากฏ…ด่านสุดท้ายของสามวิถีสวรรค์

นั่นคือ…หินภูเขาสีขาวนวลลูกหนึ่ง!

ความใหญ่ของมันเหนือกว่าเทวรูปสุริยันและจันทรา อีกทั้งหินภูเขายังเป็นรูปร่าง แกะสลักช้างตัวหนึ่งไว้!

ตรงงวงช้างม้วนตาชั่งเอาไว้หนึ่งอัน…ช่วงที่ปรากฏขึ้น รูปปั้นพิลึกนี้ก็กระจายแรงกดดันที่ทำให้ซูหมิงใจสั่นสะท้าน แรงกดดันอบอวลไปรอบๆ หากไม่ใช่เพราะวงแหวนอาคมใหญ่ของตระกูลอวี้เปิดเอาไว้ตลอด และหากไม่ใช่เพราะตระกูลอวี้เตรียมตัวสำหรับการปรากฏตัวของทูตมาโดยตลอด เช่นนั้นตอนนี้แรงกดดันและกลิ่นอายพลังคงจะกระจายไปทั้งดาวทมิฬ

“สามวิถีสวรรค์ ด่านที่สาม…เชิญท่านทูตสู่ช้างมงคล” หญิงจากตระกูลอวี้กล่าวเสียงเบาพลางโค้งคำนับให้ซูหมิง

ซูหมิงมองหินภูเขาใหญ่ยักษ์ มองช้างมงคลบนหินภูเขา สีหน้าเขาเหมือนปกติ ทว่าในใจกลับสั่นสะท้าน เขามองออกรางๆ ว่านี่คือ…ของวิเศษชิ้นหนึ่ง!

สิ่งนี้เป็นของวิเศษต้นกำเนิดจิตที่มีอานุภาพไม่มีสิ้นสุด กระทั่งมีเพียงพลังต้นกำเนิดจิตเท่านั้นถึงจะขับไล่มันไปได้!

“เป็นผู้ใดในตระกูลเจ้าที่นำสามวิถีสวรรค์จากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตมาสู่ดาวทมิฬ?” ซูหมิงมองช้างมงคลพลางถามขึ้น

อวี้โหรวตะลึงงัน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“คือท่านบรรพบุรุษลำดับสี่ในตระกูล เขาได้รับมาจากทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เรื่องนี้เป็นความลับของตระกูล คนในตระกูลธรรมดาไม่รู้รายละเอียด”

“บรรพบุรุษลำดับสี่ของตระกูลเจ้ามีนามว่าอะไร ตอนนี้อยู่ที่ใด?” นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย น้ำเสียงเป็นปกติ ทำให้คนฟังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ เขาถึงถามเช่นนี้

“ท่านบรรพบุรุษลำดับสี่มีนามว่าอวี้หาน ตอนนั้นใช้อายุขัยไปมากเพื่อขับเคลื่อนสามวิถีสวรรค์ หลังจากนำกลับมายังตระกูลแล้วก็ทิ้งพินัยกรรมเอาไว้ ก่อนลาลับจากไป” น้ำสียงอวี้โหรวอ่อนนุ่มเหมือนกับความหมายของชื่อนาง

“ข้าเคยได้ยินคนพูดว่าตระกูลอวี้มีคนเคยผ่านด่านสาม เป็นเจ้ารึ?” ซูหมิงละสายตาจากช้างมงคลมามองอวี้โหรว

“เป็นข้าเอง และในครั้งนั้นข้าก็ได้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของสายเลือดเทพจันทรา ได้รับต้นกำเนิดหยิน และได้รับภารกิจอันหนักอึ้งมา แต่ก็ถูกจำกัดไม่ให้ออกจากตระกูลอวี้ ร่างจริงรับแสงตะวันไม่ได้ ตอนนี้ร่างที่อยู่ที่นี่เป็นเพียงร่างแยกเงา…มีแต่ต้องสำเร็จภารกิจเท่านั้นถึงจะออกจากตระกูลอวี้ได้”

อวี้โหรวกล่าวเสียงต่ำ “ขอเชิญท่านทูตเข้าไปในด่านสามเพื่อรับช้างมงคล ตระกูลอวี้ของเราจะนับถือท่านทูตเป็นเทพ และจะศรัทธาท่านนับจากนี้ไป”

“เจ้าดูอยากจะให้ข้ารีบเข้าไปในด่านสามเสียเหลือเกิน?” ซูหมิงยิ้มน้อยๆ มองหญิงคนนั้นอย่างมีความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง

