Skip to content

สู่วิถีอสุรา 933

ตอนที่ 933 เวลาของหนึ่งเพลงกลอน

หากการเกิดและดับสูญของโลกนี้คือเวลาของเพลงหนึ่ง

เมื่อทำนองเพลงจบลง นั่นคือช่วงเวลาที่โลกหายไป…เจ้าจะเลือกจังหวะของเพลงนี้อย่างไร

หากการเกิดและตายของผู้คนคือเวลาของเพลงเพลงหนึ่ง

เมื่อเพลงจบลงก็คือการจบสิ้นของชีวิต….เจ้าจะเลือกอย่างไร จะเขียนใครลงในบทเพลงแล้วร้องให้ตนฟัง

มีเพลงกลอนหนึ่ง ขับขานกาลเวลาของภัยพิบัติบันทึกหนึ่ง ในกาลเวลานี้ มันก็คือยุคสมัย….

ผู้สร้างเพลงกลอนสามารถเขียนนามลงไปได้ ทำให้พวกเขามีชีวิตนิรันดร์วนเวียนอยู่ในวันเวลาตามเพลงกลอน พวกเขา…จะไม่สูญสลายไป

ในยุคโบราณมีสิ่งมีชีวิตเก้าตัวและสี่เผ่าพันธุ์ นามของพวกมันถูกเขียนลงในเพลงกลอนนี้ และเรืองรองอยู่ในภัยพิบัติบันทึกหนึ่งตามเพลงกลอน

กาลเวลาในตอนนี้ เพลงกลอนร้องมาถึงตอนจบแล้ว มันยังไม่สิ้นสุดลง แต่สุดท้ายก็ต้องร้องจบ เวลาตอนนี้ เป็นเพียงเพลงกลอนที่เขียนใหม่เพื่อเปิดฉากทำลายล้างชีวิตใหม่

ซูหมิงมองคนยักษ์บนฟ้าคุกเข่าตรงหน้าตน มองร่างกายใหญ่ยักษ์ของอีกฝ่าย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาเห็นกลิ่นอายมรณะเข้มข้นจากตัวคนยักษ์

นี่คือสิ่งมีชีวิตที่แก่ชราจนเดินมาถึงปลายทางของชีวิตแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ เพียงแค่เหมือนกับเทียนที่ไฟลามมาถึงก้นฐาน ใกล้จะมอดดับแล้ว

“ได้โปรดเขียนนามข้าลงในเพลงกลอนของท่าน…ข้ายินยอมเซ่นไหว้ทุกอย่างของข้า…” คนยักษ์ก้มหน้าลง กล่าวอย่างขมขื่น

ตอนที่รู้ว่าคนตรงหน้ามีกลิ่นอายพลังทำลายล้างชีวิต เขาก็ล้มเลิกความคิดทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่ไม่อาจช่วงชิงหรือใช้กำลังยื้อแย่ง หากเป็นตอนที่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากสิ่งนี้ บางทีอาจแย่งชิงมาได้

ทว่าหากเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตเริ่มใหม่แล้ว หลอมรวมกับคนที่มันยอมรับแล้ว เช่นนั้น…ไม่ว่าใคร ไม่ว่าพลังใด ก็ล้วนสามารถทำลายล้างคนที่ได้รับการยอมรับ แต่ทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตไม่ได้ และก็จะไม่อาจหลอมรวมกับมันอีกครั้งด้วย

อีกอย่าง คนที่ทำลายจะไม่มีสิทธิ์ถูกเขียนนามลงในเพลงกลอนตลอดไป

เรื่องนี้อยู่ในความทรงจำที่ยาวนานของคนยักษ์มาตลอด

ซูหมิงเงียบงัน ผ่านไปพักใหญ่เขาก็กล่าวขึ้นเนิบช้าและเรียบนิ่งเหมือนกับชายชราคนนั้นที่เจอในมิติเศษหิน

“เจ้า นำอะไรมาเซ่นไหว้” ตอนที่ซูหมิงเอ่ยขึ้นเช่นนี้ยังมาพร้อมความรู้สึกผ่านโลกมานาน เศษหินสีดำในวิญญาณเขาแผ่กระจายกลิ่นอายโบราณออกมา กลิ่นอายพลังนี้อยู่ในตัวเขา มันค่อยๆ ตกตะตอนและกระจายออกเบาๆ ทำให้ตอนนี้…เขาเหมือนกับชายชราคนนั้นในอดีต

