Chapter 5
ลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ
เฉินมู่อิ๋งเห็นสีหน้าเดือดดาลของอาจารย์หยางก็นึกรู้ทันทีว่า ตัวเองคงไปแตะต้องของหวงของอีกฝ่ายเข้าแล้วแน่ๆ เขารีบยิ้มแหยๆ “อาจารย์ คือข้าหิว ข้าก็เลยจับปลามากินขอรับ”
“เจ้าหิว! เจ้าก็เลยจับปลาไฉ่หงที่ข้าอุตส่าห์เลี้ยงมาตั้งร้อยกว่าปีกินเนี่ยนะ!” หยางซีหยุนตวาดอย่างโมโหเดือดดาล เขาทิ้งตะเกียบแล้วยื่นมือไป เฉินมู่อิ๋งเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหนีทันที “อาจารย์! ข้าผิดไปแล้ว ท่านอภัยให้ข้าด้วยขอรับ”
“เจ้าเด็กเลว!” หยางซีหยุนตวาดพลางวาดอาคมผนึกแล้วปล่อยให้อาคมผนึกไล่ตามเจ้าศิษย์ตัวดีไป เฉินมู่อิ๋งวิ่งหนีสุดฝีเท้า เขายังไม่ได้ศึกษาตำราอาคมเลย เขาไม่มีทางแก้อาคมนี้ของอาจารย์หยางได้ เขาเห็นผนึกอาคมไล่กวดมา เขาจึงวิ่งหนีไปอย่างไร้ทิศทาง แต่หนีไปได้ราวๆ ครึ่งภูเขาเขาก็หนีไม่พ้นถูกอาคมผนึกเอาไว้จนตัวแข็งทื่ออีกครั้ง เขาได้แต่กัดฟันกรอดๆ ในใจ เห็นทีต้องรีบศึกษาอาคมนี้แล้ว!
“หนี! หนีอีกซิเจ้าเด็กเลว!” หยางซีหยุนตามมาถลึงตาใส่อย่างโมโหเดือดดาล เขาคว้าคอเสื้อเฉินมู่อิ๋งแล้วลากกลับไปที่เรือนไผ่ของเขา จับขาเฉินมู่อิ๋งมัดห้อยหัวกับต้นไผ่ เฉินมู่อิ๋งมองอย่างสำนึกผิด เขาส่งสายตาขอโทษ แต่อาจารย์หยางก็ไม่สนใจเลย นั่งลงมองดูเฉินมู่อิ๋งถูกมัดห้อยหัวเหมือนค้างคาวอย่างสะใจ “ปลาไฉ่หงของข้าตัวนึงมีค่ามหาศาล เจ้ากลับเอาไปกินเสียนี่ ข้าต้องลงโทษเจ้าให้เข็ดหลาบ”
เฉินมู่อิ๋งอยากบอกยิ่งนักว่า ‘ก็ข้าไม่รู้นี่นา ถ้าท่านบอกข้าก่อนข้าจะไปจับมันมากินเรอะ!’ แต่เขาก็พูดไม่ได้เพราะถูกอาคมผนึกเอาไว้จนอ้าปากไม่ได้ คราวนี้เป็นเขาผิดเองที่ไปจับปลานั่นมากิน เขาจึงยอมรับการลงโทษครั้งนี้อย่างไม่ต่อต้าน ได้แต่หวังว่าอาจารย์จะไม่ลงโทษเขานานนักเท่านั้นเอง
“หึ!” หยางซีหยุนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เขานั่งมองพลางรินชาแล้วยกขึ้นจิบ พลันมีผีเสื้อแสงบินมา เขาแบมือรับผีเสื้อแสงตัวนั้น ผีเสื้อแสงเกาะที่มีของเขาแล้วกลายเป็นตัวอักษรลอยอยู่บนฝ่ามือของเขา เขาอ่านตัวอักษรพวกนั้นแล้วลุกขึ้นเอากระบี่เซียนออกมา ขี่กระบี่เซียนบินออกจากเขาไผ่ มุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาหลักของสำนัก
เฉินมู่อิ๋งได้แต่มองอาจารย์หยางที่หายลับไปจากสายตาอย่างอึ้งๆ เขาต้องถูกแขวนห้อยหัวเช่นนี้นานเท่าไหร่เนี่ย? แล้วอาจารย์หยางจะกลับมาตอนไหน? เพราะบนยอดเขาไผ่นี้มีเพียงเขากับอาจารย์หยางอาศัยอยู่แค่ 2 คน คนอื่นก็ไม่กล้าขึ้นเขามาเพราะกลัวอาจารย์หยางกันทั้งนั้น