การมองแวบเดียวนี้ นัยน์ตาเขาแวววาว สายตาจ้องอวี้โหรว

สตรีคนนี้มีสีหน้าเหมือนปกติ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ นางเงยหน้าขึ้นสบตาซูหมิงพลางเอ่ยเสียงเบา

“นี่คือภารกิจของอวี้โหรว”

ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วหมุนตัวขยับวูบไหวไปยังช้างมงคล ร่างเงาเขาเหยียบบนหินภูเขาใหญ่ในพริบตา ก่อนจะหายเข้าไปในหินอย่างไร้ร่องรอย

อวี้โหรวมองซูหมิงหายไป จนกระทั่งเห็นเขาหายไปแล้ว สีหน้านางก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป ราวกับคำว่าความรู้สึกไม่มีอยู่ในตัวนาง

นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว เหมือนกำลังรอคอยซูหมิงกลับมา

ทว่าตอนนี้ ใต้ดินของจุดที่นางยืนอยู่ ตรงจุดที่ห่างกันทุกสิบจั้ง กลางชั้นดินข้างล่างล้วนมีทรายละเอียดสีทองปูอยู่ในแต่ละชั้น ทุกชั้นแยกห่างกัน จนกระทั่งส่วนลึกใต้ดินหมื่นจั้ง ตรงนั้น…มีวิหารใต้ดินใหญ่อยู่หลังหนึ่ง

“มีทรายวิญญาณขวางอยู่ ต่อให้เป็นกระแสจิตของเทพก็ไม่มีทางข้ามผ่านมาได้ ถึงอย่างไรทรายวิญญาณพวกนี้ก็อยู่มาแต่โบราณ ขอเพียงพวกเราเชื่อว่ามันจะหลบการตรวจสอบได้ทุกอย่าง มันก็จะทำได้” มุมมืดแห่งหนึ่งกลางวิหารใต้ดิน มีเสียงแก่ชราเหมือนฟันเสียดสีกันค่อยๆ ดังกังวาน

เมื่อเสียงดังขึ้น เสี้ยวขณะนั้นในวิหารใต้ดินก็มีแสงเทียนสีเขียวสว่างขึ้นมา ส่องสะท้อนวิหารใต้ดินให้อยู่ท่ามกลางแสงสีเขียว ดูแล้วอึมครึมอย่างยิ่ง หลังจากแสงเทียนสีเขียวขยับไหว ก็เหมือนมีผีร้ายวนเวียนไปมาในวิหาร

“พวกเรารอมาหลายหมื่นปีแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง….”

“น่าเสียดาย คนผู้นี้ไม่ใช่คนตระกูลอวี้ของเรา มิเช่นนั้นแล้ว…คงไม่ต้องรอบคอบเช่นนี้”

“อวี้โหรวมีนิสัยใจเย็น นางไม่น่าจะให้ใครมองเงื่อนงำออก อีกอย่างตอนนี้พวกเรายังไม่แน่ใจเลยว่าในใจอวี้โหรวเอียงไปทางตระกูล…หรือว่าเทพกันแน่”

เสียงแก่ชราดังก้องอยู่ในวิหารใต้ดิน เมื่อแสงเทียนสีเขียวถูกจุดขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าของคนในวิหารใต้ดินแล้ว จึงพอจะเห็นรางๆ ว่ากลางวิหารใต้ดินมีชายชรานั่งอยู่สิบสามคน

ชายชราสิบสามคนนี้จะแก่ชราขึ้นไปทีละคน มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากตัวพวกเขาราวกับเป็นคนตาย กระทั่งภายใต้แสงเทียน ดวงตาพวกเขายังเป็นประกายสีเขียวหม่น ดูแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง

ผิวหนังพวกเขาเหี่ยวแห้ง เลือดเนื้อแห้งกรังเหมือนหนังหุ้มกระดูก ทว่าจากแสงเทียนจะพอเห็นรางๆ ว่าบนตัวพวกเขามีภาพสัญลักษณ์ซับซ้อนจำนวนมาก

“ต่อให้ในใจนางเอียงไปทางเทพ ทว่านางก็ยังเป็นคนตระกูลอวี้ของเรา เราชี้แจงข้อดีข้อเสียให้นางฟังแล้ว ตอนนี้นางมีเพียงทางเลือกเดียว…”

“หลายหมื่นปีมาแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง อัครทูตปรากฏตัวจริงๆ ไม่เสียแรงที่พวกเราทรมานอยู่ที่นี่มานานปี ไม่กล้าเจอแสงตะวัน ไม่กล้าออกจากวิหารใต้ดิน…”