คนยักษ์เงยหน้าขึ้นมองพื้นดิน นัยน์ตาวาววับ ทันใดนั้นชาวเผ่าดินทรายหลายหมื่นคนบนพื้นต่างพากันกรีดร้องโหยหวน ร่างกายพวกเขาหลอมละลายโดยพลัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นดินทรายทั้งหมด กลายเป็นดินทรายบนพื้น

ชายชราร่างมายาตัวสั่นเทา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้เห็นชาวเผ่ารอบๆ ตายไปหมด เขาก็ตัวสั่นและคิดจะถอยไป ทว่าตอนที่เทพของเผ่ามองมา ร่างกายเขากลับกลายเป็นดินทรายและลอยหายไปตามสายลม

สิ่งที่สลายไปพร้อมกันยังมีกายเนื้อของชายชราบนรูปปั้น รวมถึงรูปปั้นหมื่นจั้งที่ห่างจากที่นี่ไปไกลมาก

ทุกสิ่งมีชีวิตทั้งทะเลทรายสิ้นชีพลงในตอนนี้

เม็ดทรายคล้ายผลึกมากมายบินขึ้นมาจากพื้น ทุกเม็ดหมายถึงหนึ่งชีวิต เม็ดทรายเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นขวดล้ำค่าหนึ่งขวดลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง

“นี่คือต้นกำเนิดชีวิตของเผ่าดินทราย คือเครื่องเซ่นไหว้ชิ้นแรกของข้า โปรดรับเอาไว้” คนยักษ์มองซูหมิงด้วยดวงตาแวววาว

ซูหมิงสบตากับคนยักษ์ ครู่ต่อมาก็ยกมือขวาขึ้นช้าๆ กำขวดล้ำค่าตรงหน้าเอาไว้ ชั่วขณะนั้นภายในมือเขาพลันปรากฏน้ำวนสีดำขึ้น

น้ำวนไม่ได้เกิดขึ้นเพราะจิตซูหมิงสั่ง แต่เศษหินสีดำในวิญญาณเขาโผล่ออกมาในมือขวาเอง หลังจากกินขวดล้ำค่าไปแล้วก็ส่งเส้นสีดำออกมาเส้นหนึ่ง

เส้นสีดำนี้พุ่งตรงไปหาคนยักษ์ เมื่อหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายแล้ว คนยักษ์พลันตัวสั่นสะท้าน นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้น

เมื่อครู่นี้แม้เขาจะมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มใช้เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิตใหม่ แต่ก็ยังลังเลใจอยู่เล็กน้อย ทว่าตอนนี้ พอเห็นเส้นสีดำที่เขาเคยได้หลังการเซ่นไหว้ทุกครั้งเมื่อในอดีต ก็ทำให้ความลังเลในใจหายไปทันควัน เขามั่นใจฐานะคนตรงหน้าอย่างยิ่งแล้ว

“ชีวิตข้ามาถึงปลายทางแล้ว แต่ข้ายังลงมือเพื่อท่านได้สามครั้ง นี่คือเครื่องเซ่นไหว้ครั้งที่สอง…และก็เป็นทั้งหมดที่ข้าในตอนนี้ทำได้” เสียงคนยักษ์ดินทรายดังแฝงความแก่ชรา กึกก้องเหมือนกำลังรอคำตอบจากซูหมิง

“ข้ารับปากว่าจะเขียนนามของเจ้าลงในเพลงกลอน แต่หลังจากเจ้าลงมือสามครั้งแล้ว ต้องมอบต้นกำเนิดจิตของเจ้า….เป็นเครื่องเซ่นไหว้ที่สาม” นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิยามกล่าวเรียบนิ่ง

“หากจิตวิญญาณยังอยู่ก็จะมีชีวิตนิรันดร์ ข้าจะปฏิบัติตามคำสัญญาของท่าน” คนยักษ์เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแก่ชราดังก้อง ร่างกายเขาหายไปทีละน้อย จนกระทั่งกลายเป็นกำไลดินทรายสีเหลืองดินอันหนึ่งลอยมาอยู่ตรงหน้าซูหมิง บนกำไลมีใบหน้าเลือนรางอยู่ นั่นคือวิญญาณแห่งดินทราย