ณ ยอดเขาหลัก เมื่อหยางซีหยุนไปถึง หรงเจ๋อก็รีบบอกว่า “อาจารย์หยาง สำนักเทียนเต๋าขอให้ท่านไปช่วยผนึกเหวอเวจี…”
“โอ!” หยางซีหยุนอุทานเลิกคิ้วขึ้นในดวงตามีความเคร่งเครียดปรากฏขึ้น จากนั้นเขาก็รีบขี่กระบี่บินไปสำนักเทียนเต๋าทันที หรงเจ๋อรีบขี่กระบี่บินตามไป เขารู้ความสำคัญของผนึกเหวอเวจีเช่นกัน หากผนึกพังทลายพลังชั่วร้ายที่อยู่ในเหวอเวจีคงออกมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแน่นอน
กว่าหยางซีหยุนจะผนึกเหวอเวจีสำเร็จเวลาก็ผ่านไปถึง 10 วันเลยทีเดียว เขากับหรงเจ๋อขี่กระบี่บินกลับสำนักอย่างอ่อนล้ายิ่งนัก เมื่อถึงสำนักหรงเจ๋อก็รีบกลับยอดเขาของตัวเองไปพักผ่อนทันที หยางซีหยุนก็กลับเขาไผ่เช่นกัน เมื่อไปถึงเรือนไผ่ของเขา เขาเห็นเฉินมู่อิ๋งถูกมัดห้อยหัวอยู่เขาก็เบิกตากว้าง! เขาลืมเรื่องศิษย์ของเขาไปเสียสนิทเลย เขารีบร่อนลงพื้นใช้กระบี่เซียนตัดเชือกฉับ!
เฉินมู่อิ๋งก็ร่วงลง หยางซีหยุนพุ่งเข้าไปรับร่างเฉินมู่อิ๋งอย่างรู้สึกผิด เขาอุ้มร่างผอมบางไว้ในอ้อมแขน คลายผนึกอาคมให้ทันที เฉินมู่อิ๋งที่ไม่ได้สติมาหลายวันเพราะถูกห้อยหัวอยู่ตั้งหลายวันจนปวดหัวมึนงงไปหมด อีกทั้งยังหิวจนไม่มีแรงอีกด้วยทำให้ร่างกายเขาขาดทั้งน้ำและอาหาร เรียกว่าอาการหนักทีเดียว เขาเผยอตาลืมขึ้นนิดหนึ่ง เห็นเงารางๆ แวบหนึ่งแล้วก็สลบไปอีกครั้ง
หยางซีหยุนมองริมฝีปากที่แห้งผากแตกระแหง ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะถูกห้อยหัวจนเลือดไหลไปรวมกันที่ศีรษะ ที่จมูกและใบหูมีเลือดไหลซึมออกมา เขายิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เขาอุ้มเฉินมู่อิ๋งเข้าไปในเรือนไผ่ของเขา วางร่างผอมบางลงบนเตียงแล้วใช้ผ้าเช็ดคราบเลือดที่จมูกกับใบหูให้อย่างเบามือ
“เหวยซือขอโทษ” เขาพูดพึมพำเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุง มือก็เช็ดๆ เลือดออก แต่มีคราบแห้งกรังทำให้ผ้าแห้งเช็ดออกไม่หมด เขาจึงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นแตะน้ำแล้วค่อยๆ เช็ดคราบเลือดออกให้ ใบหน้าเฉินมู่อิ๋งตอนนี้ไม่แดงก่ำแล้วแต่ขาวซีดอย่างยิ่ง ขาวซีดราวกับคนเจ็บหนักอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งรวมกับรูปร่างที่ผอมแห้งด้วยแล้วยิ่งส่งให้สภาพของเขาราวกับคนเจ็บหนักปางตาย หยางซีหยุนเอาโอสถออกมาเม็ดหนึ่งแล้วจับปากเล็กๆ นั้นบีบอ้าออก เขายัดโอสถเข้าไป เม็ดโอสถค้างอยู่ตรงคอหอยไม่ได้ไหลลงไปเพราะในลำคอแห้งผากอย่างยิ่ง เขาปล่อยมือแล้วนั่งมองอย่างเป็นห่วง
สักพักเฉินมู่อิ๋งก็มีอาการหน้าเขียวหายใจติดขัดขึ้นมา หยางซีหยุนตกใจ “เจ้าเป็นอะไร?”
