Skip to content

สู่วิถีอสุรา 909

ตอนที่ 909 เพียงเก้าร้อยเก้าสิบเก้า….

หลังจากใช้ฐานะของเต้าคงออกจากดาวทมิฬแล้ว ก็กลับไปยังขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง แล้วกลับสู่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม หรือไม่ก็…..ยังไม่ต้องรีบร้อนจากไป แต่ไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิตสักครั้ง นี่คือทางเลือก

ทว่าทางเลือกนี้ ซูหมิงเลือกอย่างหลัง

ถึงเขาอยากจะกลับโลกแท้จริงดาราสัจธรรมในทันที แต่ว่า…..อันดับแรกคือร่างแยกเอ้อชางยังต้องการพลังต้นกำเนิดจิตจำนวนมากถึงจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะไปกินวิญญาณเอ้อชางที่เหลือ และสถานที่ที่มีต้นกำเนิดจิตที่ดีที่สุดก็ย่อมต้องเป็นทะเลดาราต้นกำเนิดจิตที่ลึกลับยากจะคาดเดา

ถึงอย่างไรที่นั่นก็เป็นแดนหลับใหลของเทพนับไม่ถ้วน สถานที่แบบนั้นมีต้นกำเนิดจิตที่เขาต้องการ

นอกจากนี้แล้ว เขายังรับรู้ถึงการขอความช่วยเหลือจากเลี่ยซานซิว ซูหมิงทำเป็นเมินเฉยมิได้…..เขาจึงเลือกตามหาร่องรอยของเลี่ยซานซิว ทำอย่างสุดความสามารถเพื่อหาเบาะแส

หากสุดท้ายทำไม่ได้จริงๆ ต่อให้จากไป เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจ

เพียงแต่ว่าการไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิตครั้งนี้ เขาคิดว่าจะไม่ใช้ร่างแยกกลืนนภาไป แต่ใช่ร่างแยกขั้นพลังจากเต้าคง

นักรบมรณะสามพันคน ชายชราเจ้าปกครองโลกตอนกลายเก้าคน และยังมีหญิงสาวที่มีความเร็วน่าทึ่ง รวมถึงผู้แข็งแกร่งระดับภัยพิบัติจันทราจากสำนักหงส์ที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ประกอบกับเรือรบฟ้ากระจ่างดาวสิบกว่าลำ ขุมพลังนี้แกร่งกว่าร่างแยกกลืนนภามากนัก ทำให้ตัวเขามีพลังในการปกป้องตัวเองตอนอยู่ในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

มิหนำซ้ำพลังจากตัวซูหมิงเองก็มากพอจะให้เขาเข้าไปสำรวจพื้นที่ที่ปกติจะมีน้อยคนนักเข้าไปได้ในบางแห่งกลางทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

เมื่อคิดได้ดังนั้น พอซูหมิงเดินออกจากห้องลานประมูลแล้ว ก็พาชายชราที่หลับตาเก้าคนกับหญิงสาวร่างแมวกลับไปยังที่พักสำหรับโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

เมื่อถึงที่หมาย ซูหมิงเลือกห้องเงียบสงบห้องหนึ่ง ให้ชายชราเก้าคนกับหญิงสาวออกไป ส่วนตัวเขานั่งฌานอยู่เพียงลำพังเงียบๆ โดยรอบเงียบสงบ ตอนที่เขานั่งลง อักขระต้นกำเนิดจิตในดวงตาพลันขยับวูบวาบ เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราบนตัวขยับไหวเบาๆ มีอักขระลอยขึ้นมาทีละตัว ดูแล้วเหมือนกับว่าอักขระเหล่านี้เดิมทีอยู่บนเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา ทำให้คนแยกไม่ออก

ต่อมาก็มีพลังลุ่มลึกปะทุมาจากเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราโดยมีซูหมิงเป็นใจกลาง

