Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1133

ตอนที่ 1133 ลวงหลอก

“ต้นกำเนิดแสงนี้มีปัญญา!” นอกแสงแก่นยมโลก ผ่านไปอีกเจ็ดวัน ไป๋เฟิ่งยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาสองข้างเย็นชา แต่คิ้วกลับขมวดขึ้น

นางรู้สึกว่าต้นกำเนิดแสงนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และยังมีความประหลาด

จุดนี้ไม่เพียงแค่ไป๋เฟิ่ง แต่พูดได้ว่าผู้ฝึกฌานจำนวนมากต่างก็ลังเลใจเช่นกัน ทว่านี่เป็นแสงแก่นยมโลกจริงๆ ดังนั้นแล้วถึงจะลังเลแต่ก็ได้แค่ลังเลเท่านั้น

แผนการของซูหมิงไม่มีความลับใดๆ ถึงขั้นพูดได้ว่าเปิดเผยอย่างโจ่งแจ้ง ทว่า ซูหมิงไม่ได้สนใจ ขอเพียงนี่เป็นแสงแก่นยมโลกจริงๆ ก็พอแล้ว

เพียงแค่นี้ก็พอแล้ว!

นี่นับว่าเป็นการวางแผนอย่างโจ่งแจ้ง แต่ความจริงไม่ถือว่าเป็นแผนการด้วยซ้ำ นี่เป็นเพียงการเล่นโดยใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ หลายวันมานี้เขาเห็นผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนเข้ามาตรวจสอบในแสงแก่นยมโลกของตน

ซูหมิงไม่รีบร้อน เขายังคงรอ รอคนที่มีคุณสมบัติได้แสงแก่นยมโลกนี้มา ในมุมมองเขา ในพันธมิตรเผ่าเซียนมีอยู่สามคนที่มีคุณสมบัติ หนึ่งย่อมเป็นไป๋เฟิ่งที่เย็นชาอยู่นอกต้นกำเนิดแสง อีกหนึ่งคือตี้เทียน ส่วนคนที่สามคือคนชุดคลุมดำหนึ่งในแปดขั้วเต๋า

ตี้เทียนมีแผนจะแลกชีวิต ไป๋เฟิ่งก็ต้องการเป็นเซียน แต่ละคนต่างมีความต้องการ ดังนั้นแล้วก็เหลือเพียงคนชุดคลุมดำ นี่ตรงกับการวิเคราะห์ของเขาก่อนหน้านี้ เดิมทีเขาก็รอคนชุดคลุมดำคนนั้น อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เขามั่นใจคือเขารู้จากในเสี้ยววิญญาณนั้นว่าอีกไม่นานฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจะมีผู้แข็งแกร่งลงมาเยือนอีกคน

เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีฐานะเท่ากับคนชุดคลุมดำ และแน่นอนว่าต้องเกิดการแย่งชิงกัน ดังนั้นซูหมิงจึงมั่นใจว่าขอเพียงคนชุดคลุมดำสนใจ เขาจะต้องมาเอาแสงแก่นยมโลกก่อนที่อีกคนจะลงมาเยือนแน่ๆ

เวลาผ่านไป สงครามระหว่างสำนักดาราสัจธรรมกับพันธมิตรเผ่าเซียนมาถึง จุดเดือดสุดแล้ว ทุกวันจะเกิดสงครามใหญ่ดุเดือดขึ้นหลายแห่งในโลกแท้จริง การบาดเจ็บล้มตายก็บรรลุถึงระดับน่าสะพรึงกลัว แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น สงครามก็ยังไม่ยุติลง ยังคงดำเนินต่อไปอย่างรุนแรง

ผ่านไปอีกหลายวัน วันนี้ห่างจากวันที่ยอดฝีมือีกคนจากฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนจะมาเยือนไม่ถึงเดือน ผู้ฝึกฌานเผ่าเซียนจำนวนมากล้อมแสงแก่นยมโลกของซูหมิงเอาไว้หลายชั้น ซ้ำยังตรวจสอบภายในไปมากกว่าครึ่งจนหากฏพบ และยังหาเส้นทางสู่ใจกลางพบด้วย

ทุกอย่างนี้ซูหมิงไม่ได้ชี้นำเลย สิ่งที่เขาทำเพียงอย่างเดียวคือกลายเป็นแสงแก่นยมโลก ส่วนเรื่องอื่น เขารู้สึกว่าหากก้าวก่ายมากไป มันจะดูปลอมเกินไป