เขาจับปากเฉินมู่อิ๋งบีบอ้าออก มองเข้าไปในปาก เห็นเม็ดโอสถยังค้างอยู่ตรงคอหอยก็ตกใจมากขึ้น “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ล่ะ?”
เขาหลอมโอสถได้แต่เขาไม่ได้เป็นหมอจึงไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์การรักษาอาการเจ็บป่วย เขาแหย่นิ้วเข้าไปจนสุดนิ้ว แต่เม็ดโอสถก็ยังไม่ไหลลงไป นิ้วเขาก็ดันไม่ถึงเม็ดโอสถแล้ว มันค้างอยู่ในลำคออยู่อย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งยิ่งมีอาการหายใจติดขัดมากขึ้นเพราะเม็ดโอสถอุดอยู่ตรงเส้นหลอดลม ใบหน้าค่อยๆ เขียวคล้ำขึ้นเรื่อยๆ หยางซีหยุนร้อนรนไม่รู้จะทำเช่นไรดี เขาหันไปเห็นน้ำจึงเอาน้ำกรอกปาก แต่น้ำก็ไม่ไหลเข้าไปเพราะเม็ดโอสถขวางกั้นอยู่ น้ำหกเลอะหมอน เขายิ่งร้อนรนทำอะไรไม่ถูก “ไอหยา! นี่จะทำอย่างไรดี?”
เขาคิดๆ อึดใจต่อมาเขาก็จับปากเฉินมู่อิ๋งอ้าออกแล้วประกบปากเป่าลมเข้าไป ฟู่!
เม็ดโอสถขยับลงไปลึกขึ้น แต่ก็ยังไม่ลึกมากพอ เขาจึงเป่าลมเข้าไปอีกหลายๆ ที ฟู่!ๆๆๆๆ…
จนกระทั่งเม็ดโอสถไหลลงไปในหลอดอาหาร สีหน้าเฉินมู่อิ๋งก็ดีขึ้นทันตา หายใจได้เป็นปกติ เพียงแต่ว่าลมหายใจอ่อนเบายิ่งนัก หยางซีหยุนถอนปากออก เขารู้สึกกระอักกระอ่วนพิกล เขามองใบหน้าที่ไม่เขียวคล้ำแล้วเปลี่ยนมาเป็นขาวซีดเช่นเดิมทำให้เขาเบาใจขึ้นมานิดหนึ่ง “เฮ้อ…”
เขาตั้งใจแล้วว่าต่อไปจะไม่จับศิษย์มัดห้อยหัวอีกแล้ว เขามองริมฝีปากที่แห้งผากแตกระแหงจึงค่อยๆ เอาน้ำป้อนใส่ปากทีละนิด…ทีละนิด เขามองๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป ขี่กระบี่บินไปทางยอดเขาของอาจารย์จงฮ่วน
เมื่อไปถึงยอดเขาของอาจารย์จงฮ่วน ศิษย์ของอาจารย์จงฮ่วนก็รีบกุมมือคารวะ “ท่านอาจารย์หยาง”
“อาจารย์จงล่ะ?” หยางซีหยุนถาม ศิษย์ยังคงกุมมือตอบ “ท่านอาจารย์กำลังสอนอยู่ขอรับ”
หยางซีหยุนก้าวไปที่ห้องโถงทันที เขาเห็นอาจารย์จงกำลังสอนลูกศิษย์อยู่ อาจารย์จงเห็นอาจารย์หยางเดินมายังไม่ทันจะทักทายอะไร จู่ๆ อาจารย์หยางก็ก้าวมาถึงตัวเขาแล้ว ทั้งยังกุมข้อมือเขาลากออกไปอีกด้วย
“ตามข้ามา” หยางซีหยุนบอกน้ำเสียงร้อนใจ จงฮ่วนเดินตามไป “มีอะไรรึ?”
“ตามมาเถอะ” หยางซีหยุนบอกแล้วลากอาจารย์จงออกจากห้องโถงพาขี่กระบี่เซียนของเขาไปด้วยกัน จงฮ่วนได้แต่ตามไปโดยดีไม่กล้าขัดขืน เพราะอีกฝ่ายดูร้อนใจพิกล แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกระมัง
“อา…” พวกลูกศิษย์ที่กำลังเรียนอยู่ก็ปากอ้าตาค้างมองตามอาจารย์ทั้งสองไปอย่างงงๆ “นั่นท่านอาจารย์ไปไหนรึ?”