ซูหมิงมองกำไลข้อมือ ผ่านไปพักหนึ่งก็คว้ามันเอาไว้ เมื่อใส่เข้าไปในถุงเก็บวัตถุก็มองความว่างเปล่ารอบๆ ยามนี้ที่นี่เงียบสงัด

เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง คลึงตรงระหว่างคิ้ว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กะทันหันอย่างยิ่ง ทำให้ความคิดมากมายถาโถมเข้ามา ตอนนี้ใจสงบลงแล้วจึงใคร่ครวญอยู่เงียบๆ

ผ่านไปพักใหญ่ เขาลูบตรงคอโดยจิตใต้สำนึก แม้ตรงนั้นจะไม่มีอะไร แต่เขาก็เหมือนคลำเศษหินสีดำอยู่ สิ่งต่างๆ เผยอยู่ตรงหน้าเขาเรื่อยๆ หลังผ่านประสบการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง

“เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต…การทำลายล้างชีวิตเริ่มขึ้นใหม่…เขียนเพลงกลอน….” ในความคิดเขาลอยขึ้นมาเป็นเหตุการณ์ในมิติเศษหิน เรือโบราณลำนั้นน่าจะเป็นเรือสวรรค์ที่วิญญาณดินทรายเอ่ยถึง

ผ่านไปพักหนึ่งซูหมิงก็สูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่คิดถึงเรื่องที่ยังสับสนอยู่อีก แต่สลายร่างเงาเอ้อชาง แยกพลังของร่างแยกที่หลอมรวมกันออก ก่อนอุ้มสวี่ฮุ่ยที่หมดสติห้อเหยียดไปข้างหน้า

ผ่านไปหลายวัน ซูหมิงเดินทางมาตามสัญลักษณ์ที่วางเอาไว้ในตอนแรก จนมาถึงสุดปลายทะเลทรายอันเงียบสงัด จึงหันหลังไปมองทะเลทรายด้านหลังแวบหนึ่ง

เขารู้สึกว่าทะเลทรายนี้กำลังเดินสู่ความตาย ที่นี่ไม่มีพลังชีวิตและไม่มีสิ่งมีชีวิต

เขามองไปมองมาพลันเข้าใจเล็กน้อยว่าเหตุใดชื่อของหินสีดำถึงถูกเรียกว่า…เมล็ดพันธุ์แห่งการทำลายล้างชีวิต

เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หันกลับไป เดินออกจากทะเลทราย ตรงหน้าเป็นฟ้ากระจ่างดาว ผืนฟ้าที่นี่สะอาดยิ่ง มองไปไม่เห็นฝุ่นละอองหรือสิ่งผุพังมากนัก เป็นเหมือนกับบึงน้ำเงียบสงบ เห็นรางๆ ว่าตรงหน้าสุดมีดาวดวงหนึ่ง

ดาวนั้น…เป็นดาวแท้จริงที่แบ่งครึ่งเป็นสองส่วน เหมือนกับถูกใครบางคนตัดออก ตอนนี้พวกมันยังเชื่อมกันอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อมองไปก็ล้วนเป็นซากปรักหักพัง

‘ตอนที่เจ้าเดินออกจากทะเลทราย เจ้าจะเห็นชนเผ่าข้ากลางฟ้ากระจ่างดาว’ คำพูดของตี้จิ่วโม่ซาก่อนไปดังก้องอยู่ข้างหูซูหมิง เขามองดาวผุพังพลางเดินไปอย่างเงียบๆ

ยามค่อยๆ เข้าไปใกล้ ในความเงียบสงบ เขายังคงมองดาวแท้จริงดวงนั้น ฝีเท้าก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร เขาก็เข้าไปใกล้ดาวแท้จริงดวงนี้

การเสื่อมสลายของเวลาอบอวลไปในฟ้ากระจ่างดาว ทำให้คนตกอยู่ในนั้น เหมือนตนก็จะแก่ชราตามไปด้วย

ซูหมิงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ พอเข้าไปใกล้แล้วก็เห็นว่าบนครึ่งหนึ่งทางซ้ายของดาว แผ่นดินเหมือนจะมีซากปรักหักพังอยู่นับไม่ถ้วน ในซากเหล่านั้นมีรูปปั้นชำรุดอยู่รูปหนึ่ง

