Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1085

ตอนที่ 1085 เจ้าพูดมาเถอะ

โครม!

แปดคนโจมตีพร้อมกัน ยอดฝีมือขั้นกุมแปดคนระเบิดพลังออกมา ต่อให้เป็น ตอนซูหมิงในสภาพสมบูรณ์บางทีอาจสู้กับยอดฝีมือขั้นกุมแปดคนไหว ทว่าหากในร่างเขามีบาดแผล แน่นอนว่าย่อมสู้ลำบาก

แต่ว่านี่คือเมื่อก่อนที่เขาไม่ได้เรียนวิชาเคลื่อนย้ายภูผา ไม่ได้เรียนวิชาสังหารเทพ กระทั่งกระเรียนขนร่วงยังใช้แสงแก่นยมโลกไม่ได้ ทว่าซูหมิงที่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว แม้ในร่างกายจะมีบาดแผล แต่ก็ยังแกร่งกว่าแปดคนนี้!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ซูหมิงกระอักเลือด แต่ราคาที่เขากระอักเลือดคือ ผู้แข็งแกร่งแปดคนรอบๆ ต่างกระอักเลือด ตอนที่ถอยไป พลังโลหิตทั่วร่างไหลเวียนจนยากจะควบคุม โดยเฉพาะสองคนในนั้นที่เพิ่งก้าวสู่ขั้นกุมและยังอยู่ในช่วงต้น พวกเขาสองคนบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับกระเด็นออกจากแท่นดอกบัว

ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากก่อนยกมือขวาคว้าอากาศไป ทันใดนั้นทวนมุ่งสู่ชีวิตโผล่ขึ้นมาในมือ พริบตาเดียวทวนถูกแสงทองปกคลุม นี่คือลางบอกเหตุของ เคล็ดวิชาสังหารเทพที่เขาเรียนมา

“เข้ามาอีก!” ซูหมิงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง ขณะกล่าวอยู่นี้ หกคนที่เหลือรอบๆ นัยน์ตาล้วนฉายแววมุ่งมั่นในการต่อสู้อย่างเด่นชัด พวกเขาต่างเคลื่อนไหวพร้อมกัน แยกกันใช้อภินิหารที่แกร่งที่สุดของตัวเอง

ช่วงที่ห้อเหยียดเข้ามาใกล้ ซูหมิงยกเท้าขวาเดินหน้าหนึ่งก้าว ก่อนยกทวนมุ่งสู่ชีวิตในมือขึ้นปาไปข้างหน้าแบบง่ายๆ การปาครั้งนี้หากเปรียบทวนยาวเป็นกระบี่ใหญ่ เช่นนั้นนี่คือการฟัน!

ช่วงที่ปาทวนมุ่งสู่ชีวิตไป กฎรอบๆ พลันบิดเบี้ยว การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ทำให้แท่นดอกบัวแยกออกจากมวลอากาศรอบๆ ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ตัดขาดจากโลกข้างนอกอย่างสิ้นเชิง นี่คือพลังการตัดกฎชะตา ตัดการเชื่อมต่อของโลกข้างนอกกับที่นี่ และก็ตัดการเชื่อมต่อของขั้นพลังในร่างกายกับโลกภายนอกของหกคนนี้

การตัดชะตาแบบนี้เหมือนกับตัดแม่น้ำ ให้ทะเลใหญ่ไหลเวียนกลายเป็นทะเลมรณะ ทำให้หกคนนี้ยากจะใช้ขั้นพลังในพื้นที่นี้ราวกับถูกผนึกต้นกำเนิด!

ในเวลาเดียวกัน ช่วงที่ปาทวนไป ไม่ใช่แค่อากาศรอบๆ ถูกตัด ขณะที่ผู้ฝึกฌานหกคนต่างมีสีหน้าหวาดกลัว ก็มีภาพหลอนเด่นชัดว่าทวนที่ปาเข้ามาเหมือนยืดยาวไปอย่างไร้ขีดจำกัดจนกลายเป็นหกส่วนแยกกันพุ่งใส่ศีรษะทุกคน ไม่ว่ารอบๆ จะมีคนเท่าไรทุกคนจะต้องโดนทั้งหมด!

โครม!

