ตอนที่ 887 ข้าอยากพบเลี่ยซานซิว
ซูหมิงยืนอยู่ข้างม่านแสงมายาในห้อง ขอเพียงเดินหนึ่งก้าวก็จะออกจากที่นี่ไปอยู่กลางห้องโถงลานประมูล ก่อนหน้านี้อวี้โหรวก็ออกไปจากตรงนี้
เขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วข้างนอก เห็นอวี้โหรวเคาะประมูล เห็นการแทะโลมจากเสียงเฉยเมย กระทั่งเห็นร่างเงาสองคนบินออกมาจากห้องอีกฝ่าย
ทุกอย่างนี้ เขากล่าวเพียงประโยคหนึ่งเรียบๆ ว่า
“ข้าต้องการรูปปั้นนี้”
ถึงตอนนี้ในลานประมูลจะเกิดความวุ่นวาย แต่ซูหมิงก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สายตามองทุกอย่างข้างนอก
ภายในลานประมูล ร่างเงาสองคนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พลังมหาศาลปะทุมาจากสองคนนี้ นั่นคือพลังระดับเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ราวกับมังกรคลั่งสองตัวแหวกอากาศเข้าไปใกล้อวี้โหรวในพริบตา
ดูจากพลังสองคนนี้แล้ว การจะจับอวี้โหรวเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งสำหรับพวกเขา ถึงอย่างไรในความรู้สึกพวกเขา อวี้โหรวก็เป็นเพียงเจ้าปกครองโลกตอนต้น
อวี้เฉินไห่ข้างกายซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี ใจคิดจะออกไปช่วย ทว่าเห็นซูหมิงไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีอะไรจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นกัดฟัน กายขยับวูบไหวพุ่งออกจากม่านแสง ตรงไปหาอวี้โหรวทันที
ด้วยฐานะตระกูลอวี้และนิสัยชอบผูกมิตรของอวี้เฉินไห่ เขาจึงรู้จักกับคนไม่น้อยบนดาวทมิฬ ยามนี้เมื่อเขาปรากฏตัว ในกลุ่มคนรอบๆ ก็มีคนจำเขาได้ทันใด
“อวี้เฉินไห่”
“ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลอวี้ เรื่องคราวนี้น่าสนใจ แม่นางน้อยผู้งดงามอย่างยิ่งคนนี้น่าจะเป็นหญิงรับใช้ของอวี้เฉินไห่ แต่พวกเขาอาจจะเขลาเกินไปหน่อย ไม่คิดเลยว่าจะล่วงเกินคนตระกูลไท่ฉือ”
“ตระกูลระดับกลางกับหนึ่งในสามตระกูลใหญ่สุดบนดาวทมิฬเป็นเหมือนแสงหิ่งห้อยกับแสงตะวัน อวี้เฉินไห่ไม่ควรปรากฏตัว เฮ้อ…กามตัณหาบดบังสติปัญญาจริงๆ คำพูดนี้ไม่ผิดเลย”
โครม!