มองรูปปั้นนั้นจากไกลๆ ใจซูหมิงก็เจ็บปวด เขาขยับไหวมาปรากฏอยู่บนดาวแท้จริงในพริบตา ยืนอยู่บนผืนดินสีดำ ตรงหน้าเป็นซากปรักหักพังที่เรียงรายไร้สิ้นสุด

ความตาย กลิ่นคาวเลือดในกาลเวลา ความเก่าแก่และเงียบสงัด ก็คือท่วงทำนองหลักเพียงหนึ่งเดียวของที่นี่

รูปปั้นตั้งอยู่กลางซากปรักหักพัง ไม่มีแขนขวา มันเป็น…รูปปั้นยักษ์ที่มีขนสีดำขึ้นทั้งตัว ตรงหัวมีชายชรานั่งอยู่คนหนึ่ง ชายชราคนนั้นสวมอาภรณ์ที่เห็นสีไม่ชัดเจน เขากำลังเงยหน้ามองทอดไกล

นี่ก็เป็นรูปปั้นเช่นกัน

ซูหมิงมองชายชราพลางวางสวี่ฮุ่ยที่หมดสติในอ้อมกอดลง แล้วค่อยๆ เดินเข้าไป จนไปถึงตรงหัวรูปปั้นนั้น ยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นชายชรา เขามองใบหน้าที่คุ้นเคย ระหว่างนั้นความทรงจำในอดีตก็ลอยขึ้นมาในความคิด

นั่นคือชายชราที่ชอบเปลี่ยนอาภรณ์ออกไปข้างนอกบนยอดเขาลำดับเก้า เป็นชายชราที่พาตนไปเผ่าเชมันและทำให้ตนเคยชินกับสงคราม ทั้งยังสอนให้เรียนรู้วิชาสงบจิตใจ ทำให้หาครอบครัวเจอในสำนักเหมันต์สวรรค์

ตอนนี้มาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

ซูหมิงเหม่อมองรูปปั้น ดวงตามีน้ำตารินไหล เขาคุกเข่าลงเงียบๆ แล้วโขกศีรษะให้รูปปั้นเก้าครั้ง

“อาจารย์…”

น้ำตาหยดลงบนรูปปั้นและกระจายออก ไหลซึมเข้าไปในซอกเล็กของรูปปั้น หลงเหลือไว้เพียงรอยชื้นๆ

“เมื่อพันปีก่อน ที่นี่คือเผ่าที่ข้ากำเนิด….” เสียงต่ำก้องกังวานรอบๆ ดังมาจากชายร่างผอมบางคนหนึ่งที่นั่งเงียบๆ อยู่ในเรือนร้างไม่ไกลนักข้างล่าง

เขาก็คือ ตี้จิ่วโม่ซา

เขาก้มหน้าลูบเรือนใต้ร่างตน เสียงดังอยู่ในซากปรักหักพัง มันแฝงไว้ด้วยความเศร้า การหวนรำลึก และยังมีความขมขื่นที่ลบไม่หาย

“ชายชราตรงหน้าเจ้าคือ ยอดเชมันของเผ่าพวกข้า ท่านปู่ไม่ชอบพูด ส่วนใหญ่จะมองทอดไกลอย่างเงียบๆ ตรงจุดที่เขามองคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้า และก็เป็นสัญลักษณ์ของเผ่าข้า ท่านปู่เรียกมันว่า….ภูเขาลำดับเก้า

ท่านปู่บอกว่าชีวิตนี้เขามีศิษย์อยู่ทั้งหมดห้าคน ศิษย์ทุกคนทำให้เขาภูมิใจ เขาเชื่อว่าสักวันหนึ่งศิษย์ของเขาจะเป็นที่จับจ้องของทั้งผืนฟ้า มีชื่อเสียงโด่งดังมาถึงที่นี่และให้เขาได้รับรู้ เจ้าคือศิษย์คนใดของท่านปู่?”

“อาจารย์มีศิษย์เพียงสี่คน ภูเขานั้นก็ไม่ได้เรียกว่าภูเขาลำดับเก้า แต่เรียกว่ายอดเขาลำดับเก้า” ซูหมิงมองรูปปั้นพลางพึมพำเบาๆ

ตี้จิ่วโม่ซาตัวสั่นสะท้านเล็กน้อยอย่างที่สังเกตไม่พบ เขาเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงช้าๆ

“ตรงหน้าเจ้ามีหินอยู่ห้าก้อน เจ้าวางมือลงด้านบนได้…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!