Skip to content

สู่วิถีอสุรา 983

ตอนที่ 983 เดิมพัน

ซูหมิงจ้องเตาหลอมลำดับห้าที่อยู่ห่างไปแสนจั้ง มองแวบแรกมันเหมือน ทองสัมฤทธิ์ แผ่กลิ่นอายเก่าแก่และเรียบง่าย ขณะเดียวกัน หากมองดีๆ จะเห็นว่าบน เตาหลอมมีคราบเลือดอยู่หลายจุด!

ลักษณะคราบเลือดกระดำกระด่าง เหมือนยืนยันได้ถึงความอนาถาระหว่างที่มันผ่านมิติออกมาจากโลกแท้จริงที่ห้า ดูแล้วสองสามีภรรยาซูเซวียนอีในตอนนั้นคงต้องเจอกับวงล้อมสังหารตลอดทางกว่าจะพุ่งออกมาได้

กาลเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไร เรื่องราวมากมายหายไปในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ ทว่าโลหิตบนเตาหลอมลำดับห้ากลับข้ามผ่านพลังแห่งกาลเวลา มันยังคงอยู่ ทำให้ทุกคนที่มองเตาหลอมลำดับห้าครั้งแรกอดใจสั่นไหวมิได้

ตอนนี้เมื่อเปลวเพลิงสีม่วงจางหายไป เตาหลอมลำดับห้าก็นิ่งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ส่วนจะนิ่งนานเท่าไร ซูหมิงไม่รู้ แต่จากการกระทำของคนอื่นก็คาดเดาได้ว่าช่วงเวลานี้จะต้องผ่านไปในพริบตา

คนที่ข้ามผ่านฟ้ากระจ่างดาวแสนจั้งไปเป็นคนแรกสุดคือชายร่างกำยำคิ้วเหลือง ด้วยความเร็วของเขา พริบตาเดียวก็เข้าไปใกล้เตาหลอมลำดับห้า อีกทั้งมังกรเหลืองสองตัวนอกกายเขายังวนเวียนไปรอบๆ พลางร้องคำราม เขาไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย แต่พุ่งชนเตาหลอมลำดับห้าเสียงดังโครม ทั้งตัวเขาแนบสนิทกับเตาหลอม สีหน้า ดูเจ็บปวดอย่างที่พบเห็นได้ยาก ทว่าสองมือกลับจับเตาหลอมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

ความใหญ่ของเตาหลอมทำให้ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองดูเล็กจ้อยอย่างยิ่งเมื่อเทียบกัน อีกทั้งเมื่อซูหมิงจากข้างหลังห้อเหยียดเข้ามาใกล้ เตาหลอมลำดับห้าก็ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตาเขาไม่หยุด มองแวบเดียวก็เห็นแล้วว่าตรงจุดที่ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองอยู่มีซอกเล็กๆ อยู่ซอกหนึ่ง

คนที่สองที่เข้าไปใกล้เตาหลอมคือจื่อหลงเจินเหริน ตัวเขาที่กลายเป็นสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งเหมือนกับมังกรสีม่วง ตอนที่เข้าไปใกล้ เขาใช้มือขวาจับเตาหลอมเอาไว้ทันที จุดที่เข้าใกล้ก็เป็นตรงขอบซอกนั้นเช่นกัน ชั่วเวลาที่สัมผัสเตาหลอม ก็เกิดเสียงดังซ่าๆ ขึ้น เห็นได้ชัดว่าระดับความร้อนของเตาหลอมนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ยังขมวดคิ้ว แม้จะมีสีหน้าท่าทางเจ็บปวดไม่เท่าชายร่างกำยำคิ้วเหลือง อีกทั้งยังฝืนทนเอาไว้ได้ ทว่าเขารู้ระดับความยากโดยแท้ของมันแล้ว ชายคิ้วเหลืองก็รู้ด้วย

จากนั้นก็เป็นชายชุดคลุมขาวกับจูโหย่วไฉรวมถึงบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง พวกเขาสามคนเข้าใกล้เตาหลอมแทบจะพร้อมกัน ตรงจุดที่เข้าใกล้เป็นขอบซอกนั้นเหมือนกัน ตอนที่ซูหมิงมองไป เขาเห็นว่าห้าคนนี้เกาะบนเตาหลอมเอาไว้แน่น ให้ตัวเข้าไปใกล้ซอกนั้น แต่กลับไม่ทำอะไร เหมือนกำลังรอคอยอยู่