พลังนี้กวาดไปรอบๆ พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งห้องลับ ยามที่มองไป จะสังเกตเห็นว่าในมวลอากาศรอบตัวซูหมิงในห้องลับ มีระลอกคลื่นอยู่นับไม่ถ้วน มีผลให้ห้องลับประหนึ่งกลายเป็นโลกก้นทะเล คลื่นเป็นชั้นๆ วนเป็นเกลียว เหมือนกับคลื่นกระเพื่อมของน้ำ

นี่ไม่ใช่พลังของเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา นี่คือต้นกำเนิดจิตที่อยู่กลางวิญญาณเขา เพียงแต่ว่าใช้เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราเป็นตัวอำพรางก็เท่านั้น ซูหมิงยึดวิญญาณเต้าคงมาไม่นานนัก ตอนนี้ยังไม่มีเวลาศึกษาประโยชน์ของเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา แต่ก็ใช้มันปกปิดพลังต้นกำเนิดจิตได้

ท่ามกลางระลอกคลื่น พลันมีเสียงอุทานเบาดังแว่วมาจากข้างห้องลับ ก่อนร่างเงาสวี่ฮุ่ยถูกบีบออกจากมวลอากาศ นางหน้าเปลี่ยนสี นัยน์ตาฉายแววตกใจตื่น สายตาจ้องเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราบนตัวซูหมิง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นว่าเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดาราของสำนักดาราสัจธรรมมีวิชาลับเช่นนี้อยู่

แต่นางเพียงแค่ตกใจเท่านั้น ถึงอย่างไรความลับของเสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ดารา ต่อให้นางเป็นคนของสำนักหงส์ก็ยังไม่เข้าใจมันทั้งหมด ในมุมมองนาง นี่จะมีต้องผู้อาวุโสในสำนักดาราสัจธรรมรักและเมตตาเต้าคงอย่างแน่นอน จึงช่วยเขาเปิดวิชาคุ้มกัน

“ห้องลับแบบนี้ มีเพียงเจ้ากับข้าบุรุษโดดเดี่ยวและสตรีจืดชืดสองคน หรือว่าเจ้าคิดจะฝึกคู่ผสานกับข้าที่นี่ หากเป็นอย่างนั้น แซ่เต้าก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ซูหมิงเอ่ยอย่างเฉยเมย ในคำพูดมีกลิ่นอายชั่วร้ายที่มาพร้อมกับการความรู้สึกสบายๆ

สวี่ฮุ่ยแค่นเสียงหึเย็นชา สีหน้ายังคงดูรังเกียจดังเดิม คนที่กล่าวเช่นนี้ได้ก็มีเพียงเต้าคงคนที่นางรำคาญเท่านั้น และประโยคนี้ยังทำให้ความสงสัยในใจนางหายไปอีกไม่น้อย ตอนนี้เหลืออยู่ไม่มาก ถึงอย่างไรความรู้สึกผ่านวิญญาณก็ยังปกติ พอแค่นเสียงหึเย็นชาแล้ว นางก็ไม่หายตัวไปอีก แต่เดินออกจากห้องลับไป

คล้อยหลังสวี่ฮุ่ย ระลอกคลื่นในห้องลับยังคงกระจายออก จนผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซูหมิงไม่มีสีหน้าเฉยเมยอีก แต่แทนที่ด้วยความสงบนิ่ง เขารออยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนยกมือขวากดบนพื้นตรงหน้า

ฝ่ามือวางลงบนพื้น เริ่มมีแสงสว่างเปล่งมาจากตรงขอบฝ่ามือ เขามีสีหน้าสุขุม ตอนที่ยกมือขวาขึ้นช้าๆ ตรงหน้าปรากฏอาคมเคลื่อนย้ายขึ้น

วงแหวนอาคมนี้…..อยู่ในห้องลับนี้มาก่อนแล้ว กล่าวจริงๆ คือ มันมีอยู่ก่อนที่คนสำนักดาราสัจธรรมจะมาถึงดาวทมิฬเสียอีก เพียงแต่ว่าถูกอำพรางเอาไว้อย่างดี ต่อให้เป็นสวี่ฮุ่ยก็ยังไม่สังเกตเห็น

