Skip to content

สู่วิถีอสุรา 876

ตอนที่ 876 สัญญา

อยากได้ของล้ำค่าก็ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อให้ได้มา

ซูหมิงมาถึงตระกูลอวี้ เดิมทีเพื่อจะได้ตั้งตัวบนดาวทมิฬเมื่อแรกเข้ามา อีกทั้งยังปรับตัวให้กลมกลืนกับดาวทมิฬได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จะได้ไปตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับกระเรียนขนร่วง

กระทั่งหากมีโอกาสจะไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิตสักครั้ง ไปดูว่าในแดนแห่งต้นกำเนิดจิตที่เรียกว่าทะเลดารามีฟ้าดินแบบใดอยู่กันแน่ มีเผ่าประหลาดที่ไม่เคยเห็นมากเท่าไร

จากนั้นก็รอโอกาส รอให้ร่างแยกเอ้อชางแกร่งขึ้น แล้วตามหาวิธีออกจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต บุกออกจากขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริง กลับไปยังสี่มหาโลกแท้จริง กลับไปยังบ้านเกิด

ทว่าตอนที่ใช้อาคมเคลื่อนย้ายตระกูลอวี้ ซูหมิงรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของเผ่าเชมัน ความคิดนี้ก็เปลี่ยนไปรางๆ เขารู้สึกถึงการมีอยู่ของเผ่าเชมัน ทำให้เขาคิดเชื่อมโยงไปมากมาย และก็คิดไปถึงเลี่ยซานซิว

กระทั่งส่วนลึกในใจซูหมิงยังมีการเฝ้ารอคอยอย่างหนึ่ง เขาเฝ้าปรารถนาอยากจะเจอ….เผ่าหมานที่นี่

ถึงอย่างไรก็มีเผ่าเชมันอยู่ เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่เผ่าหมานจะไม่อยู่ด้วย!

ดังนั้นเขาจึงเลือกช่วยอวี้เฉินไห่ด้วยการบุกสามวิถีสวรรค์

เดิมทีนี่เป็นการบุกที่ไม่ต้องสร้างเรื่องใหญ่โต ซูหมิงก็ไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น ทว่าหลังจากด่านแรก เขาก็รู้สึกถึงพลังซึ่งทำให้ใจสั่นไหว พลังนี้คือขอแค่เชื่อมันก็จะมีอยู่

ฉะนั้นถึงมีวิถีสวรรค์ด่านสอง เขาไปต่ออย่างไม่ลังเล แต่ในวิถีสวรรค์ด่านสอง เขาใช้ร่างแยกเอ้อชางรับโชควาสนาครั้งใหญ่ ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ยังไม่ได้รับพลังที่ทำให้ใจสั่นไหวก่อนหน้านี้

ทว่าก็เพียงพอแล้ว!

หากไม่ใช่เพราะหญิงคนนั้นปรากฏตัว หากไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็นกลิ่นอายพลังของวิเศษจากช้างมงคลในด่านสาม เขาคงจะไม่บุกด่านสามคต่อ ของวิเศษที่สามารถเหนี่ยวนำต้นกำเนิดจิต กระทั่งมีเพียงต้นกำเนิดจิตเท่านั้นถึงจะกระตุ้นมันได้นี้ทำให้ซูหมิงใจเต้นแรงถึงขีดสุด

ดังนั้นเขาจึงบุกด่านสาม และเดิมพันสักครั้ง!

ถึงสงสัยว่าตระกูลอวี้จะมีแผนการร้าย แต่เขาพิจารณาด้วยตัวเองแล้ว คนอื่นไม่น่าจะมองออกว่าเขากินเทพสุริยันและจันทรา เขามีร่างแยกเอ้อชางอยู่ ทุกอย่างทำให้ความมั่นใจในการเดิมพันครั้งนี้สูงมาก

ยามนี้เมื่อซูหมิงเข้ามาใกล้ ช้างในทะเลเมฆร้องเสียงดังชัดเจนอย่างยิ่ง นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย เขาขยับวูบไหวเดินหน้าไป ทะลวงผ่านทะเลหมอกในพริบตา ตอนที่เข้าไปใกล้ เขาเห็นช้างอยู่กลางทะเลหมอก

