ตอนที่ 902 การเปลี่ยนแปลง
ซูหมิงไม่ได้เอ่ยคำพูดนี้ แต่ตอนที่ประตูเปิดออกอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มชุดคลุมขาวที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะเอ่ยขึ้นด้วยความซับซ้อน
ชายหนุ่มมีหน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา คิ้วกระบี่ดวงตาดารา มีความรู้สึกหยิ่งทะนงที่แทบจะมาจากสันดานแผ่มาจากร่างกาย มีท่าทีทะนงองอาจในความโดดเดี่ยวอย่างตอนที่ซูหมิงเห็นเยี่ยวั่งเป็นครั้งแรก เขาในตอนนี้….ก็ยังเป็นเช่นเดิม
ประหนึ่งกระบี่คมจะพุ่งออกจากฝัก อยู่ในตำแหน่งสมดุลระหว่างความสามารถที่เปิดอย่างโจ่งแจ้งกับเก็บไว้ภายใน เอกลักษณ์แบบนี้มากพอจะให้ผู้ฝึกฌานทุกคนที่พบเยี่ยวั่งต้องอดที่จะให้ความสนใจและเพ่งมองไปมิได้
นี่ก็คือเยี่ยวั่ง โอรสสวรรค์ที่มีพรสวรรค์สูงสุดในรอบหลายหมื่นปีของเผ่าเซียน และยังเป็นที่สนใจของสำนักดาราสัจธรรม กระทั่งผู้อาวุโสในสำนักยังรับเป็นศิษย์สายตรงด้วยตัวเอง
เขาคือความภูมิใจของเผ่าเซียน เหมือนกับคนของเขา ชีวิตนี้อยู่ท่ามกลางความหยิ่งทะนงและโดดเดี่ยว ที่เขาหยิ่งทะนงก็เพราะความโดดเดี่ยว ที่เขาโดดเดี่ยวก็เพราะความรุ่งโรจน์จากตัวเขามันสว่างมากเกินไป ข้างกายไม่มีใครเทียบกับเขาได้
ในใจเยี่ยวั่ง จากเรื่องราวที่ประสบมาทั้งหมดในชีวิต มีเพียงคนเดียวที่เขาจดจำ นั่นคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เขาเจอบนแผ่นดินหมานหลังจากเข้าร่วมแผนการนั้น
นั่นเป็นครั้งแรกที่เยี่ยวั่งเสมอ กระทั่งกล่าวได้ว่าครั้งนั้นเขาแพ้ ด้วยความหยิ่งทะนงของเขา ในชีวิตนี้นอกจากล้มเหลวแล้วก็ได้แต่ชัยชนะ ไม่มีการเสมอกัน
จนกระทั่งเขาได้มาเจอกับซูหมิงอีกครั้งในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต แต่ว่า…เขาไม่ได้บอกข้อมูลใดๆ ของซูหมิงกับคนอื่น นี่คือความลับในก้นบึ้งหัวใจ กระทั่งหลังซูหมิงถูกบีบให้เข้าไปในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา เขาก็เคยไปที่แดนประหลาดวงแหวนบูรพาแล้วมองเงียบๆ อยู่นานมาก
ระหว่างเขากับซูหมิงไม่มีความแค้นต่อกัน แต่ในใจเขากลับมีความยึดมั่นอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเพราะความเย่อหยิ่งของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากจะสังหารอีกฝ่ายด้วยมือตัวเอง อยากจะลบการสู้เสมอระหว่างคนรุ่นเดียวกันเพียงครั้งเดียวในชีวิตตอนนั้นไป
และความยึดมั่นนี้ ยิ่งเป็นเพราะเขาโดดเดี่ยว ในชีวิตอันจำเจและอ้างว้าง เขาคิดว่ามีเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติเป็นสหายของตน เพียงแต่ว่าเขาเข้าใจคำว่าสหายอยู่ไม่มากนัก
