Skip to content

สู่วิถีอสุรา 889

ตอนที่ 889 อาจารย์ผู้ให้การสั่งสอน

เมื่อชายชราสิ้นใจไป ร่างกายเขาถูกมังกรยมโลกกลืนกิน จากนั้นมังกรก็กลับมาเป็นสุนัขตัวใหญ่สีเหลืองอีกครั้ง และยังแกว่งหางไม่หยุด ยักคิ้วหลิ่วตากับกระเรียนขนร่วงที่แปลงร่างเป็นสุนัขสีดำ ต่างฝ่ายต่างเหมือนกำลังลำพองใจ

“เป็นอย่างไรบ้าง แผนการของท่านกระเรียนผู้นี้ดีหรือไม่ หึๆ”

เห็นได้ชัดมากว่ามันอยู่กับกระเรียนขนร่วงจนเสียนิสัยไปแล้ว…

“นะ…นี่คือมังกรหรือ?”

“นั่นก็ไม่ใช่สุนัข มันเป็นนกยักษ์!”

“สัตว์สองตัวนี้ต่ำทรามเกินไปแล้ว นะ…นี่มัน…ที่แท้ก่อนหน้านี้พวกมันก็แกล้งทำเป็นอ่อนแอมาตลอด!”

“ต้องระวังสัตว์สองตัวนี้ไว้ โดยเฉพาะนกใหญ่ตัวนั้น มัน….มันช่างไร้ยางอายยิ่งนัก จะโหดร้ายเกินไปแล้ว ไม่อยากเชื่อว่ามันจะ…”

ผู้ฝึกฌานรอบๆ ที่มองการต่อสู้ล้วนเบิกตากว้างอ้าปากค้างกับการแปลงร่างของกระเรียนขนร่วงและมังกรยมโลก พวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์ตัวใดสกปรกต่ำทรามได้ถึงขนาดนี้มาก่อน!

ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาทันที จดจำรูปลักษณ์กระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกเอาไว้อย่างดี โดยเฉพาะการกระทำอันอุกอาจของกระเรียนขนร่วงเมื่อครู่ ยิ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัว และเกิดความรู้สึกแบบเดียวกับชายชราที่ตายไป

กระทั่งความหวาดกลัวต่อกระเรียนขนร่วงยังมากกว่าสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงจำนวนมากในความคิดพวกเขา ถึงอย่างไร…การโจมตีอันอาจหาญนั้น ไม่ว่าผู้ฝึกฌานชายคนใดก็รู้สึกขนหัวลุก จิตใจสั่นไหว

“นกใหญ่ตัวนั้น ข้า…ข้าเห็นเมื่อครู่มันเอาถุงเก็บวัตถุไป ทั้งยังตรวจสอบอีกด้วย ท่าทางเหมือนจะไม่พอใจมาก”

“สมควรตาย นกยักษ์แบบนี้ เห็นได้เลยว่าเจ้านายมันก็จะต้องเป็นคนแบบเดียวกันแน่ จะล่วงเกินคนผู้นี้ไม่ได้ ห้ามล่วงเกินเป็นอันขาด!”

ท่ามกลางเสียงดังเกรียวกราวของผู้ฝึกฌานรอบด้าน กระเรียนขนร่วงในร่างสุนัขสีดำกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างโหดเหี้ยมและไม่พอใจมาก นิสัยมันออกจะ…ใสซื่อบริสุทธิ์ เดิมทีการโจมตีอันอาจหาญเมื่อครู่นี้มันนึกขึ้นได้พอดี แต่พอเห็นคนรอบๆ มองมาด้วยความหวาดกลัว มันก็รู้สึกว่า….ใช้การโจมตีนี้บ่อยๆ ได้

นึกไปนึกมามันก็หัวเราะเฮอะๆ สีหน้า เสียงหัวเราะ และแววตาเช่นนั้น ทุกอย่างทำให้ผู้ฝึกฌานที่ถูกมันจ้องต่างขนหัวลุกอีกครั้ง

ซูหมิงไม่ได้สนใจความต่ำทรามของกระเรียนขนร่วงและมังกรยมโลก สีหน้าเฉยชา เขายังไม่คงมองชายหนุ่มที่หน้าซีดขาว แต่เดินไปทางชายชราสีหน้าเฉยเมยราวกับหุ่นเชิดอีกคนที่กำลังประมือกับอวี้โหรว