เสียงดังสนั่นกึกก้องในลานประมูลตระกูลเลี่ยซาน กลายเป็นคลื่นเสียงดังติดต่อกันไม่หยุด ให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนแก้วหู หนำซ้ำท่ามกลางเสียงดังสนั่น ผู้คนโดยรอบต่างกระจายตัวกันออกไปอย่างเร็วไว พวกเขาเห็นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงทันที ผู้ฝึกฌานสองคนที่พุ่งไปหาอวี้โหรว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงกระอักโลหิตพร้อมกัน ร่างกระเด็นถอยไปชนกับกำแพงด้านข้าง โลหิตไหลจากทวารทั้งเจ็ด มีสภาพอนาถอย่างยิ่ง สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและเหลือเชื่อ
กระทั่งอวี้เฉินไห่ที่อยู่กลางอากาศและกำลังจะไปช่วย ตอนนี้ยังเบิกตากว้างและมีสีหน้าเหลือเชื่อ เขาเห็นอวี้โหรวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ค่อยๆ ลดมืองามลง
นางเพียงสะบัดมือครั้งเดียวก็ทำให้เจ้าปกครองโลกตอนกลางสองคนกระอักเลือดและถอยไป ร่างกายเจ็บสาหัส
ระลอกคลื่นพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายกระจายมาจากตัวอวี้โหรวรางๆ ก่อเป็นแรงกดดันแก่กล้า ภายใต้แรงกดดันนี้ ผู้คนรอบๆ ต่างลมหายใจแข็งค้าง โดยเฉพาะผู้ฝึกฌานตระกูลไท่ฉือสองคน ร่างกายแข็งค้างอยู่บนกำแพงอย่างแน่นหนา หลุดออกมามิได้
โดยรอบพลันเงียบงัน เหตุการณ์นี้เหนือความคาดหมายของทุกคน
อวี้โหรวเงยใบหน้างามขึ้น สายตาราบเรียบมองม่านแสงมายาห้องของซูหมิง
ซูหมิงที่อยู่ในม่านแสงมองเห็นสายตาอวี้โหรวแล้ว
“ฆ่าเสีย” เขากล่าวเรียบๆ เสียงลอดผ่านม่านแสง กึกก้องอยู่ในลานประมูล
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ผู้ฝึกฌานหลายพันคนในลานประมูลเพิ่งจะพบความจริงว่าอวี้เฉินไห่ไม่ใช่เจ้านายของหญิงงามคนนี้ คุณชายที่หญิงงามเอ่ยถึงคือ…คนที่กล่าวขึ้นในตอนนี้ต่างหาก!
ชั่วเวลาที่เสียงซูหมิงแว่วมา อวี้โหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่านางก็กดความลังเลลงได้ในพริบตา ก่อนจะยกมือขวาชี้ไปยังผู้ฝึกฌานสองคนนั้น ตอนนี้เอง มีเสียงคำรามต่ำดังแว่วมาจากห้องตระกูลไท่ฉือ
“หาญกล้านัก กล้าสังหารองครักษ์ตระกูลไท่ฉือในเมืองวารีดำ!” คนที่มาพร้อมกับเสียงนี้คือชายชราราวกับพยัคฆ์ร้าย เขาเดินออกมาจากห้องตระกูลไท่ฉือก้าวหนึ่ง เพิ่งออกมาก็ใช้เท้าขวาเตะอากาศอย่างรุนแรง
เสียงโครมดังขึ้น ผู้ฝึกฌานสองคนที่ถูกผนึกอยู่บนกำแพงตัวสั่นสะท้าน เมื่อได้รับอิสระกลับมาแล้ว สองคนนี้หน้าซีดขาว พุ่งตรงไปหาชายชรา
“ผู้มาเยือนของตระกูลไท่ฉือ อวิ๋นหลงหู่!”
“เป็นเขา เจ้าปกครองโลกตอนปลาย อวิ๋นหลงหู่!”
มีผู้ฝึกฌานรอบๆ รู้จักชายชราคนนี้ ทว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทันทีที่ผู้ฝึกฌานตระกูลไท่ฉือที่ถูกปลดผนึกสองคนเพิ่งก้าวเดิน ก็มีแสงหม่นลักษณะจันทร์เสี้ยววูบผ่านด้านข้างสองคนนี้ เห็นเพียงรางๆ ว่ามีร่างเงาหนึ่งอยู่ระหว่างความจริงกับมายา พริบตาที่ขยับผ่านสองคนนี้ ก็เกิดเสียงร้องโหยหวนสองเสียงดังกังวานรอบๆ ทันที
ท่ามกลางเสียงร้องนั้น ศีรษะสองคนแยกออกจากร่างกาย จิตวิญญาณกับจิตแรกยังสลายไปทั้งหมดในพริบตาเดียว
ชายชราตระกูลไท่ฉือหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่หรี่ตาลง เงาเลือนรางร่างหนึ่งมาปรากฏอยู่กลางอากาศนอกห้องซูหมิง เป็นชายหัวโล้น สวมเสื้อคลุมดำปกคลุมทั้งตัว บนหนังศีรษะมีรอยสักขยับวิบวับรางๆ เขาก็คือ…ชื่อหั่วโหว!