วันนี้คนชุดคลุมดำคนนั้นปรากฏตัวนอกต้นกำเนิดแสงแสงแก่นยมโลกอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวมาดีแล้ว ตอนนี้ดวงตาที่ซ่อนในเสื้อคลุมดำขยับวูบวาบ พลังมหาศาลแผ่กระจายมาจากตัวเขา นั่นคือพลังเทียบเท่าขั้นเกิด ทว่าขั้นพลังเกิดชนิดนี้

กลับมิใช่ยอดฝีมือขั้นเกิดของมหาโลกสามรกร้างจะเอาชนะได้ ระหว่างพวกเขามีความต่างกันอย่างยิ่ง

‘เขาบรรลุถึงขั้นลึกล้ำนภาในก้าวที่สามของระบบพลังฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน!’ ซูหมิงรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังจากคนชุดคลุมดำ จิตสัมผัสที่ซ่อนอยู่ของเขาเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย

‘ร่างเต้าคงสลายไปแล้ว แต่ขอเพียงจิตแรกข้ายังอยู่ ไม่ว่าร่างใดก็ปล่อยพลังของวิญญาณเต้าคงได้ ร่างเอ้อชางก็เช่นกัน และยังมีร่างแยกกลืนนภาของข้าก็ทำแบบนี้ได้

ทว่าคนชุดคลุมดำคนนี้…..บางทีเขาอาจจะเหมาะกับเป็นอีกร่างแยกของข้า เป็นร่างกายที่ทำให้ข้าได้ฐานะฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน!

ตามแผนการข้าไม่จำเป็นต้องยึดร่างเขา แต่ตอนนี้มาดูแล้วบางทีอาจต้องยึดร่างเขา….ถึงจะกลับไปหาร่างจริงได้ราบรื่นกว่าเดิมเล็กน้อย

เพียงแต่เรื่องนี้มันยากเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมือขั้นลึกล้ำนภา…..’ ขณะซูหมิงเงียบ ก่อนนำความคิดที่เพิ่งแตกหน่อกดลงไปช้าๆ เรื่องนี้เกี่ยวกับการชิงร่างจริงกลับมา เขาจึงให้เรื่องนี้เกิดเหตุเหนือความคาดคิดไม่ได้

ขณะตรึกตรอง เขาก็ล้มเลิกความคิดไปชั่วคราว

แทบเป็นทันทีที่ระลอกคลื่นจิตสัมผัสเขาหายไป คนชุดคลุมดำขั้นลึกล้ำนภาที่อยู่นอกแสงแก่นยมโลกค่อยๆ ยกเท้าขึ้นเดินเข้าไปยังต้นกำเนิดแสงแก่นยมโลกภายใต้ความเคารพของผู้ฝึกฌานเผ่าเซียนมากมายรอบตัว

ไป๋เฟิ่งอยู่ข้างๆ นางทำปางมือชี้ไปยังมวลอากาศ ทันใดนั้นฟ้าบิดเบี้ยว ปรากฏดวงตายักษ์ขึ้นจำนวนมากราวหลายพันดวงรอบๆ ทุกดวงเปล่งแสงหม่นและจ้อง ต้นกำเนิดแสงแก่นยมโลก

คนชุดคลุมดำหยุดชะงักครู่หนึ่ง เขาหันไปมองไป๋เฟิ่งแวบหนึ่ง ไป๋เฟิ่งก็ก้มหน้าคารวะ

“ไม่เลว!” คนชุดคลุมดำหัวเราะเสียงแหบแห้ง นัยน์ตาฉายแววชื่นชม การกระทำของไป๋เฟิ่งอาจจะไม่ได้มากในความหมายจริงๆ แต่จะเห็นได้ถึงความตั้งใจของนาง จุดนี้คนชุดคลุมดำพอใจมาก โดยเฉพาะหน้ำตาไป๋เฟิ่งเลอโฉมยิ่ง ท่าทีเย็นชานั้นมักจะทำให้คนชุดคลุมดำตื่นเต้นเล็กน้อยอยู่เป็นประจำ

“รอจนเจ้าไปถึงฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก่อน แล้วจะให้ติดตามข้างกายข้า”

