Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1100

ตอนที่ 1100 ดวงตานั้น 4

ซูหมิงเดินไปทีละก้าว เหยียบบนขั้นบันไดแท่นบวงสรวง จนกระทั่งมายืนอยู่บนแท่นบวงสรวง เขาก้มหน้าลงมองวงแหวนอาคมที่รวมขึ้นจากอักขระนับไม่ถ้วนเป็นวงๆ บนแท่นใต้เท้าแวบหนึ่ง

เงียบ

ร่างเงาในแดนปิดด่านนั่งฌานของเต้าเฉินที่เชื่อมกับแท่นบวงสรวงก็เงียบ

เวลาผ่านไปจนหนึ่งก้านธูป เต้าหลินกับเต้าหวามีสีหน้าสงสัย เทียบกับพวกเขาที่ยืนกลางแท่นบวงสรวงแล้วจะรู้สึกถึงดวงจิตของบรรพบุรุษเต้าเฉินได้ในทันทีแล้วนั้น เต้าคงในตอนนี้ดูปกติ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์ใดๆ เลย

ซังที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ มีสีหน้าปลงอนิจจัง เขาถอนหายใจทีหนึ่งแล้วยืนขึ้น จากนั้นสะบัดแขนเสื้อโดยไม่กล่าวสิ่งใด ม้วนเต้าหลินกับเต้าหวารวมถึงตนออกไปจากที่นี่ทันที เหลือไว้เพียง….ซูหมิง

หลังจากที่ซังม้วนพาเต้าหลินกับเต้าหวาสองคนจากไปแล้ว ก็ผ่านไปอีกสิบกว่า ลมหายใจ ทันใดนั้นมวลอากาศรอบตัวซูหมิงเกิดการบิดเบี้ยว แม้แต่ร่างกายเขายังเลือนราง ในเวลาเดียวกันมีพลังมหาศาลปรากฏขึ้นจากมวลอากาศพุ่งตรงไปยังดอกบัวอุดมสมบูรณ์ของซูหมิง เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ใช้เปิด เสื้อคลุม

ทว่าช่วงที่พลังจะปะทะกับเสื้อคลุมซูหมิง เขากลับเงยหน้าขึ้นแล้วถอยหลังไปด้วยสีหน้าเย็นชาหนึ่งก้าว ขั้นพลังในร่างกายยังแผ่ขยายออกตาม ก่อนเข้าปะทะกับพลังมหาศาลนั้น

เกิดเสียงโครมดังขึ้น ซูหมิงถอยไปสามก้าว ขวางพลังมหาศาลไม่ให้เปิดเสื้อคลุมตนเอาไว้

“ไม่ต้องให้ท่านเปิด” น้ำเสียงซูหมิงเย็นชา ขณะกล่าวดวงตายังวาววับ จากนั้นมีพลังย้อนเวลาส่งมาจากตัวเขา นี่คืออภินิหารพรสวรรค์ของเผ่ายมโลก และเสื้อคลุม ตัวนี้ก็มีเพียงอภินิหารของเผ่ายมโลกที่เปิดใช้ได้เท่านั้น

บอกว่ามันเป็นดอกบัวอุดมสมบูรณ์ แต่ความจริงช่วงที่สวมมันซูหมิงก็สังเกตเห็นแล้วว่าเสื้อคลุมตัวนี้สร้างขึ้นจากพลังพรสวรรค์เผ่ายมโลก

หากเขาอยากเปิดก็เปิดเองได้

ครั้นเปิดดอกบัวอุดมสมบูรณ์แล้ว ก็เกิดเสียงดังกึกก้อง แสงสว่างจ้าเปล่งมาจากในเสื้อคลุม กลายเป็นดอกบัวสิบแปดดอกล้อมรอบเขาเอาไว้ ทำให้ที่นี่เกิดเป็นลำแสงเลิศล้ำส่องไปรอบๆ

เสียงถอนหายใจดังแว่วมาจากในอากาศ ขณะเดียวกับที่เสียงถอนหายใจดังกังวาน มีพลังชีวิตมหาศาลอีกชนิดเข้ามา พลังชีวิตพุ่งไปหาซูหมิง นี่คือโชควาสนาที่จะมอบให้เขาซึ่งจะช่วยให้ขั้นพลังสูงขึ้น

ซูหมิงถอยไปอีกครั้งเงียบๆ

“ขั้นพลังข้า ถึงมีไม่น้อยที่ข้าไม่ได้มาเอง แต่แม้จะเป็นพลังภายนอก แต่ข้าก็ จ่ายด้วยราคาเกือบเอาชีวิตไม่รอดเพื่อได้โชควาสนาเหล่านั้นมา พลังชีวิตของท่าน ล้ำค่านัก ข้า…..รับไว้ไม่ได้