คราวนี้ชื่อหั่วโหวใช้พลังทั้งหมดต่อหน้าซูหมิงเป็นครั้งแรก ตอนแรกเขาไม่ยอมใช้มันมากนัก กระทั่งเมื่อก่อนตอนที่ซูหมิงเจออันตรายเขาก็เพียงใช้การเคลื่อนย้าย แต่มิได้ลงมือ
ทว่าหลังจากซูหมิงได้รับร่างแยกเอ้อชางมา เขาก็ยอมรับซูหมิงอย่างแท้จริง และเปลี่ยนความคิดไป
“เจ้านายข้าบอกว่าพวกมันต้องตาย พวกมันก็ต้องตาย” ชื่อหั่วโหวกล่าวด้วยน้ำเสียงอันธพาล เสียงแหบแห้งแฝงด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายกระหายเลือด และยังมีท่าทีของผู้แข็งแกร่งในยุคสมัยแรก รวมถึงเผยความบ้าอำนาจออกมาด้วย
ผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือหรือชายชรานามอวิ๋นหลงหู่แค่นเสียงเย็นชาด้วยสีหน้ามืดทะมึน ที่นี่คือเมืองวารีดำ ที่นี่ตระกูลไท่ฉือเป็นคนควบคุม ที่นี่…ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งมากกว่านี้อีกเขาก็ไม่กลัว
แม้แต่ในห้องด้านหลังเขา ตอนนี้เสียงเกียจคร้านก็ยังคงดังมาอย่างเฉื่อยชา
“สนุกครึกครื้นจริงๆ คนตระกูลอวี้กล้าหาญแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน” ครั้นสิ้นเสียง ก็มีสี่คนเดินออกมาจากห้องนั้น คนนำหน้าสุดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์หรูหราทั้งตัว ในมือถือพัดหนึ่งอัน เมื่อเดินออกมาแบบสบายๆ แล้ว นัยน์ตาก็ขยับประกายเย็นเยียบ แต่ตอนที่มองอวี้โหรวกลับมีความหมกมุ่นในกามารมณ์
ชายชราสามคนตามอยู่ด้านหลังเขา สามคนนี้มีสีหน้าเฉยชา หลับตาอยู่ราวกับหุ่นเชิด
ตอนที่ชายหนุ่มกล่าวขึ้น สายตาก็เบนจากอวี้โหรวไปมองม่านแสงนอกห้องของซูหมิง เขาไม่เห็นซูหมิง แต่ซูหมิงเห็นเขา
“สังหารองครักษ์ตระกูลไท่ฉือ เรื่องนี้ตระกูลอวี้ต้องให้คำอธิบาย สามวันจากนี้ ข้าจะไปงานประมูลของตระกูลอวี้ในเมืองวารีดำ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ใช้พัดเคาะมือซ้ายแล้วหมุนตัวเตรียมจะจากไป
ซูหมิงที่อยู่ในม่านแสงเห็นชายหนุ่มหมุนตัวเตรียมจากไป ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มบางๆ
‘ตระกูลเลี่ยซาน พวกเจ้าเอาเทวรูปหมานมาหยั่งเชิงข้า เช่นนั้นแซ่ซูก็จะขอหยั่งเชิงพวกเจ้าเหมือนกัน…ว่าในใจยังมีเผ่าหมานอยู่หรือไม่!’