ซูหมิงเข้ามาใกล้เป็นคนสุดท้าย ช่วงที่เขาเข้าใกล้เตาหลอมลำดับห้าและใช้มือขวาเกาะผนังเตาหลอมตรงข้างซอกนั้น เขาพลันรู้สึกถึงคลื่นร้อนระอุ หลั่งไหลเข้ามาตามมือขวาแล้วเข้าไปทั่วร่าง

หลังจากม้าดำตัวนั้นใช้ความปราดเปรียวของมันพาซูหมิงมาอยู่ข้างเตาหลอมลำดับห้าแล้ว ก็อ้าปากหัวมังกรสองหัวในทันที และใช้ปากกัดบนเตาหลอมเอาไว้แน่นเหมือนกับห้านิ้วมือคน

แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงมาถึงที่นี่ การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก็ถูกส่งจากใน เตาหลอมออกมาสู่ข้างนอก ในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกถึงการเพิ่มระดับความร้อนขึ้นอีกครั้งของเตาหลอม แทบพริบตาเดียวก็ไปถึงจุดขีดสุดที่ร่างกายจะรับไหว และเป็นตอนนี้เอง พลันมีเพลิงทำลายล้างสีดำปะทุออกมาจากในซอกนั้น

เพลิงทำลายล้างแผ่กระจายมาจากในซอกเตาหลอม และกระจายเป็นวงกว้างจากสี่ทิศของเตาหลอม เวลานี้เอง ซูหมิงเพิ่งจะเห็นว่าที่แท้บนเตาหลอมลำดับห้า มีซอกอยู่นับไม่ถ้วน เปลวเพลิงเหล่านี้กระจายมาจากซอกถี่เหล่านี้ แล้วแผ่ขยายไปทั้งทะเลดาราต้นกำเนิดจิต

พริบตาที่เพลิงทำลายล้างสีดำปะทุออกมา ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองส่งเสียงคำรามต่ำ เขาพลันปล่อยมือ ยกสองมือขึ้นป้องตรงหน้าพลางเดินก้าวยาว ทั้งยังแผ่กระจายแรงปะทะที่สั่นสะเทือนรอบๆ ก่อนจะขยับวูบไหวพุ่งเข้าไปในรอยแยกที่พ่นเพลิงดำออกมา

เมื่อเข้าไปแล้ว เพลิงทำลายล้างสีดำอาบร่างเขาทันใด แต่จะเห็นได้ว่าในเพลิงทำลายล้างสีดำมีลูกเพลิงยักษ์ลูกหนึ่งกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงยิ่ง

ในลูกเพลิงนั้นก็คือชายร่างกำยำคิ้วเหลือง มังกรเหลืองสองตัววนเวียนรอบตัวเขาด้วยความเร็วสูง สร้างขึ้นเป็นปราการหนาแน่น ทำให้ตัวเขาต้านเพลิงดำได้ พริบตาเดียวก็ห้อทะยานไกลออกไปจนหายลับ

คนที่บินไปแทบจะพร้อมๆ กับเขาคือจื่อหลงเจินเหริน หลังปล่อยมือจาก เตาหลอมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้ว เขาก็ขยับวูบไหวกลายเป็นมังกรยาวพุ่งไปข้างหน้า ปล่อยให้เพลิงสีม่วงอาบทั่วร่าง แต่มันกลับหยุดเขาไม่ได้แม้แต่น้อย เสี้ยวขณะเดียวก็หายไปกลางเพลิงสีม่วงอมดำ

ในเตาหลอมลำดับห้าไม่มีฟ้าดิน มีเพียงแท่นราบขนาดราวพันจั้ง แท่นราบเป็นทองสัมฤทธิ์ ด้านบนแผ่อุณหภูมิสูงอันร้อนระอุ ด้านหน้าหลังซ้ายขวาของแท่นราบเป็นอากาศไม่มีที่สิ้นสุด กลางอากาศมีทะเลเพลิงนับไม่ถ้วนหมุนตลบแผ่ขยายและยังแผ่ไอความร้อนสูง สีของเปลวเพลิงบ้างเป็นสีแดง บ้างเป็นสีฟ้า บ้างเป็นสีม่วง บ้างก็เป็นสีดำ มิหนำซ้ำยังหลอมรวมกันกลายเป็นทะเลเพลิงหลากสีสัน

ระหว่างที่ทะเลเพลิงไหลเชี่ยว ทันใดนั้นเกิดเสียงโครมจากการปะทุของเปลวเพลิง ร่างชายร่างกำยำคิ้วเหลืองพุ่งออกมาจากกลางทะเลเพลิง ทั่วร่างเขาเหมือนเผาไหม้ คล้ายกับลูกเพลิง เมื่อเข้ามาถึงแท่นราบจึงเหยียบเท้าลง เปลวเพลิงทั่วร่างพลัน มอดดับไป