ขอตัว” ซูหมิงหมุนตัวกลับแล้วเดินลงแท่นบวงสรวงไปทีละก้าว ตอนนี้เขาไม่มีความกังวลอีก และก็ไม่มีความซับซ้อน ความรู้สึกต่างๆ กลายเป็นความโกรธไร้รูปนานแล้ว

ความโกรธฝังลึก

“หมิงเอ๋อร์…..” จังหวะที่ซูหมิงหมุนตัวกลับเดินไปก้าวที่สาม มีเสียงถอนหายใจดังมาจากมวลอากาศขึ้นข้างหู เสียงนี้นุ่มนวลมาก และยังมีการขอโทษ ช่วงที่เสียงดังก้อง ซูหมิงหยุดชะงัก

เขาหลับตาลง ในเวลาเดียวกันวงแหวนอาคมบนแท่นบวงสรวงพลันสว่างวูบ จนเมื่อแสงสว่างจ้าพร่างพราว พลันปรากฏพลังเคลื่อนย้ายขึ้นกลบร่างซูหมิงเอาไว้ภายใน

ตอนที่ซูหมิงลืมตา เขามาอยู่ในห้องลับที่ล้อมไว้ด้วยหมอกจาง ห้องลับใหญ่มาก มองผ่านหมอกไปจะเห็นว่าตรงหน้ามีร่างเงาหันหลังให้เหมือนกำลังนั่งสมาธิ ในตัวเขามีกลิ่นอายเสื่อมโทรมและแก่ชรารวมถึงกลิ่นอายมรณะแผ่กระจายมาอย่างเข้มข้น

ซูหมิงในตำแหน่งนี้มองไม่เห็นปิ่นปักผมกับกลองป๋องแป๋งที่วางอยู่ตรงหน้าร่างเงานั้น และก็ไม่เห็นร่างกายที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมกำลังเหม่อมองกลองป๋องแป๋ง ภายในแววตามีความรู้สึกผิด

หากซูหมิงเห็นกลองป๋องแป๋งนั้น บางทีเขาอาจจะนึกออกว่านั่นคือของเล่นที่เขาเห็นจากสหายคนอื่นในตอนยังเยาว์วัย จนต้องขอร้องให้ท่านปู่ทำให้เขาอันหนึ่ง วันต่อมา ตอนที่ท่านปู่มอบกลองป๋องแป๋งอันนี้ให้เขา ตอนนั้นเขามีความสุขติดกันไปหลายวันเลย

จนหลายปีต่อมา พอซูหมิงเติบใหญ่ขึ้น พอชอบไปปีนเขาและไปหาสหายอย่างเสี่ยวหง กลองป๋องแป๋งก็ถูกเขาลืมไป ถูกโยนไว้ที่ใดสักแห่ง

แต่เขาน่าจะจำได้ เพราะกลองป๋องแป๋งนี้คือของเล่นชิ้นแรกที่ท่านปู่ให้เขาและก็เป็นเพียงชิ้นเดียว

ตอนที่หมุนกลองป๋องแป๋งนั้นจะเกิดเสียงดังตุงๆ น่าจะทำให้เขารู้สึกไม่ต่างอะไรกับของเล่นอื่นๆ…..

เขาเงียบ ซูหมิงก็เงียบเช่นกัน แต่สุดท้ายซูหมิงก็ทำลายความเงียบลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วประสานมือคารวะร่างเงานั้น

“เต้าคง คารวะท่านบรรพบุรุษ” เสียงเขาดังก้องในห้องลับ เกิดเสียงสะท้อนดังอยู่นานไม่หายไป

“ข้าคือบรรพบุรุษแห่งสำนักดาราสัจธรรม ไม่ใช่…..บรรพบุรุษของเจ้า” ผ่านไปพักใหญ่ เสียงแหบแห้งดังแว่วมาจากร่างเงา ซูหมิงมองไม่เห็นมือที่สัมผัสกลอง ป๋องแป๋งว่ากำลังสั่นเล็กน้อย

“เจ้าน่าจะรู้แล้ว ด้วยพรสวรรค์เผ่ายมโลกของข้า ด้วยสติปัญญาของบุตรข้า ซูเซวียนอี เจ้ากลับมาสำนักดาราสัจธรรม นั่นหมายความว่าเจ้าเข้าใจแล้ว…..