“จะไปรู้รึ” ศิษย์ข้างๆ ส่ายหน้า คนอื่นๆ จึงได้แต่คุยกันอย่างสงสัยใคร่รู้ เป็นอันว่าการเรียนในวันนี้จำต้องหยุดชะงักไปโดยปริยาย
เมื่อไปถึงเรือนไผ่ หยางซีหยุนก็ลางอาจารย์จงเข้าไปในเรือน จงฮ่วนเดินตามไป เห็นศิษย์คนเดียวของอาจารย์หยางนอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีดยิ่งนักก็ตกใจ “โอ้!”
เขาเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเหตุใดอาจารย์หยางถึงได้ดูร้อนใจนัก ที่แท้ศิษย์ของเขาก็ป่วยนี่เอง เขาจึงเดินไปถึงข้างเตียง นั่งลงแล้วจับชีพจร อาการเบื้องต้นที่ตรวจพบคือ ขาดน้ำอย่างรุนแรง อีกทั้งยังขาดอาหารอย่างรุนแรงอีกด้วย แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือเด็กคนนี้มีชีพจรหยิน!
เขาตรวจซ้ำอีกรอบ ผลตรวจก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ชีพจรหยินเด่นชัดยิ่งนัก เขามองดูรูปร่างที่ดูอย่างไรก็เป็นบุรุษนั้นอย่างงงๆ ลูกกระเดือกปูดนูนออกมาเห็นชัดเจนมาก ไม่มีทางเป็นสตรีแน่นอน แต่กลับมีชีพจรหยินที่สตรีมี
หรือว่าจะมีชีพจรผิดปกติ เขาคิดๆ ในใจแล้วหันไปถามอาจารย์หยางว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเขาถึงขาดน้ำขาดอาหารรุนแรงถึงเพียงนี้?”
“คือข้าลงโทษเขา ผนึกเขาไว้แล้วก็ออกไปผนึกเหวอเวจีน่ะ” หยางซีหยุนตอบเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด จงฮ่วนเบิกตาโต เขาจำได้ว่าอาจารย์หยางไปผนึกเหวอเวจีถึง 10 วันเลยนี่นา เด็กนี่ถูกผนึกเอาไว้ถึง 10 วันไม่ได้กินอะไรเลย มิน่าเล่าอาการถึงได้หนักเพียงนี้!
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจทีหนึ่งแล้วบอกว่า “ให้เขาดื่มน้ำทีละนิด ดื่มบ่อยๆ ส่วนอาหารก็ให้เป็นโจ๊กทีละนิด อย่าเพิ่งให้กินมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอิ่มมากไปจะทำให้กระเพาะเขาทำงานหนักเกินไป ไม่ดีอีก เดี๋ยวอาการจะแย่ลง”
“อ่อ” หยางซีหยุนฟังแล้วจดจำเอาไว้ จงฮ่วนเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงขอตัว “ข้าลาล่ะ”
“เชิญ” หยางซีหยุนผายมือ จงฮ่วนลุกขึ้นเดินจากไป แล้วขี่กระบี่บินกลับยอดเขาตัวเองไป หยางซีหยุนนั่งลงมองศิษย์อย่างรู้สึกผิดแล้วหยิบน้ำมาป้อน เขาป้อนน้ำไปนิดหนึ่งก็หยุดป้อนตามคำแนะนำของอาจารย์จง ครั้นคิดถึงโจ๊ก เขาก็รีบออกจากเรือนไป ขี่กระบี่บินไปทางโรงครัวของสำนัก ศิษย์ในโรงครัวเห็นอาจารย์หยางมาก็รีบกุมมือคารวะ “อาจารย์หยาง”
“ต้มโจ๊กมาให้ข้าชามนึงเร็วๆ แล้วต่อไปนี้ให้เจ้าเพิ่มโจ๊กไปให้ข้าด้วยทุกมื้อ” หยางซีหยุนสั่ง ศิษย์โรงครัวรีบรับคำสั่ง “ขอรับ”
เขารีบเดินเข้าไปในห้องครัว ต้มโจ๊กให้อาจารย์หยางทันที หยางซีหยุนนั่งลงรออยู่นอกห้องครัว ศิษย์หญิงทั้งหลายล้วนมองอาจารย์หยางอยู่ห่างๆ พวกนางมองอย่างหลงใหล อยากปีนเตียงอาจารย์หยางรูปงามเหลือเกิน
เวลาผ่านไป ศิษย์โรงครัวก็ถือปิ่นโตไปมอบให้อาจารย์หยาง “โจ๊กขอรับ”
“อืม” หยางซีหยุนรับปิ่นโตมาแล้วรีบขี่กระบี่บินกลับเขาไผ่ทันที ศิษย์โรงครัวมองตามแล้วกลับไปทำงานต่อ