มันเป็น…ช้างตัวใหญ่ที่เป็นสีม่วงอมดำทั้งตัว มีขนขึ้นทั่วร่าง ช้างยักษ์ตัวนี้มีความสูงหลายพันจั้ง ขาสี่ข้างถูกชั้นเมฆมัดเอาไว้ งวงของมันส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดไม่หยุด ทำให้ทะเลหมอกหมุนตลบอย่างต่อเนื่อง

ดวงตามันขุ่นมัว ทั้งยังมีงาใหญ่ให้ความรู้สึกดุร้าย เมื่อมันร้องคำราม งาช้างก็เหมือนมีพลังทำลายล้างฟ้าดิน ทำให้ผู้มองต้องเกิดความยำเกรง

ใต้ร่างมันมีฐานทรงกลมยักษ์แห่งหนึ่ง ฐานนี้มีพื้นที่หลายพันจั้ง รับช้างยักษ์เอาไว้ข้างในทั้งหมด มองตามฐานนี้ไป ซูหมิงเห็นทันทีว่ารอบๆ ฐานมีโซ่เหล็กสี่เส้นยืดยาวขึ้นฟ้า จนกระทั่งขึ้นไปเกือบหมื่นจั้ง เขาก็เห็นเสาสีดำต้นหนึ่ง

นี่คือ…ตาชั่ง!

ฐานนั้นคือตาชั่ง ส่วนเสาสีดำคือเข็มตาชั่ง ยืดยาวไปไม่มีสิ้นสุด บนเข็มตาชั่งที่อยู่ไกลๆ น่าจะมีลูกตุ้มตาชั่งอยู่อันหนึ่ง แบบนี้ก็จะวัดเป็นน้ำหนักของช้างตัวนี้ได้

ภาพนี้ทำให้ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เขาแยกไม่ออกว่าระหว่างช้างกับตาชั่งสิ่งใดคือของวิเศษ บางทีอาจจะเป็น….ทั้งสองอย่าง!

‘ของวิเศษแห่งเทพสุริยันจันทรา นี่จะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าในยุคที่พวกเขารุ่งโรจน์อย่างแน่นอน ดังนั้นสมบัติมีสองชิ้นก็ถูกแล้ว!’ นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ เขาไม่ได้ผลีผลามในทันที แต่กระโดดขึ้นและห้อวิ่งไปตามเข็มตาชั่ง

ทว่าจนกระทั่งเขาเห็นสุดปลายของเข็มตาชั่งแล้วก็ยังไม่พบลูกตุ้มตาชั่งอีก นี่คือ…ตาชั่งที่ไม่มีลูกตุ้ม!

“ไม่มีคำสัญญา…” ช่วงที่ซูหมิงสังเกตเห็นว่าไม่มีลูกตุ้มตาชั่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามคล้ายเจ็บปวดดังกระหึ่มขึ้นจากฟ้าดิน

“ไม่มีคำสัญญา…คำสัญญาอยู่ที่ใด…คำสัญญาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด!”

“ข้ากินลูกตุ้มตาชั่งแล้ว เพราะว่า…ข้ากินคำสัญญาไปแล้ว!”

“อย่าเชื่อคำสัญญา คำสัญญาคือต้นกำเนิดพลังของข้า เชื่อข้า ข้าก็จะมีอยู่!”

“ข้า….ช้างมงคล ข้า…ไม่มีคำสัญญา!”

“ข้าจะชั่งน้ำหนัก น้ำหนักของคำสัญญา ข้าจะรู้ว่า…คำสัญญาหนักเท่าใด ข้าจะรู้ว่า…อะไรคือคำสัญญา!”

เสียงนี้แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด ดังกึกก้องเหมือนเสียงคำราม สั่นสะเทือนจิตใจซูหมิง ทันใดนั้นเสียงนี้ก็เปลี่ยนเป็นนุ่มนวล

“เจ้า…มาแล้ว…”

“รับต้นกำเนิดจิตแห่งเทพสุริยันจันทรา เจ้า….นำคำสัญญามาแล้ว…..”