“ไม่ได้เจอกันนาน” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เดินเข้าไปในห้อง มาอยู่ตรงข้ามกับเยี่ยวั่งแล้วนั่งลง ระหว่างสองคนมีโต๊ะขวางอยู่ บนโต๊ะมีสุรา เยี่ยวั่งดื่มมันอย่างโดดเดี่ยวตอนอยู่คนเดียว
ซูหมิงมองเยี่ยวั่ง คนซึ่งเป็นที่จับตามองของทุกคนในความทรงจำผู้นี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เหมือนว่าจะชินกับการถูกคนจับจ้องแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นขั้นพลังหรือคุณสมบัติ หรือใบหน้า เขาเหมือนกับเป็นที่รักของสวรรค์ จุดนี้คล้ายกับเต้าคงยิ่งนัก เพียงต่างกับเต้าคงตรงที่คนหนึ่งเย็นชา อีกคนหนึ่งมืดทะมึน
ซูหมิงหยิบเหยือกสุราขึ้นแล้วรินสุราให้ตัวเองกับเยี่ยวั่งจนเต็ม จากนั้นก็หยิบแก้วสุราขึ้นมาอย่างเบามือ สายตามองเยี่ยวั่ง
เยี่ยวั่งเงียบ ความซับซ้อนจากตัวเขายังไม่หายไป เขามองซูหมิงอยู่นานก่อนหยิบแก้วสุราขึ้นมา
“สุราแก้วนี้เพื่อการเจอกันครั้งแรกบนแผ่นดินหมานระหว่างข้ากับเจ้า” ซูหมิงดื่มอึกเดียวหมด
เยี่ยวั่งดื่มสุราอย่างงียบๆ หลังวางไว้ข้างๆ แล้ว ความซับซ้อนในแววตาเข้มข้นกว่าเดิม มองซูหมิงอยู่นานก็ยังไม่กล่าวอะไร
ซูหมิงก็เงียบเช่นกัน สองคนนั่งอยู่ในห้องเงียบๆ โดยรอบเงียบสงบ ด้านนอกไม่มีเสียงใดแว่วเข้ามา ราวกับว่าพื้นที่นี้ถูกลบไปจากเมืองโลกดารา
จนกระทั่งผ่านไปสองก้านธูป เยี่ยวั่งถอนหายใจเบา
“เจ้าเปลี่ยนไปมาก ครั้งแรกที่เจอกันเจ้ายังไม่รู้เหตุรู้ผล ครั้งที่สองที่เจอกันก็อยู่แดนรกร้างต้นกำเนิดจิตแล้ว”
“เจ้าเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อยเช่นกัน ตอนนี้เป็นเจ้าปกครองโลกตอนกลางแล้ว อีกอย่างดูจากท่าทางแล้ว ห่างจากเจ้าปกครองโลกตอนกลางสมบูรณ์อีกพันปี” เริ่มมีความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชนกระจายมาจากสีหน้าซูหมิงโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่สังเกตเห็น
ขั้นพลังเยี่ยวั่งคือเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ขั้นพลังแบบนี้กล่าวได้ว่าเผยความสามารถของเขาออกมาอย่างยิ่ง เยี่ยวั่งฝึกฝนมาไม่นาน อายุก็ยังไม่มาก แต่ในช่วงเวลาแบบนี้กลับฝึกฝนถึงเจ้าปกครองโลกตอนกลางด้วยพลังของตัวเอง จุดนี้…..ซูหมิงเทียบไม่ได้
หากไม่มีร่างแยกเอ้อชาง หากไม่มีร่างแยกกลืนนภา กระทั่งหากซูหมิงไม่ใช่ชาวเผ่ายมโลก เช่นนั้นเขาในตอนนี้ แม้แต่คุณสมบัติในการนั่งต่อหน้าเยี่ยวั่งยังไม่มี