“ฆ่าคนพวกนี้ให้หมด” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ทว่าเมื่อเสียงแว่วมาจากม่านแสงแล้ว กลับกลายเป็นเสียงดังสนั่นที่ทำให้ทุกคนที่ได้ยินจิตใจสะท้าน
แม้แต่ชายหนุ่มยังหมุนตัวกลับทันใด นัยน์ตาเป็นประกายเย็นชาเด่นชัด
ชายชราสามคนที่หลับตาอยู่ด้านหลังลืมตาขึ้นพร้อมกัน ตอนนี้เอง ผู้ที่เคลื่อนไหวเป็นคนแรกคือชื่อหั่วโหว เขายิ้มอย่างเหี้ยมโหดพร้อมกับขยับวูบไหวไปข้างหน้า
ต่อมาคืออวี้โหรว นางมีสีหน้าเฉยชา ไม่ได้มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เพียงขมวดคิ้วเท่านั้น แต่ก็บินตรงไปหาชายหนุ่มผู้นั้นแล้ว
นัยน์ตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาขยับถอยไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหลงหู่ข้างกายร้องคำรามเสียงต่ำทีหนึ่ง ก่อนจะพุ่งไปหาชื่อหั่วโหวที่กำลังตรงเข้ามา
ส่วนชายชราที่เพิ่งลืมตาสามคน หนึ่งในนั้นเข้าไปขวางอวี้โหรว อีกคนเดินเข้าไปหาอวี้เฉินไห่ที่กำลังตื่นกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนอีกคน…วูบไหวพุ่งเข้าไปในม่านแสงของห้องซูหมิง
ผู้ฝึกฌานรอบๆ ต่างส่งเสียงเกรียวกราว งานประมูลวันนี้หยุดลงกลางคันอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้ การต่อสู้กันของตระกูลอวี้กับตระกูลไท่ฉือกลายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
พวกเขาถอยไปอย่างรวดเร็ว ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ถึงขั้นมีผู้ฝึกฌานไม่น้อยใกล้จะออกจากลานประมูลแล้ว แต่หลังจากถอยไปก็พบว่าทางเข้าออกลานประมูลถูกม่านแสงผนึกเอาไว้ ทำให้ออกไปไม่ได้
นอกจากนี้ยังมีคนเจ้าแผนการบางคนมองออกแต่แรก ลานประมูลเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทว่ากลับไม่มีคนตระกูลเลี่ยซานปรากฏตัวเลย แม้แต่เจ้าภาพงานประมูลเมื่อครู่ยังหายตัวไป ส่วนท่านซงชิงก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่แปลกยิ่งนัก รู้กันดีว่าหากเกิดการต่อสู้แบบนี้ขึ้นในลานประมูล ตระกูลเจ้าภาพงานประมูลจะต้องออกมาห้ามและเจรจาไกล่เกลี่ยทันที
ช่วงที่ผู้คนรอบๆ ต่างจิตใจสั่นสะท้าน ก็เกิดเสียงดังสนั่นลานประมูล ชายชราที่เพิ่งบุกเข้าไปในม่านแสงห้องซูหมิงม้วนกระเด็นออกมา ระหว่างที่กระอักโลหิต ร่างกายก็แหลกสลายไปด้วยความเร็วระดับสายตา เขามีสีหน้าหวาดกลัว สายตาจ้องร่างเงาหนึ่งที่เดินออกมาจากม่านแสงตาเขม็ง
เส้นผมยาวสีเทา อาภรณ์ยาวสีขาว สีหน้าเรียบนิ่ง มาพร้อมกับความน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก คนที่เดินออกมาจากม่านแสงก็คือ…ซูหมิง!
ข้างกายเขายังมีสุนัขใหญ่สองตัว หนึ่งสีดำอีกหนึ่งสีเหลือง สุนัขใหญ่สีเหลืองกำลังแยกเขี้ยวเห่า สุนัขใหญ่สีดำข้างๆ พอเห็นท่าทางสุนัขสีเหลืองแล้วก็เลียนแบบแยกเขี้ยวเห่าตาม ทำท่าทีว่าข้าดุร้าย ข้าแข็งแกร่งมาก
ซูหมิงเดินออกมาอย่างเนิบๆ การปรากฏตัวของเขาเป็นที่จับตามองของแทบทุกคนที่นี่ เขาไม่มองชายหนุ่ม ไม่มองคนอื่น แต่เงยหน้าขึ้นมองด้านบนของลานประมูลพลางยิ้มเล็กน้อย
รอยยิ้มของเขาปรากฏบนม่านแสงมายาต่อสายตาของคนตระกูลเลี่ยซานสิบกว่าคน พวกเขามองซูหมิง กระทั่งเกิดความรู้สึกว่าซูหมิงก็กำลังมองพวกเขาอยู่เช่นกัน
ผู้เฒ่าวายุมองซูหมิงในม่านแสงเงียบๆ เขาขมวดคิ้วขึ้นทีละน้อย นัยน์ตามีความลังเลวาบผ่าน
“ข้าอยากพบเลี่ยซานซิว” เสียงซูหมิงแว่วมาจากในม่านแสง ดังก้องอยู่ข้างหูคนตระกูลเลี่ยซาน