เขาถอนหายใจโล่งอกแล้วก้มหน้ามองตัวเอง พบว่าตรงปลายเสื้อคลุมกลายเป็นเถ้าธุลีลอยหายไป สีหน้าดูปั้นยากเล็กน้อยทันที ตอนที่เงยหน้าขึ้นยังมีความหวาดผวาวูบผ่าน

‘เป็นเพลิงทำลายล้างที่ร้ายกาจมาก ข้าอยู่ในนั้นเพียงครู่เดียวก็เผาชายเสื้อคลุมข้าจนหายไปแล้ว หากอยู่นานกว่านี้อีกเล็กน้อย เกรงว่าคงเป็นอันตรายถึงชีวิต

น่าเสียดาย มีแต่ช่วงที่เพลิงสีม่วงหายไปและเพลิงดำปะทุเท่านั้น ถึงจะเป็นช่วงที่ผนังเตาหลอมเปราะบางที่สุด มิเช่นนั้นแล้วหากเข้ามาตอนเพลิงสีม่วงได้ก็คงดี’ ชายร่างกำยำส่ายศีรษะ ตอนที่เขาถอนหายใจ ทะเลเพลิงด้านบนก็พลันม้วนตลบอย่างรุนแรงอีกครั้ง ก่อนจะมีเงาสีม่วงพุ่งออกมา

ร่างเงาสีม่วงนั้นรวดเร็ว เสี้ยวขณะเดียวก็เข้ามายังแท่นราบ จากนั้นเปลวเพลิงมอดดับกลายเป็นร่างจื่อหลงเจินเหริน ทว่ากลับมีเส้นผมหลายเส้นกลายเป็นเถ้าธุลีหายไปพร้อมกับที่เขาเหยียบลงบนแท่นราบ

ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองมองจื่อหลง จื่อหลงก็มองเขาเช่นกัน หลังสองคนสบตากันแล้วก็ละสายตาไป แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สองฝ่ายต่างคาดเดาขั้นพลังของกันและกันได้คร่าวๆ แล้ว

“สหายจื่อหลง ผู้น้อยหวงเหมย ได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของสหายมานานแล้ว วันนี้ได้มาพบ ก็สมกับคำล่ำลือจริงๆ สหายมีขั้นพลังไม่ธรรมดา ไปถึงครึ่งก้าวก่อน ขั้นชะตาแล้ว” ชายร่างกำยำหวงเหมยหัวเราะเสียงดังพลางประสานมือคารวะ จื่อหลงเจินเหริน

“สหายหวงเหมยก็มีชื่อเสียงโด่งดังในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตเช่นกัน ต่อให้แซ่จื่อเป็นคนจากข้างนอกก็ยังเคยได้ยินว่าสหายชอบกินร่างเทพบรรพชน เทียบกับครึ่งก้าวก่อนขั้นชะตาของแซ่จื่อแล้ว เกรงว่าสหายหวงเหมยคงห่างจากขั้นสมบูรณ์อีกไม่ไกลแล้วเหมือนกัน” ตอนที่จื่อหลงกล่าวราบๆ กับหวงเหมย เขาเหมือนใช้สายตามองไปยังน้ำเต้าข้างหลังอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยแวบหนึ่ง แล้วประสานมือคารวะตอบ

“ฮ่าๆ สหายจื่อหลงเกรงใจแล้ว ไม่ทราบว่าสหายมาที่นี่เพื่อสมบัติล้ำค่าสิ่งใด?” หวงเหมยหัวเราะแล้วถามขึ้น

“แซ่จื่อไม่มีของที่อยากได้เฉพาะ แค่ต้องการโอกาสและโชควาสนาเท่านั้น แต่ข้าอยากรู้ว่านอกจากเจ้ากับข้าสองคนแล้ว คนที่เข้ามาคนที่สามจะเป็นใคร” จื่อหลงเงยหน้ามองทะเลเพลิงข้างบนพลางเอ่ยอย่างสงบ

“อ้อ? สหายจื่อมาลองเดินพันกันหน่อยดีหรือไม่?” ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองมีสีหน้าเช่นปกติ หลังจากมองทะเลเพลิงข้างบนแล้วก็หัวเราะเอ่ยขึ้น