ทันทีที่อภินิหารของหกคนปะทะกับทวนของซูหมิง ซูหมิงร่างสั่นสะท้าน โซเซถอยไปหลายก้าว ซ้ำยังกระอักเลือด แต่ในเวลาเดียวกัน ในหกคนนั้นมีสองคนกระอักเลือดพร้อมกับกระเด็นออกไปนอกแท่นดอกบัว ทั่วร่างปล่อยหมอกโลหิตเข้มข้นราวกับร่างจะระเบิด

ต่อมาสี่คนที่ยังอยู่บนแท่นดอกบัว มีสองคนรับทวนไม่ไหว กลิ่นอายพลังทั่วร่างปั่นป่วนอย่างรุนแรงและทยอยกันถูกเหวี่ยงออกไป

ซูหมิงแกว่งทวนเพียงครั้งเดียว สี่ในหกคนเสียพลังในการรบไป สองคนที่เหลืออยู่ตอนนี้หน้าขาวซีด สายตาที่มองซูหมิงมีความหวาดกลัวจนไม่อาจบรรยาย ชั่วขณะที่สองคนนี้กำลังลังเลว่าจะสู้ต่อดีหรือไม่ ทันใดนั้นมีแสงดำสว่างจ้ามาจากในร่างซูหมิงพร้อมกับเสียงเสียดสีดังกังวานไปข้างนอก

“แสงแก่นยมโลก!”

“นี่คือแสงแก่นยมโลก!” ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ ต่างร้องด้วยความตกใจ ถึงอย่างไรตอนที่ซูหมิงใช้ก่อนหน้านี้ก็เพื่อทำลายม่านแสงรอบๆ ขณะเดียวกับที่ ม่านแสงพังลง แสงแก่นยมโลกก็หายไปแล้ว ดังนั้นคนนอกจึงมองไม่เห็น แต่ตอนนี้ไม่มีม่านแสง จึงเห็นทุกอย่างบนแท่นดอกบัว แสงจากในร่างซูหมิงก็แสบตาอย่างยิ่ง!

เพียงแต่ผู้ฝึกฌานที่เห็นแสงนี้ต่างพากันตัวสั่น พวกเขายังเป็นเช่นนี้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงสองคนซึ่งเป็นหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งที่เหลืออยู่บนแท่นดอกบัว

แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงใช้แสงแก่นยมโลก พวกเขาตัวสั่นไปทั่วร่าง ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนถูกแช่แข็งในพริบตา หากเวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย สองคนนี้จะต้องบาดเจ็บสาหัสภายใต้แสงแก่นยมโลกแน่ๆ จิตใจจะสูญสิ้นไป ถึงขั้นวิญญาณเข้าสู่การหลับใหลชั่วนิรันดร์ไม่อาจตื่นขึ้นอีก

เงามืดมรณะปกคลุมสองคนนี้ แต่พวกเขากลับไม่มีแรงต่อต้าน….

แทบเป็นช่วงที่วิญญาณพวกเขาจะต้องหลับใหลชั่วนิรันดร์ แสงแก่นยมโลกกลับหายไปในพริบตา

“ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง” ซูหมิงเอ่ยเสียงเย็นชาดังก้อง สองคนบน แท่นดอกบัวตอนนี้พลันตัวสั่น จนเมื่อร่างกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วแล้วก็ประสานมือคารวะซูหมิงพร้อมกันด้วยใบหน้าซีดขาว ก่อนหมุนตัวถอยไปอย่างว่องไว ร่างเงา ซูหมิงในใจพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ทรงพลังไร้ที่เปรียบและไม่อาจเอาชนะได้ เงามืดนี้เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่พวกเขาไม่อาจข้ามผ่านได้ในชีวิตนี้

ศึกครั้งนี้สู้แปดคน นามของซูหมิงสะเทือนผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ อย่างรุนแรง ร่างเงาเขาที่ยืนอยู่บนแท่นดอกบัวเหมือนกับเซียนนักรบคนหนึ่ง ซ้ำยังกลายเป็น ตราประทับที่ไม่อาจลบออกในความคิดผู้ฝึกฌานสำนักดาราสัจธรรมสิบล้านคน

ซูหมิงถือทวนยาวในมือ ตอนนี้หน้าซีดขาว ก่อนหน้านี้เขาบาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้พอสู้กับแปดคนเสร็จก็บาดเจ็บหนักกว่าเดิม มีท่าทีเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่เล็กน้อย แต่เขากลับไม่สนใจ เพียงสายตากวาดมองทุกคน สุดท้ายก็มองเป้ยปังชายชราขั้นเกิดแวบหนึ่ง

