ตอนที่ 895 เผ่าหมานของเรา
“พวกเรารอมาตลอด รอคนเผ่าหมานมาถึงที่นี่ พวกเรา…รอเจ้ามาโดยตลอด ท่านเลี่ยซานถูกดวงจิตแห่งแดนมรณะหยินเรียกว่าบุตรแห่งมรณะหยิน เขาเชื่อว่าหลังจากเขาจะต้องมีบุตรแห่งมรณะหยินคนที่สอง คนที่สาม หรือมากกว่านี้อย่างแน่นอน”
“เขารอมาตลอด พวกเราก็รอเช่นกัน รอคนจากบ้านเกิดมาแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ดังนั้น…พวกเราจึงควบคุมดาวทมิฬเอาไว้ และยังสร้างการเปลี่ยนแปลงบนดาวทมิฬ นี่คือสัญญาณ เป็นสัญญาณให้เจ้า
พวกเรากำลังรอเจ้ามา”
“พวกเราต้องสร้างโลกของเผ่าหมานนอกแดนมรณะหยิน! ที่นี่เป็นของพวกเรา ทว่าพวกเราแก่ชราแล้ว ที่นี่…คือโลกที่เทพหมานรุ่นหนึ่งเลี่ยซานซิวสร้างไว้ให้เจ้า ทุกอย่างของที่นี่เตรียมไว้ให้เจ้า!” ผู้เฒ่าวายุเพ่งมองซูหมิง สีหน้ามีความจริงใจ ไม่ได้แสร้งทำแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกับที่เขาเอ่ยออกไป เมืองวารีดำในม่านแสงเกิดเสียงครึกโครมดังขึ้นอีกครั้ง มีเสียงคำรามดังสนั่นไม่หยุดราวกับฟ้าผ่า
นั่นคือเสียงที่เกิดจากการต่อสู้กันของจิ่วอิงสามหัวกับบรรพบุรุษระดับภัยพิบัติตะวันสามคนจากตระกูลไท่ฉือ อีกทั้งบนฟ้ายังมีเสียงเย็นชาแว่วมา สั่นสะเทือนอากาศจนเกิดเป็นเสียงขึ้น
ครั้นเสียงหึเย็นชาแว่วมา ทั้งท้องฟ้าพลันกลายเป็นสีเขียวแก่ ตรงกลางสีเขียวแก่มีภูเขายักษ์ลูกหนึ่งลอยลงมาจากบนฟ้าอย่างเนิบช้า
ยอดภูเขานี้มีขนาดหลายหมื่นจั้ง มองไปดูกว้างไกลไร้พรมแดน เมื่อลงมาก็ทำให้เมืองวารีดำสั่นสะเทือน ทำให้ผู้ฝึกฌานที่กำลังสู้กันทั้งหมดต่างพากันถอยไปทันที
หนำซ้ำยังทำให้จิ่วอิงกับบรรพบุรุษภัยพิบัติตะวันสามคนตัวสั่นสะท้าน ต่างฝ่ายต่ายถอยไปอย่างเร็วรี่
คล้ายกับว่าการปรากฏของภูเขานั้นก่อให้เกิดแรงกดดันมหาศาล ทำให้ทุกคนต้องหยุดภายใต้แรงกดดันนี้ ทุกอย่างที่กำลังเข่นฆ่ากันต้องเปลี่ยนเป็นก้มคารวะตามการมาเยือนของมัน
“คารวะบรรพบุรุษไท่ฉือ!”