เมื่อกลับถึงเรือนไผ่ หยางซีหยุนก็รีบเข้าเรือนไป ยกโจ๊กร้อนๆ ไปถึงข้างเตียง เขานั่งลงแล้วค่อยๆ ป้อนโจ๊กให้เฉินมู่อิ๋ง เขาป้อนโจ๊กแต่เฉินมู่อิ๋งก็ไม่อ้าปาก เขาจับปากบีบออกแล้วป้อนโจ๊กเข้าไป โจ๊กไม่ได้ไหลลงคอไป ค้างอยู่ในปาก เขามองอย่างคิดหาวิธีที่จะทำให้โจ๊กไหลลงไปให้ได้ เขาวางชามโจ๊กลงแล้วตักน้ำป้อนใส่ปาก โจ๊กจึงไหลลงคอไป หยางซีหยุนไม่เคยต้องป้อนใครเช่นนี้เลยเขาจึงทำอย่างเก้ๆ กังๆ ยิ่งนัก บางคราวป้อนน้ำมากไปหน่อย น้ำก็ไหลหกออกมาปนเศษโจ๊กออกมาด้วย ทำให้ริมฝีปากของเฉินมู่อิ๋งเลอะโจ๊กจนไหลไปถึงลำคอ หยางซีหยุนมองๆ แล้วเอาผ้าเช็ดๆ ให้ เขาเช็ดไปถึงลำคอแล้วก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…ทำไมแค่ป้อนโจ๊กแค่นี้ถึงได้ยากนักนะ”
เขาค่อยๆ ป้อนโจ๊กอีก ป้อนโจ๊กนิดหนึ่งก็ป้อนน้ำตามไป เขาป้อนอยู่อย่างนั้นพักหนึ่งก็หยุดป้อน เพราะอาจารย์จงบอกว่าห้ามให้กินมากเกินไป
เวลาผ่านไป เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าเลือนรางจนเขาต้องกะพริบตาสองสามที ภาพจึงชัดเจนขึ้น เตียงมีม่านมุ้งสีขาว ไม่ใช่เตียงของเขาแน่นอน เขาเบนสายตามองไปทางอื่น เห็นศีรษะของคนๆ หนึ่งอยู่ข้างแขนตัวเอง เขาขมวดคิ้ว “หือ?”
เสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงยุง เขายกแขนอีกข้างยันตัวขึ้น แต่ไม่มีเรี่ยวแรงเลย เมื่อเขาขยับตัวทำให้หยางซีหยุนที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆ ตื่นขึ้นมาทันที เขายืดตัวตรง มองไป เห็นเฉินมู่อิ๋งฟื้นแล้วจึงดีใจมาก “เจ้าฟื้นแล้ว!”
เฉินมู่อิ๋งเห็นว่าเป็นอาจารย์หยางก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ครู่ต่อมาความรู้สึกโกรธแค้นก็ปะทุขึ้นมา เป็นเพราะอาจารย์ใจร้ายมัดเขาห้อยหัวทิ้งไว้ตั้งหลายวัน ถึงทำให้เขาเป็นเช่นนี้ ถ้าเขาไม่โกรธก็สมควรไปบวชแล้วกระมัง ตลอดหลายวันที่ผ่านมานั้นเขาทุกข์ทรมานยิ่งนัก ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยต้องทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้นเลยสักครั้ง อ่อ ไม่ใช่ซิ ถ้านับรวมตอนที่เขายังเป็นทารกที่ถูกท่านอาวางยาพิษ นั่นก็ถือเป็นความทุกข์ทรมานครั้งแรกของเขาเลยล่ะ เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไร้เดียงสา จำความไม่ได้ จึงจำไม่ได้ว่าความรู้สึกทุกข์ทรมานในคราวนั้นเป็นเช่นไร
หยางซีหยุนเห็นสายตาโกรธแค้นจ้องมาที่ตัวเองก็รู้สึกผิด เขาจึงพูดว่า “เหวยซือขอโทษ เหวยซือไม่ได้ตั้งใจจะลืมเจ้าหรอก แต่เหวยซือต้องรีบไปผนึกเหวอเวจีจึงได้ลืมเจ้าไป”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงเย็นชายิ่ง เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ตั้งนาน ความรู้สึกเหมือนทุกข์ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์อย่างไรอย่างนั้น เป็นความรู้สึกที่ลืมไม่ลงจริงๆ หยางซีหยุนเห็นเฉินมู่อิ๋งยังโกรธก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาก็ไม่เคยมีศิษย์เสียด้วย อีกทั้งเขาอยู่คนเดียวมาโดยตลอดจึงไม่รู้ว่าควรจะง้อคนอื่นอย่างไร เขาจึงพูดอย่างเย็นชาว่า “เหวยซือไม่เอาผิดเจ้าเรื่องปลาไฉ่หงแล้ว”
“คอยดูซิ ข้าจะจับมันกินให้หมดเลย” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างแค้นเคือง หยางซีหยุนตะลึงไป ครู่ต่อมาเขาก็โกรธจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ “เจ้าเด็กสารเลว! เจ้ากล้ากินปลาไฉ่หงอีกข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงคำหนึ่ง เขายันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วลุกจากเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง หยางซีหยุนกำลังโมโหจึงไล่ว่า “เจ้าไสหัวไปเสีย! ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตายเลย!”