แทบเป็นทันทีที่เขาอ้าปากจะพูดขึ้น หนึ่งในองค์ชายเก้าคนที่เหลือบนแท่นดอกบัวอื่นๆ กลับชิงเอ่ยขึ้นอย่างฮึกเหิมก่อนซูหมิง

“เต้าคง ข้าขอท้าประลองเจ้า!” สิ้นคำพูด องค์ชายคนอื่นต่างมีแววตาเป็นสมาธิ

“เต้าคง ตอนนี้เจ้ากล้ารับคำท้าประลองของข้าหรือไม่!”

“ไม่ผิด เต้าคง ในเมื่อเจ้าสร้างเรื่องราวใหญ่โตแบบนี้ สู้กับแปดในสิบผู้แข็งแกร่งสำนักดาราสัจธรรมได้ ตอนนี้กล้าสู้กับพวกเราองค์ชายหรือไม่!”

สิ้นเสียงก็มีคนสายตรงสำนักดาราสัจธรรมที่มีฐานะองค์ชายสี่คนกระโดดเข้ามาพร้อมกัน พุ่งตรงเข้าไปยังแท่นดอกบัวของซูหมิง หมายจะใช้จังหวะที่ซูหมิงบาดเจ็บในตอนนี้ร่วมมือกันสังหาร

เรื่องนี้เดิมทีเป้ยปังชายชราขั้นเกิดควรจะห้าม แต่ดวงตาเขากลับแวววาว เงียบไปราวกับไม่เห็น

ส่วนผู้อาวุโสสำนักสามท่านข้างหลัง นอกจากชายชราหน้าดำแล้ว อีกสองคนขมวดคิ้ว แต่เห็นเป้ยปังทำเหมือนกับไม่เห็น จึงมองตากันและกันแล้วเกิดความลังเลขึ้น

ชายชราหน้าดำยิ้มเยาะในใจ เขาค่อนข้างมีความสุขที่ได้เห็นแบบนี้มาก ดวงตาวาววับ มองเต้าฝ่าชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าอบอุ่นมาตลอดในองค์ชายเก้าคนแวบหนึ่งอย่างตามอำเภอใจ

เต้าฝ่าเงียบ จากนั้นเดินหน้าหนึ่งก้าว

“เต้าคง เจ้ากล้าสู้กับพวกข้าหรือไม่!” ช่วงที่เขาเอ่ยออกไป ในใจนึกเย้ยเยาะเล็กน้อย เรื่องนี้ไม่ใช่นิสัยเขาเลย แต่ว่า…ซูหมิงแกร่งเกินไป คนแกร่งแบบนี้ยังเป็นองค์ชายอีก นี่จึงสร้างอำนาจคุกคามให้อย่างยิ่ง

แทบเป็นขณะเดียวกับที่เต้าฝ่าเดินออกมา เต้าหลินผู้เคร่งขรึมดวงตาแวววาวและก็กระโดดตามไปเช่นกัน

เหตุการณ์นี้คือองค์ชายเก้าคนสู้กับซูหมิงพร้อมกัน ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ มีสีหน้าต่างกัน บ้างเย้ยเยาะ บ้างตื่นเต้นที่ได้ดูอะไรสนุกๆ บ้างขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง

หลากหลายอารมณ์ส่งผลให้เสียงอื้ออึงดังสนั่นขึ้น

ซูหมิงยืนอยู่บนแท่นดอกบัว สายตามองร่างเงาองค์ชายเก้าคนห้อเหยียดเข้ามา มุมปากยกยิ้มเยาะก่อนออกแรงที่ทวนมุ่งสู่ชีวิตในมือขวาเล็กน้อย ทันใดนั้นในร่างกายส่งความเจ็บปวดมา นั่นคือลางสังหรณ์อาการบาดเจ็บกำเริบ

แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ หากซูหมิงต้องการ เขามีความมั่นใจว่าจะสังหารเก้าคนได้ในการโจมตีครั้งเดียว

แต่ช่วงที่ซูหมิงกำทวนมุ่งสู่ชีวิตและองค์ชายเก้าคนพุ่งเข้ามานั้น กลับมีเสียงทะลวงมวลอากาศอย่างรุนแรงดังแว่วมาจากอากาศไกลๆ เสียงนี้คือเสียงทะลวงอากาศของคนคนหนึ่งด้วยความเร็วทั้งหมด