“เดิมพันอะไร?” จื่อหลงละสายตากลับมามองหวงเหมย คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ก็เอ่ยเพื่อชักจูงให้เกิดการเดิมพันนี้เอง สองคนนี้เป็นคนเจ้าแผนการตัวฉกาจ ต่างฝ่ายต่างระวังกันเองเล็กน้อย พวกเขาต้องหาวิธีแก้ปัญหานี้ และต้องลดผลกระทบกับอำนาจคุกคามจากอีกฝ่ายลง

ยอดฝีมือที่ฝึกฝนถึงระดับนี้อย่างพวกเขาไม่ลงมือได้ หรืออีกอย่างคือไม่ลงมือจะดีที่สุด

“ของเดิมพันคือสละสิทธิ์หนึ่งครั้ง!” ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองกล่าวขึ้นทันใด

“หากใครแพ้ จะต้องสละสิทธิ์สมบัคิล้ำค่าที่ผู้ชนะต้องการหนึ่งชิ้นอย่างนั้นรึ…ได้!” จื่อหลงพยักหน้า

“ดี เช่นนั้นข้าขอเลือกก่อน ข้าเลือก…บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง! ไม่ทราบว่าสหาย จื่อหลงจะเลือกใคร หรือว่าจะเป็นคุณชายอู๋?” ชายร่างกำยำคิ้วเหลืองตาเป็นประกายวาววับ หัวเราะพลางถามขึ้น

“แซ่จื่อเลือก…ผู้ฝึกฌานคนที่ขี่ม้าดำ” จื่อหลงเจินเหรินตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วตอบกลับ

นัยน์ตาหวงเหมยเพ่งจ้อง เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเลือกคนที่ขี่ม้าดำคนนั้น ในสายตาเขา คนผู้นี้อ่อนแอที่สุดในด้านพลัง มีแค่ม้าดำที่พอจะมหัศจรรย์อยู่บ้าง ทว่ามองจากเปลือกนอกก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มอยู่ดี

“ดี เช่นนั้นก็มาดูกันว่าคนที่เจ้ากับข้าเลือก ใครจะมาเป็นคนที่สาม” หวงเหมยขบคิดอีกชั่วประเดี๋ยว แล้วจึงเงยหน้ามองทะเลเพลิงข้างบน ดวงตาขยับประกายขณะ รอคอย

ภายในทะเลเพลิงตรงซอกของเตาหลอมลำดับห้า ตอนนี้จูโหย่วไฉรวมถึงชายชราหุ่นเชิดเพลิงกำลังพุ่งไปข้างหน้า เปลวเพลิงสีดำมีพลังแผดเผาที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ต่อให้พวกเขาสองคนเป็นยอดฝีมือ หนำซ้ำชายชราหุ่นเชิดเพลิงยังเป็นจักรพรรดิแห่งเพลิงที่คิดว่าตนมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา ทว่าพวกเขาสองคนก็ยังรู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงอยู่ดี

อันตรายนี้ทำให้พวกเขาสองคนเร่งความเร็วขึ้นอีก เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวข้างๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าเช่นกัน ครึ่งบนตัวเขายังคงสภาพคนไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าครึ่งตัวล่างกลายเป็นตะขาบไปแล้ว ระดับความเร็วก็พอๆ กับพวกจูโหย่วไฉ

ด้านหลังพวกเขาเป็นซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังย่วนเว่ย เปลวเพลิงสีดำพร้อมดวงจิตที่ทำลายล้างทุกสิ่งเผาไหม้ไปรอบๆ ย่วนเว่ยรับไหว ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกถึงความตื่นกลัวของพวกเสวียนซางสี่คนที่ส่งผ่านมาทางจิตใจ

เปลวเพลิงสีดำนั้นชวนให้มีความรู้สึกว่าอยู่กลางเตาหลอมฟ้าดิน ทั่วร่างกำลังเผาไหม้ เหมือนตัวจะละลายทั้งหมด กระทั่งขั้นพลังยังเหมือนจะถดถอยกลางเปลวเพลิงนี้

เส้นผมซูหมิงกำลังลุกไหม้ ขนคิ้วของร่างกายที่เขาควบคุมอยู่กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปแล้ว กระทั่งร่างกายยังเกิดความรู้สึกว่าจะหลอมละลาย

“ในเมื่อพวกเจ้าสี่คนกล้าเข้าเตาหลอมลำดับห้า ก็จงใช้กลอุบายที่ซ่อนเอาไว้ออกมาเสีย!” ซูหมิงส่งกระแสจิตไปทันที พวกเสวียนซางสี่คนวางแผนมาหลายปี หากไม่เตรียมตัวอะไรเลยย่อมเป็นไปไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!