ข้าคือบรรพบุรุษเต้าเฉิน และข้าก็คือซูเซวียนอี และก็เป็น….บิดาของเจ้า!” ตอนที่เสียงของร่างเงาดังมาถึงช่วงสุดท้าย ต่อให้เขามีขั้นพลังไม่อาจจินตนาการตอนนี้เสียงก็ยังสั่น

“ท่านบรรพบุรุษพูดเล่นแล้ว” ซูหมิงเงียบ เขาส่ายศีรษะแล้วหมุนตัวเดินไป ข้างหลัง ในใจก็ส่งกระแสจิตถึงกระเรียนขนร่วงให้มันพาตนออกจากที่นี่ เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่นิด

ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ซูหมิงก็เคยคิดไว้ว่าหากเจอกับซูเซวียนอีแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เขาเคยกังวล เคยสับสน และก็เคยซับซ้อน แต่ตอนที่มาเจอร่างเงานี้จริงๆ เขาพบว่าต่อให้ใคร่ครวญมากกว่านี้อีก ต่อให้สงบนิ่งมากกว่านี้อีก ก็ยังไม่อาจยับยั้งความโกรธในใจไม่ให้มันออกมาได้

เขาโกรธแค้นอีกฝ่าย แค้นลงลึกจนไม่มีทางเขาที่จะมองข้ามไปได้

“เจ้า…..” ร่างเงานั้นตัวสั่น ซูหมิงมองไม่เห็นหน้าเขา ตอนนี้มือที่สัมผัสกลองป๋องแป๋งสั่นแรงขึ้นอีก ความเสียใจเผยมาจากอาการสั่น

“ข้าจะชดเชยให้ หมิงเอ๋อร์ ในใจเจ้ารู้ดี เจ้าน่าจะรู้ถึงความเจ็บปวดของข้า ข้า….”

“ท่านบรรพบุรุษ ท่านหมดเรื่องแล้วรึยัง?” ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวกลับไปมองร่างเงานั้นอย่างเย็นชา ในใจเกิดความดื้อรั้น

“ท่านเป็นท่าน ข้าก็เป็นข้า ท่านจะเป็นเต้าเฉินหรือซูเซวียนอีก็ช่าง ท่านก็ยังเป็นท่าน ข้าก็ยังเป็นข้า! ท่านดำเนินแผนการของท่านต่อเถอะ แต่อย่าเอาข้าเป็นตัวหมากอีก วันนี้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ท่าน แต่เมื่อตัวหมากเติบใหญ่ สักวันหนึ่งข้าจะเหนือกว่าท่าน

ท่านเป็นท่าน ข้าก็เป็นข้า ท่านมีแผนการของท่าน ข้าก็มีเส้นทางของข้าเหมือนกัน!” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ตอนที่หมุนตัวกลับ กระเรียนขนร่วงไม่ได้รบกวน ซูหมิงอย่างพบเห็นได้ยาก แต่สังเกตเห็นว่าบรรยากาศที่นี่มันพิลึกมาก มันจึงปล่อยพลังแบบว่าง่าย ทำให้ตอนที่ซูหมิงเหยียบเท้าลงสองข้างปรากฏระลอกคลื่นขึ้น จากนั้นจึงใช้พลังของกระเรียนขนร่วงฝืนออกจากสถานที่ที่ทำให้ในใจกลัดกลุ้มและโกรธอย่างน่าประหลาดแบบนี้

เขากลัวว่าหากตนอยู่ต่อจะระงับความโกรธไม่ไหว จนทำให้อีกด้านหนึ่งของนิสัยปะทุออกมา

“เจ้าแซ่ซู นามของเจ้า ปู่เจ้าเป็นคนตั้งให้ ในกายเจ้ามีสายเลือดเผ่ายมโลกไหลเวียน นี่คือความจริงที่เจ้าเปลี่ยนไม่ได้ พ่อเข้าใจความโกรธของเจ้า ข้าจะใช้อนาคตมาชดเชยให้เจ้าเอง ข้า…..” ร่างเงานั้นกล่าวด้วยความขมขื่น แต่ยังกล่าวไม่จบซูหมิงหยุดชะงักอีกครั้ง อีกทั้งยังสลายระลอกคลื่นใต้เท้าออก เส้นผมพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ดวงตาฉายแววบ้าคลั่ง นี่คือซูหมิงในร่างนิสัยทำลายล้าง