“ผู้เยาว์คารวะบรรพบุรุษ!”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นดังมาจากคนในตระกูลไท่ฉือที่ไม่ได้หักหลังทั้งหมด ความตื่นเต้นในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหวังอย่างไม่มีสิ้นสุด รวมถึงความแน่วแน่ คล้ายกับไม่ว่าจะเป็นเคราะห์ภัยใด ขอเพียงบรรพบุรุษปรากฏตัว ทุกอย่างก็จะรับไว้ได้ด้วยคมมีดและถูกคลี่คลายทุกอย่างจะสลายหายไปเป็นหมอกควัน
หลังจากภูเขายักษ์ลงมา ซูหมิงก็เห็นจากในม่านแสงในแวบแรกว่า บนตัวภูเขายักษ์มีใบหน้ายักษ์อยู่ใบหน้าหนึ่ง นูนออกมาจากตัวภูเขา เห็นรางๆ ว่าเป็นชายชรา เป็นใบหน้าที่น่าเกรงขามและดูโกรธแค้นจนสามารถถล่มฟ้าได้
“รู้หรือไม่ว่าหากอยากจะเป็นตระกูลสูงสุดบนดาวทมิฬต้องมีเงื่อนไขข้อหนึ่งคืออะไร?” ผู้เฒ่าวายุมองม่านแสงพลางกล่าวเสียงเรียบ
“ผู้กุมชะตาเกิดดับ ตระกูลนี้จะต้องมีผู้กุมชะตาเกิดดับอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงเป็นตระกูลในจุดสูงสุดได้ ถึงสร้างความหวาดหวั่นให้กับขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ถึงจะมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับเผ่าประหลาดที่แข็งแกร่งบางกลุ่มในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต…และทำการค้าขายระหว่างทะเลดาราต้นกำเนิดจิตกับสี่มหาโลกแท้จริงอยู่บนดาวทมิฬได้” เสียงผู้เฒ่าวายุกึกก้องอยู่ข้างหูซูหมิง
ซูหมิงมองใบหน้ายักษ์บนภูเขาในม่านแสง ความรู้สึกของแรงกดดันที่คุ้นเคยทำให้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ความคุ้นเคยนี้ไม่ใช่ว่าเขาเคยเจอบรรพบุรุษตระกูลไท่ฉือมาก่อน แต่เป็นเพราะเขาเคยถูกคนที่มีขั้นพลังระดับเดียวกันล่าสังหาร
“พอแล้ว!” ขณะยอดเขาลดต่ำลงมา เสียงแก่ชราพลันดังก้องทั้งฟ้าดิน น้ำเสียงมาพร้อมกับความรู้สึกที่จริงแท้แน่นอน เหมือนกับเป็นเทพเจ้าของโลกนี้
“ราชาในเงามืดแห่งดาวทมิฬ ตระกูลไท่ฉือของข้ากับพวกเจ้าต่างไม่เคยรุกรานกันมาก่อน หยุดเท่านี้เถอะ…พวกเจ้าออกไปจากเมืองวารีดำ ส่วนคนในตระกูลที่หักหลังพวกเจ้าก็พาไปด้วย
นี่คือเส้นตายของข้าแล้ว พวกเจ้าอย่าบีบให้ข้าต้องสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ข้ารู้สึกได้ว่าบนดาวทมิฬนี้ พวกเจ้า…ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับกุมชะตาเกิดดับอยู่”
เสียงแก่ชราดังก้องไปรอบๆ มวลอากาศเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนตาม ซ้ำยังกระจายไปรอบๆ ก่อให้เกิดชั้นเมฆสีเขียวแก่ขึ้น ฟ้าดินเหมือนกลายเป็นมหาสมุทร คลื่นลูกใหญ่สาดเข้ามาอย่างรุนแรง
“บางครั้งพวกเราก็ควรให้ความเคารพแก่ผู้แข็งแกร่งบางคนที่คู่ควร อย่างเช่นบอกเขาว่าเขาจะพ่ายแพ้อย่างไร” ผู้เฒ่าวายุมองซูหมิงพลางยิ้มและเอ่ยขึ้น จากนั้นเดินหน้าหนึ่งก้าวหายเข้าไปในม่านแสง
เขาไม่ได้ให้ซูหมิงตามไปด้วย ถึงอย่างไรก็ใช่ว่าทุกคนจะมีความกล้าเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับกุมชะตาเกิดดับ ซูหมิงมองผู้เฒ่าวายุหายไป เขายิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินหนึ่งก้าวและหายไปในม่านแสง