แทบเป็นขณะเดียวกับที่อาคมเคลื่อนย้ายตรงหน้าขยับแสงวูบวาบ ณ เมืองวารีดำ ตรงส่วนลึกบนพื้นดินอีกพื้นที่หนึ่ง กลางห้องลับห้องหนึ่ง ร่างแยกกลืนนภาของ ซูหมิงลืมตาจากสมาธิช้าๆ จากนั้น ใต้ร่างเขาเปล่งแสงของวงแหวนอาคม แสงนี้สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ วินาทีเดียวก็ปกคลุมร่างแยกกลืนนภาเอาไว้ภายใน

สามลมหายใจต่อมา ร่างแยกกลืนนภาหายไป

ขณะเดียวกัน ภายในห้องลับของเต้าคง ร่างแยกกลืนนภาเดินออกมาจากวงแหวนอาคม เผยเป็นร่างเงามายา ก่อนสมจริงขึ้นอย่างรวดเร็ว

หนึ่งก้าวเหยียบลง ร่างแยกกลืนนภายังไม่หยุด แต่เดินอีกก้าวมานั่งอยู่ตรงร่างแยกขั้นพลัง วินาทีที่สองคนสัมผัสกัน สองคนนี้ก็…..ซ้อนทับกันราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ยามที่มองไป เห็นชัดเลยว่าร่างแยกกลืนนภาเหมือนกับอยู่คนละมิติกับร่างแยกขั้นพลัง เขาเหมือนเหยียบอยู่บนตัวร่างแยกขั้นพลัง หลังจากหมุนตัวแล้วก็นั่งขัดสมาธิลง

ตรงจุดที่เขานั่งคือจุดที่ร่างแยกขั้นพลังนั่งอยู่ จากนั้นสองคนจึงซ้อนทับกันอย่างสมบูรณ์ในพริบตา

มิหนำซ้ำเมื่อร่างแยกสองคนซ้อนทับกันแล้วยังเกิดการบิดเบี้ยวขึ้น ครึ่งก้านธูปต่อมา การบิดเบี้ยวค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ตอนที่ทุกอย่างในห้องลับกลับมาดังเดิมแล้ว ร่างเงาซ้อนทับกันบนตัวซูหมิงก็หายไปด้วย

เขายังคงอยู่รูปร่างเต้าคง แต่เขาในยามนี้ หากปลดปล่อยกำลังรบทั้งหมด จะเหนือกว่าเต้าคงมาก

ซูหมิงยิ้มน้อยๆ ยกมือขวาขึ้นสะบัดไปยังพื้นดิน วงแหวนอาคมนั้นพลันหายไป อีกทั้งยังแหลกเป็นชิ้นๆ แล้วถูกลบหายไปจนหมด

“หลังจากกลับเรือรบฟ้ากระจ่างดาวแล้ว ระหว่างเดินทางไปทะเลดาราต้นกำเนิดจิต ข้าต้องทะลวงขั้นพลังของร่างแยกขั้นพลังให้สูงที่สุดเท่าที่ข้ารับไหว!” ซูหมิงกล่าวพึมพำเบาๆ นัยน์ตาเป็นประกายวาว เขารอวันนี้มานานมากแล้ว การทะลวงขั้นพลังต่างหากคือรากฐานของเขา นี่คืออภินิหารแท้จริงที่แกร่งยิ่งกว่าพลังจากร่างกาย

‘น้ำหวานดอกผนึกจิต ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้มันแล้ว……’ ซูหมิงลูบถุงเก็บวัตถุ หลังร่างแยกกลืนนภาหลอมรวมเข้าไป เขาก็มีถุงเก็บวัตถุเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ส่วนถุงเก็บวัตถุของเต้าคง ซูหมิงเพียงใช้จิตสัมผัสตรวจสอบรอบหนึ่ง ก็เห็นว่ามีของดีไม่น้อย เพียงแต่ว่าเวลามีจำกัด เขามีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก

พอกลับเรือรบฟ้ากระจ่างดาวแล้วก็ต้องตรวจดูทีละใบอีกครั้ง เขาเชื่อว่านี่คือโชคลาภครั้งใหญ่