“พวกเราซ่อนความลับของสามวิถีสวรรค์เอาไว้ แม้แต่คนในตระกูลยังไม่รู้ ความจริงหลายหมื่นปีมานี้ คนที่ผ่านด่านสามไม่ได้มีเพียงอวี้โหรวคนเดียว…แต่รวมพวกเราเข้าไปด้วย ก็มีทั้งหมดสิบสี่คนที่ผ่านด่านสามของสามวิถีสวรรค์”

“ทุกอย่างคุ้มค่า…ขอเพียงแผนการของท่านบรรพบุรุษสำเร็จ ขอเพียงท่านบรรพบุรุษยึดร่างทูตและกลายเป็นเทพเสียเอง เช่นนั้น…จากนี้ไปพวกเราที่แตกสายเลือดมาจากเผ่าวิถีเต๋าก็จะได้ศรัทธาแต่เพียงตัวเอง!”

“ตระกูลอวี้ของเราจะผงาดขึ้น ขอเพียงแผนการท่านบรรพบุรุษสำเร็จ!”

“น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเราเตรียมตัวมาหลายปี กระทั่งพวกเราสิบสามคนละทิ้งทุกอย่างเพื่อช่วยบรรพบุรุษลำดับสี่อวี้หาน กระทั่งพวกเรายอมทำลายวิญญาณชีวิตของบรรพบุรุษรุ่นสาม รุ่นสอง ไปจนถึงยุคสมัยแรก ทุกอย่างนี้…หากยังไม่สำเร็จละก็…”

“จะต้องสำเร็จแน่!”

“ไม่ผิด จะต้องสำเร็จแน่นอน ตอนนั้นบรรพบุรุษลำดับสี่เข้าไปในช้างมงคลโดยไม่ได้ตั้งใจ จากการช่วยเหลือของพวกเรา หลายหมื่นปีมานี้ได้ยับยั้งวิญญาณวัตถุที่เดิมทีควรจะหลับใหลให้กลายเป็นวิญญาณวัตถุใหม่แล้ว

เขาต้องการเพียงยึดร่าง ใช้การเตรียมตัวตลอดหลายหมื่นปียึดร่างทูตคนนี้เสีย!”

“หึ อัครทูตอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าเป็นร่างรวมดวงจิตของเทพสุริยันและจันทรา คนอื่นไม่รู้ความจริงหรอก แต่พวกเรารู้นานแล้วว่า ขอเพียงแค่เลือกเชื่อ ตอนที่กลายเป็นทูตแล้วก็จะไม่มีสติปัญญา”

“ขอเพียงเชื่อ มันก็จะมีอยู่…พลังแข็งแกร่งระดับนี้ นี่คือรากฐานต้นกำเนิดจิตของเทพสุริยันและจันทรา พลังนี้ต้องอยู่ในมือตระกูลอวี้เท่านั้น เทพตกต่ำแล้ว วิถีเซียนก็หายไปแล้ว นี่คือ….ยุคสมัยแห่งการผงาดขึ้นของสรรพสัตว์!”

ขณะชายชราสิบสามคนในวิหารใต้ดินกำลังสนทนากันอย่างตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย อวี้โหรวยืนอย่างสงบนิ่งอยู่บนพื้นดินเหนือวิหารใต้ดิน นางมีสีหน้าเฉยชาราวกับไม่ใส่ใจทุกอย่าง หนำซ้ำยังดูเหมือนว่า…นางไม่รู้ว่ามีเรื่องใดที่จะทำให้นางเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นได้

เหนือศีรษะนาง ตรงกลางช้างมงคลของด่านสามกลางอากาศ ตรงหน้าซูหมิงปรากฏทะเลหมอกกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

ทะเลหมอกแห่งนี้กว้างไกลไร้ขอบเขต ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด เมื่อเขามองไป เห็นไกลๆ ว่าเหมือนมีช้างตัวหนึ่งกำลังร้องอยู่กลางเมฆ

เสียงคำรามสะท้อนรางๆ สั่นสะเทือนจิตใจ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นกำเนิดจิตในวิญญาณเขาเดือดพล่านขึ้นตาม

“ช้างมงคล…” ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว เหยียบบนทะเลเมฆ เคลื่อนตัวไปอย่างเร็วรี่

‘ตระกูลอวี้ดูเหมือนปกติ อวี้โหรวผู้นั้นมองแวบแรกดูเหมือนไม่มีพิรุธอะไร กระทั่งคำพูดยังไม่เผยเงื่อนงำ…ทว่าทุกอย่างนี้ราบรื่นเกินไป’ ซูหมิงแค่นเสียงหึเย็นชา ขณะในใจตื่นตัวก็ค่อยๆ เข้าไปใกล้ช้างที่กำลังร้องคำราม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!