บนฟ้าเมืองวารีดำ ร่างผู้เฒ่าวายุเดินออกมาจากมวลอากาศ ตอนที่ยืนอยู่กลางฟ้าดิน ใบหน้ายักษ์บนภูเขาพลันมองมาแวบหนึ่ง
เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก็มีพลังสั่นสะเทือนฟ้าดินคล้ายกับแรงกดดันมหาศาลกดทับบนตัวผู้เฒ่าวายุ ตอนนี้เอง ซูหมิงมาปรากฏตัวอยู่ข้างเขา
การปรากฏตัวของเขาเหนี่ยวนำให้แรงกดดันของบรรพบุรุษไท่ฉือกดทับตามลงมาทันที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูหมิงเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้ เขายืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาขยับประกาย ไม่ได้ถอยแม้แต่น้อย
“เจ้ากำลังกลัว” ผู้เฒ่าวายุกล่าวราบเรียบด้วยสีหน้าปกติภายใต้แรงกดดันของบรรพบุรุษไท่ฉือ เขาไม่ได้พูดกับซูหมิง แต่พูดกับ…บรรพบุรุษไท่ฉือ
“เจ้ากำลังกลัวราชาในเงามืดในตำนานบนดาวทมิฬ กลัวศักยภาพแท้จริงของลัทธิเต๋าหมึกดำ…เจ้ากำลังกลัวว่าเหตุใดเจ้าไม่รู้สึกถึงคนระดับพลังเดียวกับเจ้า แต่พวกเรากลับกล้า…ล่วงเกินตระกูลไท่ฉือ กระทั่งทำสงครามที่จะล้างบางกันไปข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันตอนข้าปรากฏตัว เจ้าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเหตุใด เห็นๆ อยู่ว่าข้ามีขั้นพลังด้อยกว่าเจ้า แต่กลับกล้าอยู่ต่อหน้าเจ้า และเจ้าก็กำลังลังเลอยู่เช่นกันว่าเหตุใดข้าถึงกล้าพูดกับเจ้าแบบนี้” เสียงผู้เฒ่าวายุดังก้องกังวาน ใบหน้าบนภูเขายักษ์หรี่ตาลงเล็กน้อย
“ซูหมิง” ผู้เฒ่าวายุหันหน้าไปมองซูหมิง
ซูหมิงมองไป
“ระดับกุมชะตาเกิดดับคือจุดสูงสุดในสายตาของผู้คน เป็นอำนาจสวรรค์ที่ไม่อาจต่อต้าน เป็นขีดสูงสุดของการฝึกเต๋า เพียงแต่คนที่ฝึกบรรลุถึงระดับนี้แล้ว พลังในโลกนี้ที่จะสังหารเขาได้มีน้อยอย่างยิ่ง
กระทั่งพิษที่น่ากลัวบางชนิดยังไม่อยู่ในสายตาผู้กุมชะตาเกิดดับด้วยซ้ำ ถึงขั้นกล่าวได้ว่ายาพิษที่สังหารผู้กุมชะตาเกิดดับได้ในโลกนี้อาจจะมีอยู่ในสมัยโบราณ แต่ตอนนี้หาไมได้แล้ว
เว้นเสียแต่ เจ้าจะวางอุบายต่อคนนี้มาหลายหมื่นปี กลางหินวิญญาณที่เขาฝึกฝนทุกวัน ในปราณวิญญาณที่สูบกินทุกวัน ในมวลอากาศที่สัมผัสทุกวัน กระทั่งอาภรณ์ที่ต่างกัน ไปจนถึงข้าวของทุกอย่างที่เขาสัมผัสตลอดชีวิตหมื่นปี ทุกอย่างจะมียาพิษอยู่ ถ้าอย่างนั้น…จากการสัมผัสมาหลายหมื่นปี พิษนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเขาแล้ว มีแต่แบบนี้เท่านั้ ถึงจะสังหารผู้กุมชะตาเกิดดับคนหนึ่งได้!”
ผู้เฒ่าวายุหัวเราะเสียงดังขึ้น
“เราควรจะวางยาพิษแบบนี้ตอนที่เขายังไม่บรรลุถึงระดับกุมชะตาเกิดดับ พอขั้นพลังเขาสูงขึ้น กาลเวลาผ่านไปแล้ว มันก็จะสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม” ซูหมิงเอ่ยราบเรียบ
นัยน์ตาผู้เฒ่าวายุฉายแววชื่นชมทันที เขามองซูหมิงแล้วพยักหน้า
“ไม่ผิด”
“ตอนนั้นตระกูลไท่ฉือถูกพวกเราตระกูลเลี่ยซานครอบงำอยู่ในเงามืด และกลายเป็นตระกูลในจุดสูงสุด บรรพบุรุษไท่ฉือซาของพวกเจ้าในตอนนั้นหายตัวไปนานมากแล้ว ตราชีวิตของเขาก็แตกไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน พวกเจ้าปิดบังเรื่องนี้เอาไว้อย่างเต็มที่ ทว่าการตายของเขาเป็นแผนการของตระกูลเลี่ยซาน ดังนั้นข้าเลยรู้