ชายชราสามคนในลักษณะนี้ตายไปสองคนแล้ว มีเพียงช่วงที่กำลังจะตายเท่านั้นพวกเขาถึงมีสีหน้าเป็นคนขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนเวลาอื่นๆ ล้วนเฉยชา

นี่คือหุ่นเชิด อีกทั้งยังเป็นหุ่นเชิดผู้ดูดวิญญาณที่ซูหมิงคุ้นเคย

ฝีก้าวเขาไม่เร็ว แต่ทุกก้าวจะทำให้ลานประมูลสั่นสะเทือน ขณะเดินบนอากาศ มวลอากาศเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน ทำให้สีหน้าเฉยชาของชายชราที่กำลังประมือกับอวี้โหรวเปลี่ยนไปเล็กน้อย หยุดประมือกับอวี้โหรวแล้วถอยไปอย่างไม่ลังเล

ซูหมิงแค่นเสียงเย็นชาทีหนึ่ง หากชายชราเป็นเจ้าปกครองโลกตอนปลายจริงๆ เช่นนั้นซูหมิงคงไม่มีทางสังหารเขาได้ด้วยหมัดเดียว

ทว่าชายชราคนนี้เป็นหุ่นเชิดเชมันผู้ดูดวิญญาณ ส่วนเขาเป็นเชมันผู้ดูดวิญญาณ จึงมีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติในการสังหารหุ่นเชิดแบบนี้

ร่างกายแกร่งกล้าของหุ่นเชิด สำหรับซูหมิงแล้วอ่อนแอจนรับกระบวนท่าเดียวไม่ไหว วิชาอภินิหารประหลาดเหล่านั้นส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้ดูดวิญญาณ บางวิชายังไม่อยู่ในสายตาเขา

ทุกอย่างของหุ่นเชิดถูกเขากำราบเอาไว้ แล้วจะต่อสู้กับเขาได้อย่างไร โดยเฉพาะการกดอัดเหนือวิญญาณ ยิ่งทำให้ผู้ฝึกฌานของอีกฝ่ายใช้พลังไม่ได้ทั้งหมด

ซูหมิงมองหุ่นเชิดตัวนั้นหนีไป สีหน้ายังคงดังเดิม แต่คนหนุ่มซึ่งอยู่ไม่ไกลและชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือที่กำลังประมือกับชื่อหั่วโหวกลับหน้าเปลี่ยนสี เห็นถึงความตื่นตกใจรางๆ

พวกเขาเข้าใจหุ่นเชิดสามคนนี้ รู้ว่าพวกเขาไม่กลัวความเจ็บปวด คลื่นอารมณ์ยิ่งน้อยจนสังเกตมิได้ หนำซ้ำยังไม่รู้จักกลัวสิ่งใด ทว่าตอนนี้เพียงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ หุ่นเชิดก็หนีไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เรื่องนี้ทำให้พวกเขาเกิดความเหลือเชื่อ

ซูหมิงเดินไปหาหุ่นเชิด จังหวะก้าวไม่เร็ว แต่ตัวเขาตอนนี้กลับมีกลิ่นอายพลังของผู้ดูดวิญญาณแฝงอยู่รางๆ โดยเฉพาะดวงตาลุ่มลึกดั่งน้ำวน อานุภาพกดดันรุนแรงพลันปะทะใส่ตัวหุ่นเชิด

จนกระทั่งยามนี้ งูน้อยจู๋จิ่วอินที่ซูหมิงให้อยู่กับร่างแยกเอ้อชางในแดนประหลาดห่างไกลออกไปพลันเงยหน้าขึ้น แลบลิ้นออกมา แสงหม่นในดวงตาขยับไหว มันเป็นสัตว์ที่เชื่อมต่อกับวิญญาณซูหมิง มันรู้สึกถึงคลื่นวิญญาณเขา และก็รู้สึกถึงหุ่นเชิดผู้ดูดวิญญาณที่เขากำลังเดินเข้าไปหา

มันเกิดการเชื่อมต่อกับวิญญาณซูหมิงทันที เป็นเส้นการเชื่อมต่อนี้ที่ทำให้ตอนซูหมิงเดินหน้าไป มวลอากาศด้านหลังบิดเบี้ยวและเกิดร่างเงาจู๋จิ่วอินขึ้นรางๆ

ช่วงที่ร่างเงานี้โผล่ขึ้นมาและพริบตาที่ซูหมิงเข้าประชิดตัวหุ่นเชิด ชายชราหุ่นเชิดตัวสั่นงันงก ก่อนจะหยุดหนี…ตัวสั่นคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าเขา ไม่กล้าขยับอีก