ถึงอย่างไรขั้นพลังจริงๆ ของซูหมิงก็เป็นเพียงจุดสูงสุดระดับฟ้าเท่านั้น
ถึงเขาจะขยันกว่าเยี่ยวั่งมาก ถึงจะมีเส้นทางคดเคี้ยวมากกว่าเยี่ยวั่งหลายเท่า ถึงราคาที่เขาต้องจ่ายจะมากกว่าเยี่ยวั่งที่ทุกอย่างราบรื่น แต่ความสามารถคำนี้ บางครั้งเหงื่อที่มากกว่าก็ไม่อาจลบมัน
“ไม่น้อยอย่างนั้นรึ…..เทียบกับเจ้าแล้ว ความเร็วในการฝึกฝนของข้าช้ามากเกินไป” เยี่ยวั่งหยิบเหยือกสุราขึ้นมาเทให้ซูหมิงกับตัวเอง แล้วดื่มหมดในอึกเดียวอีกครั้ง
“ข้าคิดมาตลอดว่าโลกนี้ยุติธรรม ผู้อ่อนแอก็ควรเป็นผู้อ่อนแอ ไม่ว่าจะฝึกอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นผู้แข็งแกร่ง และผู้แข็งแกร่งก็ควรเป็นผู้แข็งแกร่ง เดินอยู่บนจุดสูงสุดตลอด นี่คือโครงสร้างของโลกที่ข้าเข้าใจ…ความสามารถของเจ้า….ธรรมดามาก แต่เจ้ากลับเดินอยู่หน้าข้า นี่เรียกว่านกโง่บินก่อน[1]หรือไม่?” เยี่ยวั่งดื่มสุราอีกแก้วหนึ่ง ประโยคสุดท้าย เผยนิสัยหยิ่งทะนงและไม่คบหาคนอื่นออกมาอย่างแจ่มชัด กระทั่งในคำพูดยังมีการยั่วยุเล็กน้อย
ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย หยิบแก้วสุราขึ้นมาดื่ม แววตาลุ่มลึก
“นกโง่บินก่อนที่ว่า นั่นเป็นคำโกหกและเป็นเรื่องตลกเรื่องใหญ่ เพราะคนธรรมดาในโลกนี้มีมากเกินไป พวกเรา…..ต้องการการพูดเอาอกเอาใจ ต้องการแรงบันดาลใจ นั่นคือความงดงาม เป็นความงดงามที่คนไม่อาจถอนตัวขึ้นมา ข้าเป็นนกโง่ตัวหนึ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คนอย่างเจ้า นี่คือความอยุติธรรม” ซูหมิงวางแก้วสุราแล้วกล่าวเรียบๆ
เยี่ยวั่งเงียบ นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด ผ่านไปพักใหญ่ก็มองไปนอกหน้าต่าง
“เจ้าเดินอยู่หน้าข้าจริงๆ นี่ไม่เกี่ยวกับว่ายุติธรรมหรือไม่ แต่ข้าอยากรู้ว่าความยุติธรรมในโลกนี้ที่เจ้าว่ามีทฤษฎีอย่างไร” เยี่ยวั่งส่ายศีรษะ สายตามองใบหน้า ซูหมิงอีกครั้ง ดวงตาวาววับดุจดั่งมีราศี ความคิดเขาลุ่มลึกมาก ในเมื่อขั้นพลังสู้ซูหมิงไม่ได้ เช่นนั้นอาจจะเปิดช่องโหว่ในจิตใจอีกฝ่ายได้ ความผิดพลาดจากการตระหนักรู้และเข้าใจมักจะทำให้ขั้นพลังหยุดนิ่งในบางขอบเขตพลัง
แต่ช่องโหว่นี้ต้องหารอยรั่วในจิตวิญญาณของอีกฝ่ายจากคำพูด เมื่อนั้นรอยรั่วนี้จะขยายใหญ่ขึ้น นี่คือวิชาอภินิหารชนิดหนึ่งของสำนักดาราสัจธรรม ซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อน
“เคยมีคนหนึ่งถามคำถามนี้กับข้า เขาถามข้าว่าเหตุใดคนอื่นไม่ยุติธรรมกับเขา” ซูหมิงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง สายตามองแก้วสุราเปล่าพลางเอ่ยเรียบนิ่ง