แม้สีหน้าไป๋เฟิ่งจะเย็นชา แต่นางกลับยิ้มเล็กน้อย สีหน้ายังมีความตกใจระคนดีใจกับมีความเขินอายเล็กน้อยอย่างเหมาะเจาะพอดี คนชุดคลุมดำจึงเกิดความชื่นชมในใจมากกว่าเดิม

ตี้เทียนชุดคลุมขาว เส้นผมขาวมีสีหน้าปกติ เขาไม่ต้องทำอะไรเพื่อพิสูจน์ทั้งนั้น แม้เขากระหายจะกลายเป็นเผ่ายมโลก แต่ก็รู้ว่าในฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนมีคนที่กระหายจะควบคุมเผ่ายมโลกยิ่งกว่าเขาเสียอีก

ทว่าเขาตี้เทียนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเชื่อว่าไม่มีใครเหนือกว่าตนในจุดนี้ ต่อให้เป็นโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกก็ยังไม่ได้ เพราะเขาเป็นคนคิดแผนการนี้ เพราะเขาเตรียมตัวมาไม่รู้กี่ปีเพื่อแผนการนี้

กระทั่งเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็มีความมั่นใจสามส่วนแล้ว หากได้คนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนช่วยก็แค่มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น เวลานี้ดวงตาตี้เทียนมีประกายวาววูบผ่าน

‘ซูเซวียนอี เจ้ากับข้าสู้กันมาตลอดชีวิต ครั้งนี้ข้าจะใช้ฐานะเผ่ายมโลกยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าจะยึดร่างเจ้า! ระหว่างเราสุดท้ายแล้วจะต้องเป็นข้าที่ชนะ!’ เกิดระลอกคลื่นขึ้นในใจตี้เทียน เขาเฝ้าปรารถนาถึงวันนั้นมานานมากแล้ว

ภายใต้สายตาของผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนรอบตัว คนชุดคลุมดำหนึ่งในแปดขั้วเต๋าเดินเข้าไปกลางแสงแก่นยมโลก ขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งจากแต่ละสำนักเผ่าเซียนต่างมีสีหน้าตื่นตัว คอยเฝ้าระวังรอบๆ พวกเขาได้รับคำสั่งตายมาว่าห้ามให้ที่นี่เกิดปัญหาใดๆ ในช่วงเวลานี้

ทว่าดีที่ที่นี่เป็นใจกลางพันธมิตรเผ่าเซียน ที่นี่คือทางเข้าทุกสำนักเซียน ดังนั้นหากคนสำนักดาราสัจธรรมจะมาที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

โอกาสที่กองทัพใหญ่จะบุกเข้ามาก็น้อยมาก มีแต่ผู้แข็งแกร่งบางคนที่อาจจะเข้ามาได้ แต่ตี้เทียนก็ได้เตรียมพร้อมไว้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

เมื่อคนชุดคลุมดำเข้าไปกลางต้นกำเนิดแสงแก่นยมโลก รวมทั้งผู้ฝึกฌานทั้งหมดรอบนอกต่างพากันตื่นตัวแล้ว เวลาก็ผ่านไปทีละลมหายใจ ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งก้านธูป

ภายในแสงแก่นยมโลก คนชุดคลุมดำบินไปด้วยความเร็วไม่สูง ทุกครั้งที่บินผ่านไประยะทางหนึ่งจะขบคิดเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนทิศทาง รอบตัวเขามีแสงแก่นยมโลกมากมายทะลวงผ่าน เส้นแสงเหล่านี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามที่คนชุดคลุมดำเดินทาง เข้ามา

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนชุดคลุมดำก็มั่นใจว่าต้นกำเนิดแสงกลุ่มนี้ไม่มีจิตสำนึก

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม คนชุดคลุมดำเดินไปเกือบครึ่งทางแล้ว ความเร็วเขาช้าลงเรื่อยๆ กระทั่งทั่วร่างยังแผ่กระจายไอหนาวจำนวนมาก แสงแก่นยมโลกรอบตัวกลายเป็นสีดำทึบ ราวกับปากใหญ่จะเขมือบเขา

นัยน์ตาเขาฉายแววตื่นตัว บ้างก็ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วยกมือขวาขึ้นเหมือนคำนวณอะไรบางอย่าง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาก็เดินทางไปได้เกือบเจ็ดส่วน