“หึ!” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงอีกคำ พยายามฝืนเดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรง หยางซีหยุนไม่มองแม้แต่น้อย ในใจก่นด่าอย่างโมโห ‘เจ้าศิษย์ชั่ว!’
เฉินมู่อิ๋งเดินอย่างเชื่องช้าไร้เรี่ยวแรงจนกระทั่งห่างจากเรือนไผ่ของอาจารย์หยางไปไกลแล้วเขาจึงใช้พลังของม่านแสงสีน้ำเงินออกมาโอบล้อมรอบตัวแล้วลอยกลับเรือนของตัวเองไป หยางซีหยุนไม่ได้ตามออกมาจึงไม่เห็นภาพนั้นแล้วก็ไม่มีใครเห็นภาพเช่นนั้นด้วยเพราะเขาไผ่มีเพียงแค่พวกเขาศิษย์อาจารย์ 2 คนเท่านั้น
เมื่อกลับถึงเรือน เฉินมู่อิ๋งสลายม่านแสงสีน้ำเงินแล้วเข้าเรือนไป ปิดประตูแล้วเดินอย่างเชื่องช้าไปนอนที่เตียงไผ่หยาบๆ ที่เขาทำเอง แต่เครื่องนอนเขาไม่ได้เย็บเอง ใช้เครื่องนอนที่เก็บไว้ในแหวนคุนเฉียนเอามาปู เครื่องนอนฝีมือตัดเย็บของช่างตัดเย็บที่ดีที่สุดของแคว้น อีกทั้งไส้ฟูกยังเป็นขนเป็ดขนไก่ที่คัดมาแต่ขนอ่อนนุ่ม จึงทำให้เครื่องนอนของเขานุ่มสบายยิ่งนัก เขานอนลงไป ดึงผ้ามาห่มแล้วก็หลับตาลงนอนหลับ ส่วนปลาไฉ่หงนั่นรอเขาฟื้นกำลังดีก่อนเถอะ เขาจะไปตกมากินอีก ก็มันช่วยเพิ่มพลังให้เขานี่นา เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้พวกมันเสียของล่ะ อีกทั้งเขาก็พูดไปแล้วว่าเขาจะกินมันให้หมด เช่นนั้นเขาก็จะกินมันให้หมดจริงๆ
เวลาผ่านไป หยางซีหยุนหายโมโหแล้วก็นึกห่วงศิษย์ของเขาขึ้นมา ท่าทางที่เดินไปอย่างไร้เรี่ยวแรงจนแทบจะคลานไปนั่นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เขาจึงเดินออกจากเรือนไปทางเรือนของเฉินมู่อิ๋ง
เมื่อไปถึงกระท่อมริมธารน้ำร้อน เขาเห็นประตูกระท่อมปิดเอาไว้ ซ้ำหน้าต่างยังปิดหมด เขาจึงไม่อาจแอบดูได้ เขาเดินไปที่ประตูแล้วเปิดประตูแง้มดู เห็นเฉินมู่อิ๋งนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่หยาบๆ ลมหายใจแผ่วเบายิ่ง คาดว่าคงหลับอยู่ เขาจึงยืนมองอยู่อย่างนั้น
เขาไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งเห็นเฉินมู่อิ๋งขยับตัวลืมตา เขาจึงรีบงับประตูแล้วถอยออกไปอย่างเงียบกริบที่สุด เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่านอกกระท่อมอาจารย์หยางมายืนมองเขาอยู่ตั้งนาน เพราะเจ็บป่วยจนประสาทสัมผัสถดถอยทำให้จับสัมผัสไม่ได้ เขาลุกขึ้นนั่งหยิบน้ำมาดื่ม รู้สึกมีกำลังวังชาขึ้นมาหน่อยจึงลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ หลังจากอาบน้ำแล้วเขารู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จึงกลับไปนอนเล่นที่เตียงหยิบตำราอาคมออกมาอ่าน