“เดิมทีโลกนี้ไม่มีความยุติธรรม คนที่คิดเพ้อเจ้อแสวงหาความยุติธรรม สุดท้ายแล้วมีจุดจบน่าอนาถ”
“อ้อ? เช่นนั้นเหตุใดถึงยังเฝ้าปรารถนาต่อความงดงามอยู่?” เยี่ยวั่งตาเป็นประกายวาว คำพูดเหล่านี้ของซูหมิงทำให้ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดก็รู้สึกว่ามีอีกหนึ่งความหมายลึกซึ้ง
“มันต้องมีคำโกหกของความงดงามอยู่แล้ว เพราะบางทีถึงผู้คนจะแสวงหาไป ชั่วชีวิตก็ยังหาไม่พบ ทว่า…..นั่นก็คือการแสวงหา ขอเพียงหาต่อไป มันก็จะมีเสี้ยวความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนจากความเสื่อมโทรมให้กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์
เพราะขอแค่แสวงหาต่อไป มันก็จะมีโอกาสพบจุดที่ตนแกร่งกว่าคนอื่น ถึงข้าจะมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนไม่ดี แต่บางทีในด้านการจัดการอะไรต่างๆ ข้าก็อยู่เหนือกว่าคนอื่น ต่อให้ด้านการจัดการอะไรต่างๆ ก็ยังสู้ไม่ได้อีก บางทีในด้านความคิดสร้างสรรค์ ข้าก็มีจุดที่ถนัดอยู่เหมือนกัน
มักจะมีจุดๆ หนึ่งที่เหมาะสมกับข้า มักจะมีจุดที่ชำนาญ เป็นจุดที่ข้าเหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อย มองจากจุดนี้ โลกนี้ก็มีความยุติธรรมเหมือนกัน” ซูหมิงมองแก้วสุราพลางนึกถึงฐานะเผ่ายมโลกของตน นึกถึงพรสวรรค์ที่ตนสามารถยึดวิญญาณสร้างร่างแยกได้
เขาคือนกโง่ แต่หากไม่แสวงหาความงดงามและยอมรับสภาพปัจจุบัน เขาก็คงหาจุดที่เขาชำนาญบนเส้นทางแสวงหาไม่พบ
“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่” เยี่ยวั่งเงียบไป ผ่านไปพักหนึ่งก็เงยหน้ามองซูหมิง จากคำพูดนี้ เขาหารอยรั่วจากจิตวิญญาณอีกฝ่ายไม่พบ แต่กลับมีความรู้สึกว่าตนถูกดูดเข้าไปในความคิดอีกฝ่าย
“ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แผนการต่อข้าที่เจ้าเข้าร่วมด้วยในตอนนั้นคืออะไร?” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวเรียบนิ่ง
“เจ้าคงไม่อยากรู้” เยี่ยวั่งเอ่ยเสียงเบา
“มันเป็นคำตอบของข้า” ซูหมิงยิ้ม
นัยน์ตาเยี่ยวั่งเป็นสมาธิ มองซูหมิง แววตาเริ่มฉายแววครุ่นคิด
“ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง นี่เป็นสิ่งที่ข้าเห็นจากในความทรงจำของคนหนึ่ง บนแผ่นดินใหญ่ของโลกมนุษย์ มีเศรษฐีคนหนึ่งจะสร้างบ้าน เขาเลยไปหาช่างไม้