เสียงนี้ลากยาวแหลม พริบตาเดียวก็ห้อเหยียดจากที่ไกลๆ เข้ามา ในนั้นเป็น ชายชราคนหนึ่ง ซึ่งก็คือคนที่กลับมาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต เขารวดเร็วอย่างยิ่ง สีหน้ายังมีความตกใจกลัว ตอนที่เข้ามาใกล้ ชายชราหน้าดำที่รออยู่มาตลอดก็เห็นเขาทันที

ชายชราหน้าดำมองแวบหนึ่งก็เห็นความกลัวในตัวเขาจึงยิ้มโดยพลัน ในมุมมองเขา สีหน้าแบบนี้แสดงว่าอีกฝ่ายต้องพบเรื่องใหญ่ยิ่งในทะเลดาราต้นกำเนิดจิตแน่นอน เรื่องนี้ก็คือความลับที่ขั้นพลังเต้าคงพุ่งทะยานขึ้นสูง

อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ที่ทำให้เขาหวาดกลัวไม่ใช่ธรรมดา

สายรุ้งยาวเข้ามาใกล้ เดิมทีไม่ได้สร้างความสนใจของคนมากนัก แต่คนจากในสายรุ้งพุ่งเข้าไปหาชายชราหน้าดำอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ข้ามีรายงานลับจะบอกกับท่านผู้อาวุโสสำนัก!”

ท่ามกลางเสียงดังก้อง เป้ยปังขมวดคิ้ว ขณะกำลังจะพูดอะไรนั้น ชายชราหน้าดำหัวเราะเสียงดัง แล้วเดินไปพลางพูดเสียงดัง

“เต้าคงคนนี้ เมื่อพันปีก่อนขั้นพลังอยู่ที่เจ้าปกครองโลกตอนกลาง แต่พันปีต่อมา กลับมาจากแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตแล้วกลับแกร่งขนาดนี้ เรื่องนี้เป็นโชคดีของสำนักดาราสัจธรรมเรา แต่ข้าอยากรู้มากเหมือนกันว่าเขาผ่านอะไรมากันแน่ถึงได้แกร่งขนาดนี้ ถึงได้มีขั้นพลังระดับนี้ ดังนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ข้าจึงส่งคนไปแดนต้นกำเนิดจิต ตอนนี้เขากลับมาแล้ว และยังนำข่าวกลับมาด้วย ก่อนหน้านี้ข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน เพราะข้าอยากจะฟังพร้อมๆ กับทุกคน องค์ชายคงได้โชควาสนาใดในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตกันแน่!” ชายชราหน้าดำใช้คำพูดเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง ชั่วขณะที่พูดออกไป ก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ ในระดับสูง

ความจริงพวกเขาก็สงสัยมาก่อนแล้วเหมือนกัน ต่อให้เป็นคนที่ไม่สงสัย ตอนนี้ก็ต่างเข้าใจขึ้นมา

“ใช่ เพราะเหตุใดกันแน่องค์ชายเต้าคงถึงแกร่งขนาดนี้?”

“ไม่ผิด เว้นเสียแต่….ยึดร่าง? มิเช่นนั้นแล้ว เพียงพันกว่าปีไม่มีทางที่ขั้นพลังจะพุ่งพรวดขึ้นถึงขนาดนี้!”

“หากได้รับโชควาสนาจริงๆ บางทีพวกข้าอาจจะไปลองเอาบ้าง ถึงอย่างไรการเพิ่มของขั้นพลังก็น่าอัศจรรย์ไปจริงๆ”

ชายชราเป้ยปังดวงตาแวววาว เขาไม่ขวาง เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเต้าคงผ่านอะไรมาในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต!

“ผู้อาวุโสสำนัก…ข้า…” ชายชราจากสายรุ้งยาวตอนนี้ใจสั่นสะท้าน ความร้อนรนมากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าพูดมาเถอะ!” ชายชราหน้าดำใจสั่นไหว สีหน้าอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อย แต่ตอนนี้มาถึงขนาดนี้แล้ว เขาเชื่อการตัดสินใจของตน ดวงตาจึงขยับประกายวาวและเอ่ยออกไปอย่างเด็ดขาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!