ตอนที่เขาคุกเข่าลง ชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือที่กำลังสู้กับชื่อหั่วโหวหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง แล้วจึงพ่นโลหิตออกมา กลายเป็นหมอกโลหิตระเบิดไปรอบๆ เข้าขวางอภินิหารของชื่อหั่วโหวไว้ จากนั้นเขาก็เร่งรีบถอยไป มาอยู่ข้างชายหนุ่มที่มีสีหน้าหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะคว้าตัวอีกฝ่ายพาถอยหนีอย่างรวดเร็ว จังหวะเดียวกันนั้นเขายังตะโกนเสียงดังไปทางตระกูลเลี่ยซานเป็นครั้งแรก

“ตระกูลเลี่ยซาน ที่นี่คือลานประมูลของพวกเจ้า พวกเจ้ายังไม่ลงมืออีกรึ หากนายน้อยเป็นอะไรที่นี่ขึ้นมา ตระกูลเลี่ยซานของพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องลงหลุมไปพร้อมกัน!”

ประโยคนี้ของชายชราพลันเรียกสติชายหนุ่มหน้าซีดขาวกลับมา ช่วงที่ถูกคว้าตัวพาถอยไป เขาก็ร้องตะโกนเสียงเล็กทันที

“ตระกูลเลี่ยซาน ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าลงมือสังหารคนผู้นี้!”

หลังจากสองคนนี้ถอยไป คำที่พวกเขาเอ่ยแว่วมา โดยรอบลานประมูลพลันเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง ก่อนปรากฏร่างคนขึ้นจำนวนมาก ร่างคนเหล่านี้ก็คือคนตระกูลเลี่ยซาน

กระทั่งอวิ๋นหลงหู่ คนตระกูลเลี่ยซานที่เป็นเจ้าภาพงานประมูล รวมถึงเลี่ยซานคังจิ่ว ก็ยังอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย พวกเขาต่างล้อมลานประมูลเอาไว้

การปรากฏตัวของพวกเขาทำให้ผู้ฝึกฌานที่นี่ถอนหายใจโล่งอก รู้ว่าตระกูลเลี่ยซานเข้ามาจัดการเรื่องนี้แล้ว ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นลานประมูลของตระกูลเลี่ยซาน พวกเขาย่อมไม่ยอมให้เกิดการสังหารกันที่นี่ และยิ่งไม่ยอมให้คนตระกูลไท่ฉือตายที่นี่อย่างแน่นอน

จะเห็นได้ว่านี่เป็นความคิดร่วมกันของผู้ฝึกฌานทั้งหมด

และก็อยู่ในความคิดชายหนุ่มกับผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือด้วย พวกเขาสองคนถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน ร่างขยับถอยไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะออกไปจากที่นี่ในชั่วเสี้ยวขณะ หากพวกเขาออกไปได้ ตระกูลไท่ฉือจะต้องมาแก้แค้นในทุกด้านแน่นอน

ชายหนุ่มถึงขั้นมีความคิดเหี้ยมโหดว่าหลังจากออกไปแล้ว เขาจะไปอ้อนวอนให้ผู้อาวุโสในตระกูลลงมือ หักกระดูกซูหมิงแต่ไม่ให้ถึงตาย และจะให้มองดูตนย่ำยีหญิงคนใช้กับตา กระทั่งเขาจะยิ้มเยาะพลางมองซูหมิงแวบหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดอีกความคิดหมกมุ่นในกาม เหมือนว่านอกจากจะย่ำยีหญิงรับใช้แล้ว ยังย่ำยีซูหมิงได้ด้วย

ระหว่างที่เกิดความคิดนี้ขึ้น ชายหนุ่มยิ้มลามก แต่หลายลมหายใจต่อมารอยยิ้มกลับแข็งค้าง เสียงครึกโครมทำลายรอยยิ้มเขา พริบตาที่เขากับผู้มาเยือนในตระกูลกำลังจะออกไป กลับถูกม่านแสงไร้รูปขวางเอาไว้และถูกดีดกลับมา

นี่คือม่านแสงคุ้มกันของตระกูลเลี่ยซาน เป็นเขตอาคมใหญ่ที่คุ้มกันทั้งลานประมูล ย่อมไม่มีทางทำลายได้ในเวลาอันสั้น ชายชราผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อและตื่นกลัว