เศรษฐีดูถูกช่างไม้ เพราะข้ารับใช้เขามีนับไม่ถ้วน สามารถตัดสินความเป็นตายของช่างไม้ได้ตามอำเภอใจ มองว่าเขามีฐานะต่ำต้อย แต่ช่างไม้ซื่อตรง เขาชินกับการถูกมองด้วยสายตาดูถูกและคำพูดแล้ว จึงช่วยเศรษฐีสร้างบ้านจนเสร็จ เพียงทว่าตอนเสร็จงาน เขาได้เก็บตรงขอบเครื่องไม้ในบ้านเอาไว้ตามความรู้ที่มี บนพื้นยังสร้างเป็นธรณีประตูเอาไว้ไม่น้อย ดูแล้วตระการตามาก
ฮวงจุ้ยก็ดี อันตรายที่แฝงอยู่ก็ดี ช่างไม้ไม่ได้คิดจะเอาค่าแรงเลย หลังจากเขาไปแล้วสิบปี มีอยู่ครั้งหนึ่งเศรษฐีคนนั้นล้มลงชนกับขอบเครื่องไม้สิ้นชีพไป” ซูหมิงวางแก้วสุราที่เล่นอยู่ในมือ แล้วยืนขึ้น
“เรื่องนี้ รวมถึงคำพูดของข้าก่อนหน้านี้ หากเจ้าเข้าใจมันจะช่วยเจ้าเรื่องหนึ่ง หากไม่เข้าใจ แซ่ซูขอตัว” ซูหมิงว่าพลางหมุนตัวเดินไปทางประตูห้อง
เยี่ยวั่งนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นคำพูดซูหมิง วินาทีที่ซูหมิงเดินออกจากห้องก้าวหนึ่ง เขาพลันเงยหน้าขึ้น
“ที่เจ้าจะบอกข้าคืออะไรคือความแข็งแกร่งอย่างนั้นรึ? โอรสสวรรค์หรือความสามารถไม่ใช่ความแข็งแกร่ง บางครั้งในบางคน พวกเขาก็มีกลอุบายที่แกร่งจนสังหารคนได้อย่างนั้นหรือ?”
“กลับเผ่าเซียนไปแล้ว เจ้าไปแดนมรณะหยินสักครั้ง ช่วยดูแลศิษย์พี่เหล่านั้นของข้าด้วย” ซูหมิงไม่หันกลับไป แต่เดินออกจากห้องลับไปในสียามค่ำคืน
เขาเดินอยู่กลางธารดาราอันเงียบสงบ เมื่อครู่นี้ตอนอยู่ในห้องเยี่ยวั่ง เขากำจัดความคิดสุดท้ายที่จะยึดวิญญาณเยี่ยวั่งไปแล้ว คนแบบนี้ไม่ควรจะถูกยึดวิญญาณและสิ้นชีพไป
เขามีชีวิตอยู่จะทำให้จักรวาลนี้มีสีสันมากกว่าเดิมเล็กน้อย
เขามีชีวิตอยู่ เต๋าที่ซูหมิงปลูกลงในใจเขาจากคำพูดจะค่อยๆ เติบโตขึ้น จนกระทั่งเปลี่ยนชีวิตของเยี่ยวั่ง
“อะไรคือความแข็งแกร่ง…หาจุดที่ตนถนัดให้เจอ ถือมันและยืนหยัดไปนิจนิรันดร์ ไม่ต้องสนใจว่าจะมีใครเหนือกว่าเราในด้านอื่น เช่นนั้นสักวันหนึ่ง…เราจะยืนอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแต่คนละดินแดนกัน นี่ต่างหากคือความหมายแฝงจริงๆ ของคำว่านกโง่บินก่อน เยี่ยวั่ง ทำแบบนี้ต่อไป เจ้าจะไม่ใช่โอรสสวรรค์อีก แต่จะเป็นนกโง่เหมือนกับข้า” ซูหมิงเดินไปอย่างช้าๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่านยาก เขาเดินผ่านธารดาราหลายสาย ผ่านร่างเงาคนที่ซ่อนอยู่ในเงามืดและคารวะเขาอย่างนอบน้อม จนเดินออกจาก….เมืองโลกดารา
ช่วงที่เดินออกไป เขาหันไปมองความว่างเปล่าแวบหนึ่ง
“ข้าไม่ชอบถูกใครเพ่งมองแบบนี้ หวังว่าระหว่างเราจะไม่มีครั้งต่อไปอีก”
[1] นกโง่บินก่อน สื่อความถึง คนที่มีความสามารถด้อยกว่ามักลงมือทำก่อนผู้อื่น เพราะกลัวจะล้าหลัง