‘น่าเสียดาย แม้แต่ตระกูลเลี่ยซานที่นี่ก็ยังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับกายหยาบกระเรียนขนร่วง หาดูทั่วแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรเลย’ ซูหมิงตรึกตรองอยู่อีกครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง ตกอยู่ในห้วงความทรงจำของเต้าคง เขาต้องเรียนรู้ความทรงจำและนิสัยของเต้าคงให้เร็วที่สุด จากนั้นถึงค่อยๆ เปลี่ยนมัน ให้กลายเป็นเขาซูหมิงโดยที่คนอื่นไม่ทันสังเกต

หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเร็วไว เมื่อยามรุ่งอรุณวันที่สองมาถึง ซูหมิงลืมตาขึ้น นัยน์ตามีประกายประหลาดใจวูบผ่าน ก่อนยืนขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อ ประตูห้องลับพลันอ้าออกเชื่องช้า ชายชราหลับตาเก้าคนและหญิงแมวต่างยืนอยู่นอกห้องลับด้วยความเคารพ

ซูหมิงไม่กล่าว แต่เดินออกจากห้องลับแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาว ชายชราเก้าคนรวมถึงหญิงสาวด้านหลังกลายเป็นสายรุ้งยาวติดตามขึ้นฟ้าไป

กลางฟ้าดาวทมิฬ ซูหมิงยกมือขวาขึ้น นิ้วชี้มีแหวนวงหนึ่ง มันถูกแสงตะวันส่องสะท้อนจึงเปล่งแสงสว่างพร่างพราว พอซูหมิงส่งกระแสจิตแล้ว แสงสว่างจากแหวนพลันเด่นชัดขึ้นเหมือนจะแข่งกับดวงตะวัน

ในเวลาเดียวกัน เกิดเสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็ร่างเงามายาจำนวนมากโผล่อยู่รอบตัวซูหมิงพร้อมกัน

ไม่มากไม่น้อย มีทั้งหมดสามพันคน

นี่คือนักรบมรณะที่สำนักดาราสัจธรรมมอบให้เต้าคง!

“คารวะนายน้อย!” นักรบสามพันคนเอ่ยเสียงดังขึ้นเป็นหนึ่งเดียวและทำท่าทางแบบเดียวกัน เสียงจากพวกเขารวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคลื่นเสียงลูกใหญ่ และยังก่อเป็นพลังแก่กล้าชนิดหนึ่ง พลังนี้คือกลิ่นอายชั่วร้ายที่ต่อให้เผชิญหน้ากับตัวประหลาดขั้นภัยพิบัติตะวัน พวกเขาก็ยังกล้าพุ่งเข้าไปสังหาร

ซูหมิงมองผู้ฝึกฌานสามพันคนด้วยรอยยิ้ม

“นายน้อย เรือรบฟ้ากระจ่างดาวพร้อมใช้งานแล้ว ท่านไปได้ทุกเมื่อ นายน้อย…..จะขึ้นเรือเมื่อใดรึ?” หญิงสาวงดงามข้างกายซูหมิงกล่าวเสียงเบาด้วยความเคารพ

“รอก่อน พวกเจ้าตามข้าไป…..เมืองโลกดารา” ซูหมิงกล่าวขึ้นพร้อมกับเดินหน้าหนึ่งก้าวไปทางเมืองโลกดารา ชายชราเก้าคนตามอยู่ข้างหลังในทันที ส่วนผู้ฝึกฌานสามพันคนกลายเป็นสายรุ้งยาวสามพันสายตามไป

ภาพนี้ หากเงยหน้ามองจากพื้น จะเกิดความรู้สึกเหมือนดาวตกหลายพันสายกำลังฉีกเส้นขอบฟ้า พลังดุจดั่งสายรุ้งก่อให้เกิดระลอกคลื่นฟ้าดิน เห็นได้แม้อยู่ไกลๆ