ทว่าตอนนี้เองแสงแก่นยมโลกพลันเพิ่มขึ้นหลายเท่า วูบเดียวก็รุนแรงขึ้น แต่เหมือนคนชุดคลุมดำจะรู้ว่าเป็นแบบนี้อยู่ก่อนแล้วจึงนั่งฌานลงก่อน สองมือประสานมุทราพลางหยิบหม้อใบเล็กออกมา ตอนที่สองมือกดลงไป ก็มีควันประจำตัวพ่นออกไปทางหม้อนี้

หม้อเล็กขยับแสงสีดำวิบวับทันทีแล้ววนเวียนรอบตัวเขา เปลือกนอกมันวาวราวกระจก สะท้อนแสงแก่นยมโลกที่ตรงเข้ามาไม่หยุด ประหนึ่งว่าตัวเขาตรงนี้กลายเป็นต้นกำเนิดแสงทางอ้อม

“มีแค่หนึ่งชั่วยามที่มันจะอ่อนแอจริงๆ …..” คนชุดคลุมดำยิ้มมุมปาก ระหว่างที่ดวงตาสองข้างปิดลงก็เหมือนสลายการต่อต้านทุกอย่างไป กายและใจทั้งหมดตกอยู่ในห้วงการควบคุมหม้อเล็ก

เวลาผ่านไปหนึ่งวัน ในวันที่สองตอนที่หนึ่งชั่วยามที่แสงแก่นยมโลกอ่อนแอมาถึง คนชุดคลุมดำพลันลืมตาขึ้น เก็บหม้อเล็กแล้วขยับวูบไหวตัวเดินหน้าต่อ

ครั้งนี้เพราะความเร็วเขาน้อยลงเรื่อยๆ จนใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยาม เขาห่างจาก ใจกลางแสงแก่นยมโลกไม่ไกลมากนักแล้ว แต่ก็ยังมีความห่างอยู่

จนแสงแก่นยมโลกแข็งแกร่งอีกครั้ง เขาก็นั่งขัดสมาธิลงนำหม้อเล็กแสงดำออกมาต่อต้านอีกครั้ง ซ้ำยังคงหลับตาลง ราวกับว่าวางใจต่อมันยิ่งนัก ไม่มีการป้องกันด้วยวิธีอื่นเลย

วันที่สาม วันที่สี่…..จนวันที่ห้าถึงหนึ่งชั่วยามที่แสงแก่นยมโลกอ่อนแรงลง คนชุดคลุมดำขยับวูบไหวตัวมาปรากฏอยู่ตรงใจกลางต้นกำเนิดแสงแก่นยมโลก!

นี่เป็นโลกมืดมิด แต่จะเห็นรางๆ ว่ากลางความมืดไม่ไกลมีอักขระที่งดงามอย่างยิ่ง ตัวหนึ่งกำลังขยับแสงอยู่กลางความมืด ความซับซ้อนของมันทำให้ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ยากจะจดจำมันได้

‘นี่คือใจกลางต้นกำเนิดแสงแก่นยมโลก!’ คนชุดคลุมดำดวงตาขยับประกายวาววับดูตื่นเต้น ทันทีที่หนึ่งชั่วยามที่แสงอ่อนแอหมดลง เขาพลันแผ่ขยายจิตสัมผัสไปยังอักขระนั้น เขาไม่พบจิตสำนึกใดๆ ในนั้นเลย แต่เหมือนว่าเวลาจะไม่พอให้เขาประทับตราจิตสัมผัสลงไป เขาจึงนั่งฌานลง ใช้หม้อเล็กในการป้องกัน ดวงตาปิดลงเช่นกัน นอกจากแสงดำวนเวียนรอบตัวแล้วก็ไม่มีการป้องกันใดๆ อีก

จนเมื่อหนึ่งช่วงยามที่แสงอ่อนแอของวันที่หกมาถึง คนชุดคลุมดำขยับวูบไหวพุ่งไปยังอักขระนั้น ทันทีที่เข้าใกล้ร่างเขาพลันระเบิดออก เลือดเนื้อกระจายไปรอบๆ ตกบนอักขระนั้น

ขณะเดียวกันวิญญาณคนชุดคลุมดำมีสีหน้าเหี้ยมโหด เขาถอยหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหลือเชื่อพลางคำรามเสียงแหลมเล็ก

“นี่มันกับดัก เจ้ามีจิตสำนึก!”

ภาพเหตุการณ์ประหลาดทำให้ซูหมิงที่สังเกตคนชุดคลุมดำมาตลอดตะลึงงัน เพราะเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!