หยางซีหยุนกลับไปที่เรือนไผ่ของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับศิษย์โรงครัวนำอาหารมาส่งพอดี ศิษย์โรงครัววางปิ่นโต 2 เถาไว้บนโต๊ะหินหน้าเรือนแล้วกุมมือรายงายว่า “อาหารของท่านอาจารย์ขอรับ ส่วนอีกกล่องนั้นเป็นโจ๊กที่ท่านอาจารย์สั่งเพิ่มขอรับ”
“โจ๊กนั่น เจ้าเอาไปให้ศิษย์ข้าที่อยู่กระท่อมไผ่ตรงตีนเขาทางนู้นที แล้วไม่ต้องบอกล่ะว่าข้าสั่งน่ะ” หยางซีหยุนสั่ง ศิษย์โรงครัวรับคำสั่ง “ขอรับ”
เขาถือปิ่นโตใส่โจ๊กแล้วเดินไปทางที่อาจารย์หยางชี้บอก เขาไม่เคยเดินเข้ามาในเขาไผ่เลย ยามนี้ได้เข้ามาจึงถือโอกาสมองสำรวจไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าเดินออกนอกเส้นทาง เพราะบนเขาไผ่มีอาคมมากมาย เกิดเดินออกนอกเส้นทางไปเจออาคมที่ทำให้ถึงตายได้ ย่อมไม่ดีแน่นอน
เขาตายไปจะโทษใครได้ล่ะ นอกจากโทษตัวเองที่อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปจนทำให้ตัวเองตกตายโดยใช่เหตุ เขาเดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นกระท่อมไผ่หลังหนึ่ง เดาว่าน่าจะเป็นกระท่อมหลังนี้แหละจึงตะโกนเรียก “ศิษย์ของอาจารย์หยางๆ”
เฉินมู่อิ๋งได้ยินเสียงเรียกจึงวางม้วนตำราลงแล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู เห็นศิษย์คนหนึ่งถือปิ่นโตอยู่ในมือ ศิษย์คนนั้นเห็นศิษย์ของอาจารย์หยางก็รีบเดินไปหา ยื่นปิ่นโตให้ “โจ๊ก ข้าเอามาส่ง”
“ให้ข้า?” เฉินมู่อิ๋งถาม ชี้ที่ตัวเอง ศิษย์โรงครัวพยักหน้า “อื้อ! ให้เจ้าซิ”
“เหตุใดจึงเอามาให้ข้า?” เฉินมู่อิ๋งถามอีก เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีใครมาส่งอาหารให้เขาเลย เขาต้องไปขุดหน่อไม้ตกปลามาทำกับข้าวเอง จู่ๆ ก็มีคนเอาอาหารมาส่งเช่นนี้จะไม่ให้สงสัยได้อย่างไร
ศิษย์โรงครัวไม่รู้จะตอบอย่างไรเพราะอาจารย์หยางสั่งไม่ให้บอก เขาจึงยิ้มแล้ววางปิ่นโตเถานั้นไว้ที่โต๊ะไม้ไผ่หน้ากระท่อม แล้วรีบเดินกลับไปตามทางเดิม เฉินมู่อิ๋งมองๆ คิ้วขมวดมุ่น จนคนลับตาไปแล้วเขาจึงเปิดฝาปิ่นโต เห็นโจ๊กชามหนึ่งวางอยู่ในกล่อง เขาเอาเข็มเงินออกมาทดสอบพิษ พบว่าไม่มีพิษเขาจึงดมกลิ่นดู ก็พบว่าไม่มีกลิ่นแปลกปลอมอื่นใด เป็นโจ๊กธรรมดาๆ ชามหนึ่ง เขาจึงนั่งลงตรงนั้น ตักโจ๊กกินอย่างหิวโหย
หยางซีหยุนแอบมองอยู่ไกลๆ เห็นเฉินมู่อิ๋งนั่งกินโจ๊กก็เบาใจ เขาค่อยๆ เดินกลับเรือนไผ่ไปอย่างเงียบกริบ