สายรุ้งลากยาวฉีกฟ้าไปไม่นานนักก็เห็นเมืองโลกดาราอยู่ไกลๆ ซูหมิงยิ้มมุมปาก เขารู้สึกว่าในเมืองโลกดารามีกลิ่นอายพลังของกระเรียนขนร่วงกับมังกรยมโลกอยู่

กระทั่งพอเข้าไปใกล้ เมื่อพวกเขามาอยู่บนน่านฟ้าเมืองโลกดาราแล้ว ก็เห็นว่าในมุมหนึ่งกลางเมือง มีชายร่างกำยำสองคนกำลังล้อมผู้ฝึกฌานคนหนึ่ง กำลังกล่าวเสียงเบาอะไรบางอย่าง ชายร่างกำยำสถุนถ่อยร่างแปลงกระเรียนขนร่วงยังเอามือล้วงเข้าไปในอกเสื้อครึ่งหนึ่ง ดึงตำราภาพออกมาให้เห็นมุมหนึ่ง เหมือนกำลังทำให้ผู้ฝึกฌานคนนั้นเกิดความสนใจ

“เห็นหรือไม่ สหาย เจ้าอยากรู้ความลับของดาวทมิฬรึ? เจ้าอยากรู้ว่าดาวทมิฬเป็นกลุ่มแบบใดรึ? เฮอะๆ ข้ามีทั้งหมดเลย”

“เจ้าไม่สนใจ? เช่นนั้นเจ้าอยากรู้ชีวิตส่วนตัวของบรรพบุรุษตระกูลอวี้หรือไม่? อยากรู้ฐานะจริงๆ ของสองมารกระเรียนกับดำหรือไม่? อยากเห็นภาพลับของหญิงสาวงดงามลึกลับในตอนนั้นหรือไม่? ข้ายังมีรายชื่อลูกนอกสมรสทั้งหมดของตระกูลหวาด้วย แล้วก็มีความจริงที่ว่าเหตุใดบรรพบุรุษตระกูลโม่ถึงยอมฝืนกลั้นความเจ็บปวดตอนหัวมังกรตัวเองเพื่อทะลวงขั้นพลัง

กระทั่งยังมีหลักฐานที่ว่าเหตุใดคนตระกูลเลี่ยซานถึงไม่ชอบความต่าง แต่จะรักกับคนแซ่เดียวกันเท่านั้น!

สามร้อยปีก่อน เหตุใดหญิงชราเกือบสองร้อยคนจากแปดสิบตระกูลถึงร้องไห้โฮพร้อมกัน? หนึ่งพันปีก่อน เหตุใดสัตว์เพศเมียทั้งหมดบนดาวทมิฬถึงร้องโหยหวนนานสามปี? สามพันปีก่อน เหตุใดสัตว์เพศผู้ทั้งหมดบนดาวทมิฬถึงร้องคำรามด้วยความโกรธสิบปี!

ทั้งหมดนี้ขอเพียงหนึ่งหมื่นหินผลึก สหาย หนึ่งหมื่นหินผลึกเอง ตำราเล่มนี้ก็จะเป็นของเจ้า เจ้าถือว่าโชคดี วันนี้เป็นวันครบรอบสามร้อยปีที่ข้าเริ่มประกอบกิจการ ข้าจะลดราคาให้ลูกค้าสิบคนแรก สำหรับเจ้าไม่ใช่หนึ่งหมื่นหินผลึก ไม่ใช่แปดพันหินผลึก และก็ไม่ใช่ห้าพันหินผลึก……

แต่เหลือเพียง เก้าร้อยเก้าสิบเก้าหินผลึกเท่านั้น! สหาย เพียงแค่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า ความลับดาวทมิฬทั้งหมดจะเป็นของเจ้า!” กระเรียนขนร่วงกล่าวน้ำลายกระเด็นด้วยความตื่นเต้น มันพูดจนผู้ฝึกฌานคนนั้นนิ่งอึ้งไป

ซูหมิงถอนหายใจอยู่กลางอากาศ ก่อนยกมือขวาชี้ไปยังกระเรียนขนร่วงข้างล่างรวมถึงมังกรยมโลกที่คอยช่วยพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ

“จับพวกเขาสองคนมาให้ข้า”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!