“ให้สัญญากับข้า….ข้าจะติดตามเจ้า….ไปตามหาน้ำหนักของคำสัญญา!”

“ให้สัญญา….กับข้า…”

“เจ้าต้องการคำสัญญาอะไร!” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ตอนเอ่ยขึ้นก็พบว่าเสียงที่แว่วมาเป็นของช้างยักษ์ที่อยู่ไกลออกไป มันกำลังพูดและร้องคำราม

ทว่าแววตามันยังคงขุ่นมัวประหนึ่งหลับใหล ราวกับว่าสิ่งที่กล่าวคำพูดนี้คือวิญญาณของมัน

“จงสัญญาว่า…เจ้าจะพาข้าไป!”

“ให้คำสัญญานี้กับข้า แล้วข้าจะเป็น…สมบัติล้ำค่าที่ทรงพลังที่สุดให้เจ้า ข้าจะใช้ร่างกายข้าเหยียบย่ำสวรรค์ทั้งหมดเพื่อเจ้า…ให้สัญญา…กับข้า!”

เสียงคำรามครั้งนี้ไม่ได้ดูเจ็บปวดอีก แต่แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง

ภายใต้ความบ้าคลั่ง ทะเลหมอกเกิดเสียงโครมคราม ม้วนตลบไปรอบด้าน ทำให้ทะเลหมอกไม่มีสิ้นสุดหมุนวนอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นพายุหมุนยักษ์ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกังวานไปโดยรอบ ทะเลหมอกหมุนรอบตัวตลบและกระจายออกเป็นวงกว้างไม่หยุดหย่อน ส่งผลให้ตรงใจกลางแห่งนี้ไม่มีเมฆหมอกอีก และซูหมิงก็เห็นทั้งตัวของช้างมงคลในครั้งเดียว

เขาไม่กล่าวอะไร สายตามองช้างมงคล มองดวงตาของมัน นัยน์ตาเริ่มฉายแววเย็นชาทีละน้อย

‘ขอแค่เชื่อ มันก็จะมีอยู่…’ ซูหมิงค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากเย็นชา

พรสวรรค์ของเผ่ายมโลกคือการยึดร่าง ตัวเขาเองก็ยึดร่างมาแล้วสองครั้ง เวลานี้มองเห็นดวงตาขุ่นมัวของช้างยักษ์ รู้ชัดว่ามันหลับใหลอยู่ เช่นนั้นเสียงที่เกิดขึ้น…ดูแล้วไม่น่าดึงดูดอะไร ทว่าความจริงแล้วนี่คือคำพูดที่จะให้เขาเอ่ยคำสัญญาชัดๆ ประหนึ่งว่าหากเชื่อคำพูดอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็จะมีตัวตนอยู่

ดูเหมือนไม่ใช่ความจริง แต่นี่ก็คือต้นกำเนิดของพลังนี้

‘จะยึดร่างข้ารึ…เช่นนั้นข้าจะเล่นกับเจ้าสักครั้ง!’ ซูหมิงยิ้มเยาะ นัยน์ตาเป็นประกายหนาวเยือก ก่อนจะกล่าวเนิบช้าออกไป

“ข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าไป!” วินาทีที่ซูหมิงกล่าวประโยคนี้ มีเสียงหัวเราะบ้าคลั่งกลบเสียงของช้างยักษ์ก่อนหน้านี้ดังขึ้นมา เสียงหัวเราะดูผ่านโลกมานาน มาพร้อมด้วยความดีใจอย่างยิ่ง และยังแฝงด้วยความบ้าคลั่งที่อัดอั้นมานานหลายหมื่นปี จนในที่สุดก็ได้หลุดพ้น

“ข้า…ถูกใจเจ้า!” ช่วงที่เสียงหัวเราะดังสนั่นฟ้าดิน พลันมีดวงจิตแก่กล้าระเบิดมาจากในช้างมงคล ความแกร่งของดวงจิตสั่นสะเทือนฟ้าดิน ตรงไปหาซูหมิงแล้วทำการยึดร่างในพริบตา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!