เฉินมู่อิ๋งพยายามไม่ให้ตัวเองกินมากเกินไป เขารู้ดีว่าเขาขาดอาหารหลายวัน หากกินมากเกินจะทำให้ปวดท้องได้เพราะกระเพาะทำงานหนักเกินไป เขากินไปแค่ 1 ส่วน 4 แล้วก็พอ ตัวเขาเองเป็นหมอฝีมือสูงส่งย่อมรู้วิธีรักษาตัวเองเป็นอย่างดี แม้ว่ามนุษย์กับเซียนจะต่างกันตรงที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่เซียนก็มาจากมนุษย์ธรรมดาๆ ดังนั้นระบบอวัยวะภายในจึงไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดา ขาดน้ำขาดอาหารหลายๆ วัน การรักษาก็คือกินทีละนิดเท่านั้น กินบ่อยๆ ให้ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัว ห้ามกินจนอิ่มเด็ดขาด
เขากินเสร็จแล้วก็เก็บโจ๊กชามนั้นใส่ปิ่นโตไว้เหมือนเดิม เก็บเอาไว้กินคราวหน้าอีก เขาถือปิ่นโตเดินเข้ากระท่อมไป วางปิ่นโตไว้บนโต๊ะไม้ไผ่ในกระท่อมแล้วเดินไปนั่งที่เตียง หยิบตำราอาคมมาอ่านต่อ ตำราอาคมนี้ใช้ตัวอักษรที่ไม่เหมือนอักษรที่ใช้กันในโลกมนุษย์หรือโลกเซียน เขาจำได้ว่าเคยเห็นอักษรคล้ายๆ แบบนี้ตอนที่ใช้หยกอาคมของอาจารย์เฟยเทียน ใช่ ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าอักษรเหล่านั้นก็คืออักขระเทพมาร เขาอ่านๆ แล้วรู้สึกว่าตำราอาคมน่าสนใจไม่น้อยเลยจริงๆ เขาอ่านเพลินจนลืมเวลาไปเลย
จนกระทั่งรู้สึกกระหายน้ำจึงเงยหน้ามองแสงจากชายคา เห็นว่าแสงตะวันสว่างจ้าจึงนึกได้ว่าน่าจะถึงเวลากินอีกแล้ว เขาวางตำราลงแล้วหยิบน้ำมาดื่มจากนั้นก็ลุกไปเปิดฝาปิ่นโต หยิบโจ๊กเย็นชืดชามนั้นออกมาตักกิน เขากินไปเท่ากับครั้งก่อนแล้วก็พอ เขาเก็บโจ๊กใส่ปิ่นโตแล้วลุกไปอ่านตำราอาคมต่อ เขาไม่ออกจากกระท่อมเลย เก็บตัวเงียบอยู่ในกระท่อม
จนกระทั่ง ศิษย์โรงครัวมาเรียกอยู่นอกกระท่อม “ศิษย์ของอาจารย์หยางๆ”
เฉินมู่อิ๋งวางตำราอาคมแล้วลุกไปเปิดประตู เห็นศิษย์คนเดิมยืนอยู่ด้านนอก ในมือเขาถือปิ่นโตเถาหนึ่ง เมื่อศิษย์โรงครัวเห็นศิษย์ของอาจารย์หยางก็ยิ้มให้พลางยกปิ่นโตบอก “ข้าเอาโจ๊กมาส่ง”
“อ่อ ขอบคุณมาก ว่าแต่พี่ชายชื่ออะไรรึ?” เฉินมู่อิ๋งถาม ศิษย์คนนั้นตอบว่า “ข้า เลี่ยงจิน (亮金)”
“อ่อ ศิษย์พี่เลี่ยง” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า เลี่ยงจินถาม “แล้วเจ้าชื่ออะไรรึ?”
“ข้า เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งตอบ เลี่ยงจินยิ้มแล้ววางปิ่นโตลงบนโต๊ะ “เอ้า โจ๊ก ข้าต้องรีบกลับล่ะ”
เขาบอกแล้วหมุนตัวเดินไปทันที เฉินมู่อิ๋งพูดตามหลัง “ขอบคุณศิษย์พี่เลี่ยง”
เลี่ยงจินหันไปยิ้มๆ โบกๆ มือให้ แล้วหันหน้าเดินกลับไปตามทางเดิม เฉินมู่อิ๋งก็ยกปิ่นโตเถานั้นเข้ากระท่อมไป เขาปิดประตูเช่นเดิม