ไท่ฉือซาน เจ้ามีสติปัญญาดีมาก แต่ตั้งแต่เจ้าเกิดมา ทุกอย่างที่เจ้าสัมผัสล้วนถูกจัดการโดยตระกูลเลี่ยซาน ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีพิษอยู่เลย พวกเรารู้เบื้องลึกของตระกูลไท่ฉือ รู้ว่าพวกเจ้ามีการสืบทอดวิถีเชมันอยู่ ในสายเลือดมีการตื่นขึ้นอยู่ พวกเจ้าจะให้มีผู้กุมชะตาเกิดดับหนึ่งคนตลอด ฉะนั้นการตายของไท่ฉือซาจึงหมายความว่าตระกูล ไท่ฉือของพวกเจ้าจะปรากฏผู้กุมชะตาเกิดดับอีกคน
ผู้มีคุณสมบัติได้รับสืบทอดในรุ่นของเจ้าล้วนตายไปทีละคน เหลือเจ้าเพียงคนเดียว จนกระทั่งเจ้าได้รับการสืบทอดเป็นผู้กุมชะตาเกิดดับ ทุกอย่างที่เจ้าสัมผัสล้วนเป็นพิษ
รอยแยกมิติที่เจ้าพบในตอนนั้นเป็นเพราะพวกเราให้เจ้าพบ สีโลกฝ่ามือของเจ้าเป็นสีเขียวแก่ เจ้าไม่สงสัยเลยรึว่าสีนี้…มาพร้อมกับความอึดอัด และยังมาพร้อมกับความตายด้วย”
“เจ้ารู้ความจริงแล้ว ดังนั้นเมื่อหมื่นปีก่อน เจ้าจึงเริ่มหลอมรวมกับภูเขาโบราณไท่ฉือ เจ้าอยากใช้ภูเขาเป็นร่างกายและขับไล่พิษที่หลอมรวมอยู่ในวิญญาณเจ้าออกไป แต่ว่า…ภูเขานี้ ท่านเลี่ยซานจงใจให้เจ้าพบในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต” ผู้เฒ่าวายุกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าก็ดูน่ากลัว สายตามองภูเขายักษ์อย่างเย็นชา
ซูหมิงอยู่ข้างๆ จิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาพลันอยากรู้จักตระกูลเลี่ยซานอย่างยิ่ง คนเดียวที่วางอุบายต่อผู้กุมชะตาเกิดดับ คนเดียวที่ควบคุมดาวทมิฬ และคนเดียวที่มีผลต่อความเจริญและตกต่ำของตระกูลสูงสุด
คนผู้นี้มีนามว่าเลี่ยซานซิว
“พิษนี้มีชื่อว่าอะไร” ผ่านไปพักใหญ่ ใบหน้าใหญ่บนภูเขาจึงกล่าวเนิบช้า เขาไม่ได้โต้แย้งคำพูดผู้เฒ่าวายุ แม้แต่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“เมล็ดพันธุ์หมานหมายเลขสี่ มันคือชื่อพิษที่ท่านเลี่ยซานตั้งขึ้น และก็…เป็นชื่อใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อเจ้า”
“เลี่ยซานซิว…” ใบหน้าบนภูเขายักษ์ค่อยๆ หลับตาลง ปกปิดความขมขื่นและแข็งกระด้างในแววตา เหตุที่เขาเพิ่งปรากฏตัวตอนนี้และไม่ได้มาหยุดการล่มสลายของตระกูลแต่แรก นั่นเป็นเพราะเขารู้ว่าเขา…ไม่ใช่ตัวเขาเองอีกแล้ว
เขายังรู้อีกว่าต่อให้ตนเลือกเดินสู่ความตาย เช่นนั้นผู้สืบทอดอีกคนที่จะปรากฏตัวในอนาคตของตระกูลไท่ฉือก็ต้องรับชะตากรรมแบบเดียวกับตนด้วย
“ให้คนในตระกูลของเรา…ออกไป” ผ่านไปพักใหญ่ บรรพบุรุษไท่ฉือลืมตาขึ้น ความขมขื่นในแววตาหายไป ความแข็งกระด้างไร้แววเข้ามาแทนที่ลูกตาทั้งหมด
“ได้ บนดาวทมิฬในอนาคตจะปรากฏตระกูลระดับกลางอีกหนึ่งตระกูล ชื่อของมันคือไท่ฉือ” ผู้เฒ่าวายุยิ้มน้อยๆ พลางพยักหน้า
“คนลัทธิเต๋าหมึกดำในตระกูลไท่ฉือให้เข้าตระกูลอวี้ จากนี้ไปเมืองวารีดำเป็นของตระกูลอวี้แล้ว นี่คือรางวัลตอบแทนที่พวกเจ้าทำเพื่อเทพหมานของเผ่าเรา”
ผู้เฒ่าวายุกล่าวจบก็หันหน้าไปมองซูหมิง
“เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าอยากพบเลี่ยซานซิวไม่ใช่รึ ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบเขา จะพาเจ้าไปดูเผ่าหมานของเราด้วย”