“ตระกูลเลี่ยซาน นี่มันหมายความว่าอย่างไร…” ชายชราพยายามเอ่ยขึ้น ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี แต่เขาไม่เชื่อว่าตระกูลเลี่ยซานจะทำแบบนี้ ทว่าความจริงตรงหน้ากลับทำให้เขาเหลือจะเชื่อ ตอนนี้มองไป หลังจากคนตระกูลเลี่ยซานปรากฏตัวแล้วก็ไม่มีใครลงมือกับพวกซูหมิงเลย เอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับไปที่ใด

ชายชราพลันมองคนที่ตนรู้จักในลานประมูลตระกูลเลี่ยซานแวบหนึ่ง ทว่าตอนที่มองไปอีกฝ่ายกลับหลบสายตา ทำให้ในใจผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือเกิดเสียงเต้นดังตึกๆ ทันใด

ไม่มีใครตอบคำถามเขา แต่กลับมีเสียงหัวเราะแก่ชราดังมาจากด้านบนลานประมูล ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินออกมาจากมวลอากาศว่างเปล่า

ผู้เฒ่าคนนี้มีใบหน้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ไม่รู้อยู่มากี่หมื่นปีแล้ว ตอนที่เดินออกมารอบตัวยังมีสายลมลากผ่าน มีผลให้มวลอากาศแหลกสลายกลางสายลม ถึงขั้นเห็นรางๆ ว่าด้านหลังเขาตรงจุดที่มีสายลมเหมือนมีดวงตาพายุอยู่

ดวงตาพายุเป็นลักษณะกลม มองไป…เหมือนกับดวงตะวัน!

ทันทีที่เห็นชายชราคนนี้ ผู้มาเยือนตระกูลไท่ฉือมีสีหน้าหวาดกลัวโดยพลัน เขาโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาว ชายหนุ่มข้างๆ ตัวสั่น แม้แต่พูดยังพูดไม่ออก แรงกดดันที่ทำให้เขาแทบจะหายใจติดขัดกดทับลงมาทั้งลานประมูลพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้เฒ่าคนนั้น

“คารวะท่านผู้เฒ่าวายุ!” คนตระกูลเลี่ยซานทุกคนต่างคารวะผู้เฒ่าทันที

สิ้นเสียง ผู้ฝึกฌานหลายพันคนในลานประมูลต่างตัวสั่นภายใต้แรงกดดัน ก้มหน้าลงคารวะ ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ พวกเขาเคยได้ยินคำเรียกผู้เฒ่าวายุมาก่อน นั่นคือบุคคลในตำนานของตระกูลเลี่ยซาน

ชื่อหั่วโหวมีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง เขาขยับกายวูบไหวมาอยู่ข้างซูหมิง เขารู้สึกถึงแรงกดดันจากผู้เฒ่าวายุเช่นกัน ต่อให้เป็นเขาก็ยังรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการอยู่กลางดินเลน

“นายน้อย คนคนนี้…อย่างต่ำสุดคือระดับภัยพิบัติตะวัน!”

ยามนี้ผ้าคลุมหน้าของอวี้โหรวปลิวไสว นางตัวสั่น รับแรงกดดันจากผู้เฒ่าวายุไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวี้เฉินไห่ เขาทรุดลงคารวะลงไปแล้ว

แม้แต่สุนัขสีเหลืองตัวใหญ่ร่างแปลงมังกรยมโลกยังตัวสั่นไม่กล้าขยับ มีเพียง….สุนัขตัวใหญ่สีดำร่างแปลงกระเรียนขนร่วงที่ยังกระดิกหางอยู่ ทำท่าทางว่าข้าคือท่านกระเรียน เจ้าจะทำอะไรข้าได้

“เจ้ามีนามว่าอะไร” ทั้งลานประมูลเงียบกริบหลังผู้เฒ่าวายุปรากฏตัว ผู้เฒ่าวายุเผยรอยยิ้มบางพลางกล่าวเนิบๆ กับซูหมิง

รอยยิ้มของเขา เสียงเนิบช้า ทำให้คนตระกูลเลี่ยซานทั้งหมดที่รู้เรื่องราวเขาเกิดการคาดเดานับไม่ถ้วนทันที

“ผู้เยาว์ซูหมิง คารวะ…อาจารย์ผู้ให้การสั่งสอน” ซูหมิงมองผู้เฒ่าวายุ ผ่านไปพักหนึ่งก็เผยรอยยิ้มและประสานมือคารวะ

ผู้เฒ่าวายุดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดังด้วยความสำราญใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!