เพียงแต่ว่าซูหมิงผมแดงในครั้งนี้ สิ่งที่เขาอยากระบายไม่ใช่การเข่นฆ่าและทำลายล้าง แต่เป็นความแค้นไม่มีสิ้นสุดตรงส่วนลึกในใจ ตอนที่กลายเป็นผมแดง เขาหัวเราะเสียงดัง

เขาหมุนตัวกลับมาจ้องร่างเงานั้น เสียงหัวเราะยังคงดังก้อง เส้นเลือดฝอย เต็มดวงตา ความบ้าคลั่งเด่นชัดยิ่ง

“ชดเชย? ชดเชยง่ายๆ อย่างนี้รึ ตอนข้ายังเยาว์วัย ข้าเคยถามว่าบิดามารดาข้าอยู่ที่ใด แต่ท่านปู่เงียบ ข้าลังเลและหวาดกลัว จากนั้นมาข้าก็ไม่เคยถามคำถามนี้อีกเลย ท่านอยู่ที่ใด? จะชดเชยอย่างไร?

ตอนที่ข้าเห็นสหายคนอื่นๆ มีบิดามารดา ทุกวันหลังอาทิตย์ตกดินต่างกลับไปในกระโจมบ้านตัวเอง มีแต่ข้าที่ต้องอยู่ในเรือนบ้านคนเดียว ตอนที่มองแสงจันทร์เงียบๆ ท่านอยู่ที่ใด? ท่านจะชดเชยอย่างไร?

ตอนข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม มองฟ้าบนภูเขาทมิฬหลายต่อหลายครั้ง เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งที่บิดามารดาข้ามารับข้าไป ท่านอยู่ที่ใด ท่านจะชดเชยอย่างไร!

ตอนที่ข้าถูกสหายคนอื่นรังแก ตอนที่ข้าถูกหัวเราะเยาะว่าไม่มีบิดามารดา ทุกครั้งตอนที่เหลยเฉินช่วยข้าทุบตีพวกเขา ท่านอยู่ที่ใด ท่านจะชดเชยให้อย่างไร!

ชดเชย คิดจะชดเชยง่ายๆ อย่างนั้นรึ คำสองคำง่ายๆ ท่านคิดว่ามันจะลบล้างความแค้นของข้าได้รึ?

น่าหัวเราะ น่าขำมาก หลอกลวงที่สุด ข้าอยากถามท่านหน่อย ซูเซวียนอี ตอนที่ข้ารู้ว่าทุกอย่างข้างกายข้าเป็นของปลอมถูกคนสร้างขึ้น ความเสียใจและสับสนของข้าในตอนนั้นท่านจะชดเชยให้อย่างไร!

ตอนที่ข้าพบว่าที่แท้ข้าก็ผ่านวัฏจักรภูเขาทมิฬมาแล้วสามสิบกว่าครั้ง ความรู้สึกนั้น ความรู้สึกถูกทุกคนหลอก ท่านจะชดเชยให้อย่างไร!

ตอนที่ข้ารู้ว่าข้าตอนอยู่ภูเขาทมิฬเป็นเพียงวิญญาณดวงหนึ่ง ร่างกายข้าถูกคนนำไปเป็นดวงตาแห่งวงแหวนอาคม ตอนที่ถูกคนอื่นใช้งาน ความหนาวเหน็บใน เงามืดนั้นท่านจะชดเชยให้อย่างไร!

ตอนที่ตี้เทียนวางแผนต่อข้าหลายต่อหลายครั้ง ควบคุมชะตาชีวิตข้าหลาย ต่อหลายครั้ง ท่านอยู่ที่ใด ท่านยังไม่คู่ควรจะพูดคำว่าชดเชย!

ตอนที่ข้าถูกบีบให้ออกจากภูเขาทมิฬ ไปแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ต้องนอนอยู่บนดาวแดงเพลิงเหมือนกันศพ ท่านไปอยู่ที่ใด?

แต่ที่น่าหัวเราะกว่าคือตอนที่ข้าบอกกับตัวเองว่าบิดามารดาข้าไม่อยู่แล้ว ในความเจ็บปวดข้ากลับพบว่านางกำลังกอดข้า ให้ข้ารู้สึกถึงความอบอุ่นของมารดา

แต่ท่านล่ะ ไปอยู่ที่ใด ท่านให้เด็กคนหนึ่งที่คิดว่าไม่มีบิดามารดารู้ว่าจริงๆ แล้วตนไม่ใช่เด็กกำพร้า นี่ไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือดีใจ ท่านไม่เคยรู้สึกเลยไม่รู้ แต่ข้ารู้ นี่คือ….ความเจ็บปวดและสับสนที่สุด!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!